Mag-log inอากาศข้างนอกดีเกินกว่าที่หยางเหวินเย่จะทนอุดอู้อยู่ในห้องนอนได้ ลมเย็น ๆ พัดผ่าน กอปรกับเสียงนกร้องทำให้หัวใจแห้งเหี่ยวของเขากระชุ่มกระชวยขึ้นมาบ้าง เดิมทีคิดว่าการจากบ้านไปนานคงไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ทว่าพอตรองดูแล้วกลับพบว่าเขาพลาดอะไรไปหลายอย่าง
อาการป่วยของมารดาดีขึ้นมาก หยางชิวเหยามิได้เจ็บออดแอดดั่งที่ผ่านมาแล้ว และพอสอบถามจากบ่าวชรา ก็พบว่าคุณหนูเถียนเถียนคอยจัดการดูแลควบคุมอาหารให้กับฮูหยินหยางด้วยตนเอง ส่วนท่านพ่อที่บอกว่าอาการเจ็บป่วยจากการตกม้านั้นมิได้เป็นอะไรมาก ปรากฏว่าเป็นเรื่องโกหก เพราะกว่าจะกลับมาเดินเหินได้เป็นปกติก็ต้องใช้เวลาเกือบครึ่งปี
‘หากมิได้คุณหนูเถียนเถียน ทางบ้านเหลียนซานก็คงจะแย่ไปเหมือนกันขอรับ’
‘คุณหนูคอยดูแลสั่งการ แม้มิเคยก้าวขาออกจากบ้าน ทว่าก็ทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง’
ดูท่าระหว่างเขาละเลยการทำหน้าที่ของบุตรที่ดี ภรรยาได้ทำทุกอย่างทดแทนไปหมดแล้ว หยางเหวินเย่ติดค้างนางมากเหลือเกิน และควรจะถือโอกาสที่ยังอยู่ในเมืองเทียนโจว ตอบแทนชดใช้ภรรยาที่มีอายุน้อยกว่าถึงสิบสองปีอย่างสุดความสามารถ เขาตั้งใจว่าจะทำทุกอย่างให้นางมีความสุข
เว้นก็แต่เรื่องบนเตียง หยางเหวินเย่ฝืนใจทำมิได้จริง ๆ
หยางเหวินเย่พยายามอย่างมากที่จะไม่ลงน้ำหนักไปยังข้อเท้าข้างที่เจ็บ นึกหงุดหงิดไม้เท้าของท่านพ่อที่มีขนาดไม่สมดุลกับส่วนสูงของตน แต่จะให้โวยวายไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ เขาทำได้แค่รอให้พ่อค้าในเมืองนำไม้เท้ามาให้เลือกใหม่ในวันพรุ่งนี้ช่วงสาย
เขาค่อย ๆ ขยับตัวอย่างยากลำบากตรงเข้าไปในสวนที่มีเสียงหัวเราะสดใสของภรรยาดังก้อง
ภรรยาอัปลักษณ์ของท่านแม่ทัพหยางเหวินเย่
ทว่ายังมิทันได้เห็นหน้านาง บ่าวใบ้กลับตรงเข้ามาขัดขวางเอาไว้เสียก่อน จางฉวนทำมือทำไม้ส่งเสียงอืออา ทำนองว่าให้รออยู่ตรงนี้ หลังจากนั้นก็ตรงไปยังร่างบอบบาง และส่งภาษามือบอกว่าสามีของนางต้องการพบ
หยางเหวินเย่เห็นนางหยิบผ้ามาคลุมหน้า
“ท่านพี่เดินระวังนะเจ้าคะ” เถียนเถียนกล่าวเตือน เพราะยังจำภาพที่เขาสะดุดล้มเพราะก้อนหินประดับสวนได้เป็นอย่างดี
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“ลงสีภาพวาดเจ้าค่ะ คุณหนูหลิวจะมารับในอีกหนึ่งชั่วยาม”
