LOGINชั่วขณะหนึ่งที่ลมพัดปลิว ความงามเสี้ยวหนึ่งของภรรยาก็ปรากฏต่อหน้าหยางเหวินเย่ แม่ทัพหนุ่มใจเต้นแรง เริ่มคลางแคลงใจอย่างหนักว่านางอัปลักษณ์ดั่งที่เขาคิดจริงหรือไม่
อยากจะออกคำสั่งให้นางปลดผ้าคลุมนั่นเสียเกิน แต่ก็กลัวว่าจะทำให้นางอับอาย
หลังนั่งจิบสุราอยู่สองเค่อ หยางเหวินเย่ก็ใช้แขนก่ายหน้าผากเพื่อซ่อนดวงตาจากแสงแดดยามบ่าย เขาเอนหลังพักอยู่ในศาลาหลังน้อย มิแยแสเปิดเปลือกตายามคุณหนูหลิวเข้ามารับภาพวาดตามที่นัดหมาย
ปรากฏว่านางพาสหายมาด้วยสองคน แน่นอนว่าสาวงามเหล่านั้นไม่พลาดโอกาสที่จะซุบซิบนินทาคุณหนูเถียนเถียนและชายแปลกหน้าที่นั่งเอนหลังอยู่มิไกลนัก
“ได้ข่าวว่าสามีไม่อยู่บ้านนานห้าปี แต่ดูท่าคุณหนูเถียนเถียนจะหายเหงาแล้วกระมัง”
อู๋เพ่ยเชี่ยน สหายของคุณหนูหลิวกล่าวออกมาอย่างมิเกรงใจ นางขอติดตามเข้าบ้านเหลียนซานเพื่อชมดูว่าเถียนเถียนงดงามสมคำร่ำลือจริงหรือไม่ ทว่านางกลับซ่อนใบหน้าไว้ใต้ผ้าคลุม กระนั้นดวงตาสีน้ำผึ้งคู่นั้นก็งามจริงดังข่าวว่า และเมื่อความอิจฉาแล่นพล่านทั่วร่าง จึงเผลอกล่าวถ้อยคำมิสมควร สื่อสารไปว่าสะใภ้สกุลหยางกำลังคบชู้สู่ชาย
“ปากสุนัข” หยางเหวินเย่เอ่ยทั้งที่ยังมิได้ลืมตา
“เจ้าว่าใคร!” อู๋เพ่ยเชี่ยนเพ่งตามอง อยากรู้เหลือเกินว่าบุรุษที่ใช้แขนบดบังแสงแดดมิให้ต้องหน้าคือผู้ใด
“ว่าคนที่ปากไม่ดี” หยางเหวินเย่ยังคงไม่ยอมสบตาคุณหนูที่กล่าววาจาดูถูกภรรยา
“คงจะสนิทสนมกันมาก ถึงได้ออกหน้าปกป้องกันถึงเพียงนี้ หากท่านพี่ของข้ารู้เข้า คงจะเสียใจน่าดู”
“พี่ของเจ้าเป็นใคร มีสิทธิ์อันใดมาเสียใจ”
“เจ้าช่างโง่เง่าที่มิรู้ว่าข้าเป็นใคร ข้าคือคุณหนูสกุลอู๋ ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก...” อู๋เพ่ยเชี่ยนกล่าวต่อไปมิได้อีก ด้วยบุรุษที่นั่งเอนตัวอยู่กลับทิ้งแขนลง ความงามสมชายทำให้นางร้อนวูบวาบทั่วร่างชั่วขณะ แค่เขายืดตัวนั่งตรงก็เกือบจะสูงเท่านางที่ยืนอยู่แล้ว
ทว่าสายตาแข็งกร้าวกลับเตือนให้อู๋เพ่ยเชี่ยนได้สติขึ้นมา
“นึกไม่ถึงว่าสตรีสกุลอู๋จะมารยาททราม”
“นี่ท่าน!”
“เถียนเถียน หากเจ้าจะวาดรูปนาง ข้าบอกตรงนี้เลยว่ามิอนุญาต” หยางเหวินเย่หันไปกล่าวกับภรรยา
“ท่านพี่โปรดระงับโทสะ เถียนเถียนรินสุราเพิ่มให้นะเจ้าคะ” ภรรยาอายุสิบเก้ารีบตรงเข้าไปประจบเอาใจ ด้วยทราบดีว่าท่านแม่ทัพผู้นี้อารมณ์ร้อนยิ่งนัก นางใช้ภาษามือออกคำสั่งให้จางฉวนไปนำสุราและกับแกล้มมาเพิ่ม
ฮูหยินหยางชิวเหยาเคยเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ หยางเหวินเย่ก็มิค่อยชอบพูดจาออกความเห็น ทว่าพอได้โอกาสก็จะมิไว้หน้าผู้ใดทั้งนั้น พอเถียนเถียนเห็นสามีอารมณ์เสียใส่คุณหนูสกุลอู๋ จึงรีบเอ่ยคำหวานปลอบประโลมให้ใจเย็นขึ้นมาบ้าง
“ท่านพี่เหนื่อยจากการเดินทาง ให้เถียนเถียนพากลับไปพักผ่อนดีไหมเจ้าคะ”
“อยากนั่งเล่นกับภรรยาอีกสักครู่มิได้หรือ” หยางเหวินเย่ตั้งใจแสดงตัวว่าเขาคือสามีของสตรีที่กำลังถูกหยามเกียรติ ทว่าความใกล้ชิดและดวงตาคู่งามทำให้เขารู้สึกคล้ายกับถูกสะกดให้จมลงไปในบ่อน้ำลึก เขาเกี่ยวปอยผมทัดหูของนาง และพอจะปลดผ้าคลุมหน้า เถียนเถียนกลับเคลื่อนตัวออกห่าง
ดวงตาของนางวูบไหวหวาดระแวงคล้ายกลัวว่าจะถูกทำร้าย
เถียนเถียนขอตัวไปส่งแขก มิลืมกล่าวขอโทษคุณหนูทั้งสาม นางมิถือโทษโกรธเคืองคุณหนูสกุลอู๋ เพราะมีเรื่องที่สำคัญกว่าที่จะต้องจัดการ อารมณ์ของสามียังมิปกติ สายตาของเขาแสดงออกชัดว่าเกิดความต้องการ ไม่ต่างจากเหล่าบุรุษที่จ้องมองนางในสมัยที่บิดายังมีชีวิตอยู่ และหากต้องเข้านอนห้องเดียวกันก็อาจจะเกิดปัญหาใหญ่
ท่านพี่ของนางจะต้องสร่างเมาเสียก่อน
“นั่นสามีของเจ้า ท่านแม่ทัพหยางจริงหรือ” คุณหนูหลิวเอ่ยถาม ในบรรดาเพื่อนสามคน นางนับว่ามารยาทดีที่สุดแล้ว
“ท่านพี่เหนื่อยจากการเดินทาง อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก”
“คงมิอารมณ์เสียถึงขนาดตบเจ้าหน้าแหก จนต้องซ่อนหน้าเอาไว้ใต้ผ้าคลุมกระมัง”
“ดีใจนักคุณหนูสกุลอู๋มีน้ำใจห่วงใยกันตั้งแต่แรกพบ แต่ที่ข้าต้องคลุมหน้า ก็เพราะว่ากลัวว่าท่านพี่จะทนกับความอัปลักษณ์ของข้ามิไหวก็เท่านั้น” กล่าวจบก็ปลดผ้าคลุมหน้าลง เปิดเผยความงามให้คุณหนูขี้อิจฉาได้ปวดใจเล่น
“ไม่ต้องส่งแล้ว!” คุณหนูสกุลอู๋ทนมองหน้าสตรีที่มีความงามมากกว่านางมิได้ จึงเร่งฝีเท้าออกจากบ้านเหลียนซานทันที
ข่าวลือที่ว่าภรรยาของท่านแม่ทัพงามราวกับนางสวรรค์ มิใช่แค่ข่าวลือเสียแล้ว!