“เจ้าวาดต่อเถอะ ข้าไม่กวน” ทว่าหยางเหวินเย่ก็มิได้ไปไหน นั่งพิงอยู่มุมหนึ่งของศาลาหลังน้อยที่ภรรยาใช้เป็นสถานที่สำหรับวาดภาพนั่นเอง
“จางฉวนไปเตรียมน้ำชากับขนมมาให้ท่านพี่สักหน่อยเถิด”
“อา อา” บ่าวใบ้รีบรับคำ ทว่ายังมิทันได้ขยับตัวไปไหน ก็ถูกเรียกตัวไว้เสียก่อน
“เปลี่ยนเป็นสุราและกับแกล้ม” หยางเหวินเย่ออกคำสั่ง
“แต่อาการบาดเจ็บของท่านพี่ยังไม่หายดี เถียนเถียนคิดว่า”
“ข้าต้องการดื่มสุรา” เสียงของแม่ทัพหนุ่มหนักแน่นพอที่จะทำให้เถียนเถียนมิเอ่ยอันใดต่อ
“จางฉวน ไปนำสุรามาให้ท่านพี่” กล่าวจบก็หันกลับไปลงสีวาดรูปต่อ ไม่สนใจผู้ที่เข้ามาก่อกวนความสงบของนางอีก
สามีต้องการสิ่งใด ภรรยาย่อมจะไม่มีสิทธิ์ที่จะขัดขวาง
หยางเหวินเย่เสียสละตนเอง ยอมเข้าพิธีมงคลเพื่อปกป้องนางมิให้ต้องลำบาก แม้กล่าวชัดแล้วว่าจะไม่มีวันรักภรรยา ทว่าก็ยังใจกว้างยอมให้นางดูแล ทำหน้าที่ภรรยาโดยไม่แสดงกิริยาคุกคามให้ต้องลำบากใจ และเมื่อเขาต้องการสิ่งใดที่แม้ฟังแล้วดูขัดใจไปบ้าง เถียนเถียนก็ควรจะยินยอมสักหน่อยมิใช่หรือ
หลังจากตั้งสมาธิลงสีอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ภาพวาดเสมือนตัวจริงของคุณหนูสกุลหลิวก็สวยสมบูรณ์ดี เถียนเถียนกวักมือเรียกจางฉวนเข้าไปชมดูฝีมือของนาง และสั่งให้นำผลงานชิ้นใหม่ไปให้ฮูหยินหยางชมดูก่อนที่จะมอบให้กับลูกค้า ทั้งบ่าวและนายหัวเราะน่าชม ดวงตากลมโตทำให้หยางเหวินเย่ลืมหายใจไปชั่วขณะ
ดวงตาสีน้ำผึ้งของนางงามยิ่งนัก น่าเสียดายที่ใบหน้ากลับมิงดงามสมกัน ทว่าเวลาก็เลื่อนผ่านนานกว่าห้าปีแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าเถียนเถียนจะงดงามขึ้นตามวัย จนเป็นเหตุให้คุณชายพวกนั้นคลุ้มคลั่งจนควบคุมสติไม่อยู่ หรือไม่ก็อาจจะเป็นแค่คำลวงหรือข่าวลือที่ทางสร้างขึ้นเพื่อกลบความอัปลักษณ์ของสะใภ้สกุลหยาง
“เจ้าดูสนิทกับจางฉวนมาก”
“นอกจากจางฉวน ข้าก็ไม่มีเพื่อนที่ไหนอีกแล้ว”
เถียนเถียนเล่าต่อไปว่าพบจางฉวนอยู่ในพงหญ้าหน้าบ้านสกุลหวัง สภาพร่อแร่มีโอกาสรอดไม่เกินสามส่วน
ยามนั้นเด็กชายอายุไม่น่าเกินแปดปีดี นางนึกสงสารจึงกราบกรานอ้อนวอนท่านพ่อให้ช่วยรักษาให้มีชีวิตรอด ซึ่งท่านรองแม่ทัพหวังเฉินกงก็ยอมทำตามคำขอร้องของบุตรสาว แต่เมื่อค่ารักษาแพงมากเข้า เถียนเถียนก็เริ่มเกรงใจบิดา และนำเอาของที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าไปขาย เพื่อนำเงินมารักษาเพื่อนใหม่ของนาง
จางฉวนอายุน้อยกว่านางเกือบสองปี และร่างกายผอมบางไม่ต่างจากสตรี เมื่อตระหนักได้ว่าตนมีชีวิตรอดเพราะคุณหนูเถียนเถียน บ่าวใบ้จึงสัญญาว่าจะดูแลผู้มีพระคุณตัวน้อยให้ดีที่สุด และนั่นก็ผ่านมาได้เกือบสิบปีแล้ว
“เจ้าชอบวาดรูปหรือ”
“เจ้าค่ะ เถียนเถียนชอบวาดรูป แต่ฝีมือมิยังได้เรื่องนัก”
“ท่านแม่ชอบหรือไม่” นางถามจางฉวนที่วิ่งกลับมาพอดี
“อือ อือ” จางฉวนมิทันได้คืนภาพให้กับคุณหนูเถียนเถียน ก็ถูกท่านแม่ทัพกวักมือเรียกเข้าไปหาเสียก่อน
“ฝีมือดี มิควรต้องถ่อมตัว”
คนพูดน้อยเตรียมคำพูดเอาไว้มาก ทว่าพอได้อยู่กับภรรยาตามลำพังกลับพูดไม่ออก รอจนกระทั่งบ่าวกลับมาก็ยังเงียบเสียงไม่ต่างจากเดิม หยางเหวินเย่อยากถามภรรยาว่าที่ผ่านมาสบายดีหรือไม่ แต่ก็จำได้ว่านางตอบไปแล้ว และพอตั้งท่าว่าจะถามเรื่องอื่น กลับไม่รู้ว่าควรพูดถึงเรื่องอะไร
หยางเหวินเย่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก
“ท่านแม่บอกข้าว่าท่านพี่มิค่อยชอบพูด แต่ข้าพูดเก่งยิ่งนัก หากวันใดทำให้ท่านพี่รำคาญใจ รบกวนท่านพี่ช่วยตักเตือนเถียนเถียนด้วยนะเจ้าคะ”
“พูดไปเถิด เสียงของเจ้าน่าฟังดี” หยางเหวินเย่ละคำว่าข้าชอบฟังเอาไว้ในใจ
“ท่านพี่น่ารักที่สุด เอาไว้เถียนเถียนจะวาดรูปให้เป็นรางวัลนะเจ้าคะ” นางกล่าวเสียงใส ก่อนจะช่วยจางฉวนทำความสะอาดพู่กัน เตรียมเก็บข้าวของกลับเข้าเรือน
“พี่ไล่นางออกจากร้านด้วยคำที่ไม่เสนาะหูเลยไม่กล้าเล่าให้เจ้าฟัง...ชิงชิง พี่ไม่ได้กอดเจ้าตั้งหนึ่งคืน คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว”นอกจากคำหวานของตวนอ๋องจะไม่ลดลงแล้ว ความหนาบนใบหน้ายังเพิ่มมากขึ้นตามอายุอีกด้วย เขาอยากกอดพระชายาคนงามยามใดก็กอด อยากหอมยามใดก็หอม เหลือจูบเท่านั้นที่ยังละเว้นไว้ในยามอยู่ตามลำพังแค่สองคน“คิดถึงท่านพี่เช่นกันเจ้าค่ะ”“แค่คิดถึงเท่านั้นหรือ ไม่รู้สึกอย่างอื่นด้วยหรือ” เฉินฟาหยางดึงคนงามมานั่งตักอย่างระมัดระวัง มือหนาลูบครรภ์เบา ๆ อย่างทะนุถนอมรักใคร่ หัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก มีความสุขจนแทบกักเก็บมันเอาไว้มิได้แล้ว“รักเจ้าค่ะ ถามแทบทุกวันไม่เบื่อหรือเจ้าคะ”“นอกจากรักแล้วไม่รู้สึกอย่างอื่นด้วยหรือ ชิงชิงไม่คิดถึงหยางน้อย…”“ท่านพี่!” เสวียนซือชิงฟาดแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างไม่จริงจัง พลางนึกต่อว่าเขาในใจว่าทำได้อย่างไร หวานซึ้งอยู่ดี ๆ กลับมีถ้อยคำลามกแฝงมาในประโยคเสียอย่างนั้นเอง“ก่อนกลับถึงบ้านพี่แวะถามท่านหมอแล้ว ครรภ์เจ้าแข็งแรงอย่างมาก ทั้งมิได้มีอาการแพ้หนักดังแต่ก่อน ท่านหมอกล่าวว่าเราสองคนสามารถกอดกันแน่น ๆ ได้ ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด”เสวียนซือ
“ท่านพี่เจ้าคะ ซือชิงเคยพูดเอาไว้นานแล้วว่าต่อให้ท่านพี่แก่ชราผมขาวโพลนทั้งศีรษะ ซือชิงก็จะยังรู้สึกดีกับท่านพี่ไม่แปรเปลี่ยน ยิ่งท่านพี่น่ารักกับซือชิงและลูกเช่นนี้ ต่อให้เหลือเพียงแค่กระดูกก็ตัดใจเลิกรักไม่ได้เจ้าค่ะ”“ชิงชิงปากหวานกับพี่อีกแล้ว...จริงสิ พี่มีเรื่องต้องแจ้งหนิงเอ๋อร์”เฉินฟาหยางยิ้มให้กับเจ้าตัวน้อยที่ตรงเข้ามาทักทายบิดาและมารดาอย่างมีมารยาท ก่อนกวาดสายตาโดยรอบเพื่อมองหาคนที่คาดว่าจะได้พบเจอ“ท่านอาหลี่ของเจ้ามาไม่ได้ เขาจำต้องกลับไปจัดเตรียมงานมงคล แม้จะเกิดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า แต่ว่าที่เจ้าสาวก็มีหน้ามีตา จึงต้องทำทุกอย่างให้สมเกียรติ”เฉินฟาหยางแจ้งต่อด้วยว่าคุณชายหลี่มีของฝากให้กับทุกคน กระทั่งอดีตสาวใช้สกุลหลี่อย่างเสี่ยวผิงกับเสี่ยวอันก็ได้ด้วย เอาไว้หลังรับประทานมื้อเย็นแล้วค่อยตรวจดูในภายหลัง เสวียนหนิงอันได้ยินดังนั้นก็แสดงสีหน้าผิดหวังชัดเจน ก่อนขอตัวไปดูห้องครัวเผื่อว่าจะมีเรื่องอันใดให้นางฝึกทำได้บ้าง“เช่นนั้นซือชิงไปช่วยลูกดูครัวก่อนนะเจ้าคะ”“ไม่ให้ไป อยากให้ชิงชิงอยู่ปลอบใจพี่ก่อน”“ปลอบใจเรื่องใดหรือเจ้าคะ”“เรื่องที่พี่แก่แล้ว เรื่องที่พระชายา
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางเปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็ว เมื่อตระหนักได้ว่าตนกำลังทำให้พระชายาคนงามมิสบายใจ ยิ่งครรภ์ของนางใหญ่มากเท่าใด เขาก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเท่านั้น แต่นั่นก็ยังมิใช่เหตุผลสำคัญที่ทำให้อารมณ์เสียอยู่ดี“หรือว่าท่านพี่เสียใจที่ยอมให้ข้ามีลูก...” เสวียนซือชิงอยากมีลูกอีกสองสามคน