หลังจากส่งแขก เถียนเถียนก็กลับมาสวมผ้าคลุมหน้าดังเดิม นางมาทันได้เห็นท่านพี่บีบนวดขมับของตน จึงรีบตรงเข้าไปสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
“มิได้เป็นอะไร แค่ปวดเมื่อยเพราะการเดินทางก็เท่านั้น”
“เช่นนั้นก่อนนอน เถียนเถียนจะนวดให้นะเจ้าคะ”
“นวดเป็นด้วยหรือ”
“เคยนวดให้ท่านพ่อบ่อย ๆ” น้ำตารื้นขอบตาของนางชั่วอึดใจหนึ่งก็หายไป
“ข้าไม่เคยรู้เรื่องของเจ้าเลย”
“ท่านพี่เป็นถึงท่านแม่ทัพเลื่องชื่อ มิควรต้องเสียเวลากับเรื่องไร้สาระของเถียนเถียนหรอกนะเจ้าคะ”
หากเป็นสตรีอื่นกล่าวคำนี้ หยางเหวินเย่ก็คงเข้าใจไปว่าคือการส่อเสียดแสดงความไม่พอใจที่ถูกลืมเลือนนานนับห้าปี ทว่าน้ำเสียงของภรรยายังสาวกลับบอกชัดว่านางหมายความเช่นนั้นจริง และดวงตากลมโตก็มิได้มีความน้อยใจซ่อนอยู่
ออกจะยินดีมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ
“จริงสิ ข้าซื้อของมาฝากหลายชิ้น มิแน่ใจว่าจะชอบหรือไม่”
“จริงหรือเจ้าคะ” ดวงตากลมโตยามดีใจนั้นน่ามองยิ่งนัก
“ท่านพ่อคงจะให้บ่าวนำไปไว้วางที่ห้องแล้ว เจ้า...อยากจะไปชมดูหรือไม่”
“เจ้าค่ะ!” เถียนเถียนส่งภาษามือให้จางฉวน ขอให้บ่าวคนสนิทจัดการส่งสุราและกับแกล้มไปไว้ที่ห้องนอนแทน
ความร่าเริงของภรรยาทำให้สามีขี้โมโหลืมเรื่องของคุณหนูสกุลอู๋ไปเสียสิ้น เถียนเถียนสอดแขนเข้าช่วยคนข้อเท้าเจ็บเพื่อเตรียมตัวเดิน เรือนร่างบอบบางของนางแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ คงเพราะทำนู่นทำนี่ไม่ยอมอยู่นิ่งหรือนอนขี้เกียจเช่นคุณหนูบ้านอื่น
“ข้าทำเองได้” ทว่าเถียนเถียนมิยอมฟัง ค่อย ๆ บรรจงถอดรองเท้าของสามีอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะข้อเท้าข้างที่ยังมีอาการเจ็บอยู่ นางหายตัวไปชั่วอึดใจก็กลับมาพร้อมกับน้ำสะอาด โดยมีจางฉวนคอยอยู่เป็นผู้ช่วย
หลังจากหยางเหวินเย่ล้างหน้าเรียบร้อยดีแล้ว ก็ปล่อยให้ภรรยาแกะผ้าพันข้อเท้าออกและล้างทำความสะอาด นางลงมือทายาและพันผ้ากลับคืนดังเดิม
“เก่งจริง” หยางเหวินเย่เอ่ยชมภรรยาขณะถอดเสื้อตัวนอก ซึ่งนั่นนางก็คอยช่วยเหลือมิต่างกัน
“ครูพักลักจำเท่านั้น ท่านพี่ยังอยากดื่มสุราอยู่ไหมเจ้าคะ”
“สักหน่อยก็ดี ว่าแต่เจ้ามิอยากดูของฝากแล้วหรือ”
“จางฉวน เจ้ากลับไปพักก่อนเถิด ข้าจะดูแลท่านพี่เอง”