เจ้าก้อนแป้งเองก็อยากมีน้องด้วยเช่นกัน มิได้คิดว่าตนเองจะต้องเป็นบุตรสาวคนเดียวของครอบครัวแต่อย่างใดเสวียนหนิงอันเติบโตอย่างงดงาม กลายเป็นสาวน้อยน่ารัก กิริยามารยาทสมกับเป็นคุณหนูในห้องหอ ทั้งเค้าโครงความงามยังปรากฏตั้งแต่ยังเยาว์วัย ยามนี้อายุได้สิบปีแล้ว มีดื้อดึงเอาแต่ใจไปบ้าง แต่โดยมากแล้วตวนอ๋องผู้เป็นบิดามักจะสั่งสอนและให้คำปรึกษาที่ดี เรียกได้ว่าบุตรสาวสนิทกับบิดามากกว่ามารดาเสียด้วยซ้ำไป“ว่าอย่างไรเจ้าคะท่านพี่”เสวียนซือชิงถามอย่างน้อยใจ นางทราบดีว่าตวนอ๋องมิต้องการให้นางตั้งครรภ์อีก โดยอ้างเหตุผลว่ากลัวนางไม่ปลอดภัย ครรภ์อาจไม่แข็งแรงจนแทบเอาชีวิตไม่รอดเช่นคราวก่อน กว่าจะออดอ้อนให้เลิกดื่มยาเพื่อมิให้สตรีที่ร่วมหลับนอนตั้งครรภ์ได้ก็ใช้เวลานานหลายปี แต่นั่นก็ต้องแลกกับการดูแลตัวเองอย่างมากเพื่อให้
เจ็ดปีผ่านไป...น้ำเสียงออดอ้อนของพระชายาคนงามสอบถามบุรุษที่นางรักอย่างเอาใจ ว่าเหตุใดวันนี้จึงไม่ยิ้มแย้มให้อย่างที่เคย ทั้งยังทำหน้าบูดบึ้งมิยอมให้เข้าใกล้ ถามอันใดก็มิค่อยยอมตอบ เดาได้ลำบากว่ามีเรื่องอันใดรบกวนสมองอันชาญฉลาดของเขาอยู่แน่“ท่านพี่...”“พี่ไม่อยากพูด ขอทำใจสักครู่แล้วจึงจะอารมณ์ดีได้”“เกิดเรื่องยุ่งยากที่ค่ายทหารหรือเจ้าคะ”เสวียนซือชิงยังคงไม่ย่อท้อ พยายามหลอกถามเอาความจริงที่ทำให้ตวนอ๋องอารมณ์ดีถึงกับยิ้มไม่ออก เขาเพิ่งกลับจากค่ายทหารนอกเมืองในช่วงสาย เป็นไปได้ว่าอาจอารมณ์เสียมาจากที่นั่น หรือว่าเพราะเห็นนางเพิ่งกลับมาจากร้านค้าสกุลหลี่ที่พี่ชายบุญธรรมยกให้ดูแลไม่สิ ร้านค้านั้นเป็นของนาง เพราะตวนอ๋องเฉินฟาหยางมีนิสัยไม่ชอบติดค้างผู้ใด ที่มิชอบมากกว่านั้นคือให้พระชายาติดค้างผู้ใด เขาจึงยอมเสียเงินเล็กน้อยเพื่อซื้อกิจการของคุณชายหลี่จินหมิงเพื่อตัดปัญหา ในเมื่อนางเป็นเจ้าของแล้วแวะเวียนไปดูร้านบ้างก็นับว่าเหมาะสมมิใช่หรือ“ท่านพี่...”“ที่ค่ายทหารปกติดี อวิ๋นฝูแวะมาดูการฝึกทหารก็กลับไปแล้ว จินหมิงเองก็เช่นกัน เขาฝากขอโทษที่มิได้มาเยี่ยมเจ้าด้วยตนเองเพราะติดธุระเร่ง
“ไม่ได้เจ้าค่ะ อย่างไรคืนนี้ซือชิงก็จะกอดท่านพี่ ไม่ปล่อยให้นอนบนเตียงตามลำพังอีกแล้ว”เสวียนซือชิงกดมือหนาลงบนเตียง มิยอมให้ตวนอ๋องโบกมือไล่เหมือนที่ผ่านมา ก่อนพาร่างที่สวมเพียงตู้โตวสีแดงสดที่เขาชอบ สอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนหนานุ่มอย่างใจเย็นตวนอ๋องเฉินฟาหยางไม่ดิ้นหนีแล้ว...เขาปล่อยให้วงแขนเรียวพาดลงบนแผ่นอกกว้าง ทั้งยังโอบกอดร่างเล็กเข้ามาแนบชิด กระซิบคำที่มีความหมายตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาละเมอกล่าวในทุกค่ำคืน“หอม ยอดรักของพี่หอมมากเหลือเกิน”“ท่านพี่...”เสวียนซือชิงได้ยินเขากล่าวออกมาเพียงเท่านั้นก็ดีใจแทบร้องไห้ แต่ยังสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้เพราะมิอยากให้น้ำตาแห่งความดีใจ ปลุกบุรุษที่ต้องพักผ่อนให้มากตื่นขึ้นมาก่อนเวลาอันสมควร“หายเร็ว ๆ นะเจ้าคะ ซือชิงกับลูกคิดถึงท่านพี่จะแย่แล้ว”เสวียนซือชิงพร่ำบอกว่าจะดูแลจนกว่าจะหายดีและไม่หนีจากให้เขาต้องทรมานใจอีกแล้วเป็นเช้าที่อบอุ่นเหลือเกิน...เสวียนซือชิงขยับตัวเล็กน้อยก็พลันหยุดนิ่ง เมื่อคืนจำได้ดีว่านางหลับนอนในสภาพกึ่งเปลือย มีเพียงตู้โตวสีแดงที่บัดนี้หายไปจากร่างแล้ว เหลือเพียงฝ่ามืออุ่นร้อนที่เข้ามารองรับดอกบัวคู่งามอย่างทะนุถนอมแ
สัญชาตญาณ...“พวกเจ้าออกไปข้างนอกเถิด ข้าจะดูแลท่านอ๋องเอง”เสวียนซือชิงไม่ลืมกำชับเสี่ยวผิงว่าให้อธิบายเจ้าก้อนแป้งให้ดี แม้หลายวันที่ผ่านมาเสวียนหนิงอันไม่ดื้อไม่ซน เชื่อฟังท่านอาหลี่ที่ยอมเดินทางมาเยี่ยมแทบทุกวัน แต่เรื่องความรู้สึกของเด็กนั้นต้องระวังให้มาก เพราะในวัยนี้อาจคิดแต่ไม่ยอมพูด ต้องสังเกตใกล้ชิดว่าต้องการสิ่งใด เรื่องนี้ตวนอ๋องเฉินฟาหยางเป็นผู้สอนนางด้วยตนเอง“ท่านพี่เจ้าคะ...ซือชิงขออนุญาตล่วงเกินท่านพี่นะเจ้าคะ” นางยกถ้วยจรดริมฝีปากและกักเก็บยาขมเอาไว้ ก่อนใช้กำลังบีบแก้มตอบของคนป่วยแน่น นับเป็นเรื่องดีที่เขายังไม่ฟื้นคืนสติจึงขัดขืนมิค่อยได้เสวียนซือชิงทาบจูบลงบนกลีบปากแห้งแตก ปล่อยให้ยาสมุนไพรล้ำค่าค่อย ๆ ไหลลงคอของตวนอ๋องเฉินฟาหยาง แม้หกเลอะเทอะไปบ้างแต่ก็นับว่าได้ผลดีพอสมควร นางทำเช่นนั้นต่อไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายคนป่วยก็นอนนิ่งไม่ผลักไสแล้ว“ซือชิง...ชิงชิง” เสียงแหบพร่าดังขึ้นไม่ต่างจากทุกคืนที่ผ่านมา ยามกลางวันเขามักนอนเงียบ เรียกได้ว่าแทบไม่ขยับ พอตะวันลับขอบฟ้าค่อยมีอาการกระสับกระส่าย บางครั้งหอบหายใจแรงและพลิกตัวไปมาคล้ายนอนหลับไม่สบายตัวนอนหลับไม่สบาย...‘ได