ทว่าบ่าวใบ้จางฉวนทำภาษามือรัวเร็ว สีหน้าตื่นตระหนกราวกับว่ากำลังจะเกิดเรื่องไม่ดี
“ไม่ต้องเป็นห่วง” เถียนเถียนส่งภาษามือพร้อมกับยิ้มกว้าง
บ่าวใบ้จางฉวนจัดการจุดตะเกียงเพราะฟ้ากำลังจะมืด แล้วจึงยอมออกจากห้องไป
“ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรหรือ” หยางเหวินเย่อดถามมิได้
“จางฉวนแค่กลัวว่าข้าจะเหนื่อย ท่านพี่ทนลำบากหน่อยนะเจ้าคะ พรุ่งนี้คงจะได้ไม้เท้าที่เหมาะมือแล้ว” เถียนเถียนประคองสามีให้ลุกออกจากเตียงและตรงไปยังโต๊ะเพื่อดื่มสุราต่อ
“พี่ไล่นางออกจากร้านด้วยคำที่ไม่เสนาะหูเลยไม่กล้าเล่าให้เจ้าฟัง...ชิงชิง พี่ไม่ได้กอดเจ้าตั้งหนึ่งคืน คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว”นอกจากคำหวานของตวนอ๋องจะไม่ลดลงแล้ว ความหนาบนใบหน้ายังเพิ่มมากขึ้นตามอายุอีกด้วย เขาอยากกอดพระชายาคนงามยามใดก็กอด อยากหอมยามใดก็หอม เหลือจูบเท่านั้นที่ยังละเว้นไว้ในยามอยู่ตามลำพังแค่สองคน“คิดถึงท่านพี่เช่นกันเจ้าค่ะ”“แค่คิดถึงเท่านั้นหรือ ไม่รู้สึกอย่างอื่นด้วยหรือ” เฉินฟาหยางดึงคนงามมานั่งตักอย่างระมัดระวัง มือหนาลูบครรภ์เบา ๆ อย่างทะนุถนอมรักใคร่ หัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก มีความสุขจนแทบกักเก็บมันเอาไว้มิได้แล้ว“รักเจ้าค่ะ ถามแทบทุกวันไม่เบื่อหรือเจ้าคะ”“นอกจากรักแล้วไม่รู้สึกอย่างอื่นด้วยหรือ ชิงชิงไม่คิดถึงหยางน้อย…”“ท่านพี่!” เสวียนซือชิงฟาดแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างไม่จริงจัง พลางนึกต่อว่าเขาในใจว่าทำได้อย่างไร หวานซึ้งอยู่ดี ๆ กลับมีถ้อยคำลามกแฝงมาในประโยคเสียอย่างนั้นเอง“ก่อนกลับถึงบ้านพี่แวะถามท่านหมอแล้ว ครรภ์เจ้าแข็งแรงอย่างมาก ทั้งมิได้มีอาการแพ้หนักดังแต่ก่อน ท่านหมอกล่าวว่าเราสองคนสามารถกอดกันแน่น ๆ ได้ ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด”เสวียนซือ
“ท่านพี่เจ้าคะ ซือชิงเคยพูดเอาไว้นานแล้วว่าต่อให้ท่านพี่แก่ชราผมขาวโพลนทั้งศีรษะ ซือชิงก็จะยังรู้สึกดีกับท่านพี่ไม่แปรเปลี่ยน ยิ่งท่านพี่น่ารักกับซือชิงและลูกเช่นนี้ ต่อให้เหลือเพียงแค่กระดูกก็ตัดใจเลิกรักไม่ได้เจ้าค่ะ”“ชิงชิงปากหวานกับพี่อีกแล้ว...จริงสิ พี่มีเรื่องต้องแจ้งหนิงเอ๋อร์”เฉินฟาหยางยิ้มให้กับเจ้าตัวน้อยที่ตรงเข้ามาทักทายบิดาและมารดาอย่างมีมารยาท ก่อนกวาดสายตาโดยรอบเพื่อมองหาคนที่คาดว่าจะได้พบเจอ“ท่านอาหลี่ของเจ้ามาไม่ได้ เขาจำต้องกลับไปจัดเตรียมงานมงคล แม้จะเกิดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า แต่ว่าที่เจ้าสาวก็มีหน้ามีตา จึงต้องทำทุกอย่างให้สมเกียรติ”เฉินฟาหยางแจ้งต่อด้วยว่าคุณชายหลี่มีของฝากให้กับทุกคน กระทั่งอดีตสาวใช้สกุลหลี่อย่างเสี่ยวผิงกับเสี่ยวอันก็ได้ด้วย เอาไว้หลังรับประทานมื้อเย็นแล้วค่อยตรวจดูในภายหลัง เสวียนหนิงอันได้ยินดังนั้นก็แสดงสีหน้าผิดหวังชัดเจน ก่อนขอตัวไปดูห้องครัวเผื่อว่าจะมีเรื่องอันใดให้นางฝึกทำได้บ้าง“เช่นนั้นซือชิงไปช่วยลูกดูครัวก่อนนะเจ้าคะ”“ไม่ให้ไป อยากให้ชิงชิงอยู่ปลอบใจพี่ก่อน”“ปลอบใจเรื่องใดหรือเจ้าคะ”“เรื่องที่พี่แก่แล้ว เรื่องที่พระชายา
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางเปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็ว เมื่อตระหนักได้ว่าตนกำลังทำให้พระชายาคนงามมิสบายใจ ยิ่งครรภ์ของนางใหญ่มากเท่าใด เขาก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเท่านั้น แต่นั่นก็ยังมิใช่เหตุผลสำคัญที่ทำให้อารมณ์เสียอยู่ดี“หรือว่าท่านพี่เสียใจที่ยอมให้ข้ามีลูก...” เสวียนซือชิงอยากมีลูกอีกสองสามคน เจ้าก้อนแป้งเองก็อยากมีน้องด้วยเช่นกัน มิได้คิดว่าตนเองจะต้องเป็นบุตรสาวคนเดียวของครอบครัวแต่อย่างใดเสวียนหนิงอันเติบโตอย่างงดงาม กลายเป็นสาวน้อยน่ารัก กิริยามารยาทสมกับเป็นคุณหนูในห้องหอ ทั้งเค้าโครงความงามยังปรากฏตั้งแต่ยังเยาว์วัย ยามนี้อายุได้สิบปีแล้ว มีดื้อดึงเอาแต่ใจไปบ้าง แต่โดยมากแล้วตวนอ๋องผู้เป็นบิดามักจะสั่งสอนและให้คำปรึกษาที่ดี เรียกได้ว่าบุตรสาวสนิทกับบิดามากกว่ามารดาเสียด้วยซ้ำไป“ว่าอย่างไรเจ้าคะท่านพี่”เสวียนซือชิงถามอย่างน้อยใจ นางทราบดีว่าตวนอ๋องมิต้องการให้นางตั้งครรภ์อีก โดยอ้างเหตุผลว่ากลัวนางไม่ปลอดภัย ครรภ์อาจไม่แข็งแรงจนแทบเอาชีวิตไม่รอดเช่นคราวก่อน กว่าจะออดอ้อนให้เลิกดื่มยาเพื่อมิให้สตรีที่ร่วมหลับนอนตั้งครรภ์ได้ก็ใช้เวลานานหลายปี แต่นั่นก็ต้องแลกกับการดูแลตัวเองอย่างมากเพื่อให้
เจ็ดปีผ่านไป...น้ำเสียงออดอ้อนของพระชายาคนงามสอบถามบุรุษที่นางรักอย่างเอาใจ ว่าเหตุใดวันนี้จึงไม่ยิ้มแย้มให้อย่างที่เคย ทั้งยังทำหน้าบูดบึ้งมิยอมให้เข้าใกล้ ถามอันใดก็มิค่อยยอมตอบ เดาได้ลำบากว่ามีเรื่องอันใดรบกวนสมองอันชาญฉลาดของเขาอยู่แน่“ท่านพี่...”“พี่ไม่อยากพูด ขอทำใจสักครู่แล้วจึงจะอารมณ์ดีได้”“เกิดเรื่องยุ่งยากที่ค่ายทหารหรือเจ้าคะ”เสวียนซือชิงยังคงไม่ย่อท้อ พยายามหลอกถามเอาความจริงที่ทำให้ตวนอ๋องอารมณ์ดีถึงกับยิ้มไม่ออก เขาเพิ่งกลับจากค่ายทหารนอกเมืองในช่วงสาย เป็นไปได้ว่าอาจอารมณ์เสียมาจากที่นั่น หรือว่าเพราะเห็นนางเพิ่งกลับมาจากร้านค้าสกุลหลี่ที่พี่ชายบุญธรรมยกให้ดูแลไม่สิ ร้านค้านั้นเป็นของนาง เพราะตวนอ๋องเฉินฟาหยางมีนิสัยไม่ชอบติดค้างผู้ใด ที่มิชอบมากกว่านั้นคือให้พระชายาติดค้างผู้ใด เขาจึงยอมเสียเงินเล็กน้อยเพื่อซื้อกิจการของคุณชายหลี่จินหมิงเพื่อตัดปัญหา ในเมื่อนางเป็นเจ้าของแล้วแวะเวียนไปดูร้านบ้างก็นับว่าเหมาะสมมิใช่หรือ“ท่านพี่...”“ที่ค่ายทหารปกติดี อวิ๋นฝูแวะมาดูการฝึกทหารก็กลับไปแล้ว จินหมิงเองก็เช่นกัน เขาฝากขอโทษที่มิได้มาเยี่ยมเจ้าด้วยตนเองเพราะติดธุระเร่ง
“ไม่ได้เจ้าค่ะ อย่างไรคืนนี้ซือชิงก็จะกอดท่านพี่ ไม่ปล่อยให้นอนบนเตียงตามลำพังอีกแล้ว”เสวียนซือชิงกดมือหนาลงบนเตียง มิยอมให้ตวนอ๋องโบกมือไล่เหมือนที่ผ่านมา ก่อนพาร่างที่สวมเพียงตู้โตวสีแดงสดที่เขาชอบ สอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนหนานุ่มอย่างใจเย็นตวนอ๋องเฉินฟาหยางไม่ดิ้นหนีแล้ว...เขาปล่อยให้วงแขนเรียวพาดลงบนแผ่นอกกว้าง ทั้งยังโอบกอดร่างเล็กเข้ามาแนบชิด กระซิบคำที่มีความหมายตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาละเมอกล่าวในทุกค่ำคืน“หอม ยอดรักของพี่หอมมากเหลือเกิน”“ท่านพี่...”เสวียนซือชิงได้ยินเขากล่าวออกมาเพียงเท่านั้นก็ดีใจแทบร้องไห้ แต่ยังสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้เพราะมิอยากให้น้ำตาแห่งความดีใจ ปลุกบุรุษที่ต้องพักผ่อนให้มากตื่นขึ้นมาก่อนเวลาอันสมควร“หายเร็ว ๆ นะเจ้าคะ ซือชิงกับลูกคิดถึงท่านพี่จะแย่แล้ว”เสวียนซือชิงพร่ำบอกว่าจะดูแลจนกว่าจะหายดีและไม่หนีจากให้เขาต้องทรมานใจอีกแล้วเป็นเช้าที่อบอุ่นเหลือเกิน...เสวียนซือชิงขยับตัวเล็กน้อยก็พลันหยุดนิ่ง เมื่อคืนจำได้ดีว่านางหลับนอนในสภาพกึ่งเปลือย มีเพียงตู้โตวสีแดงที่บัดนี้หายไปจากร่างแล้ว เหลือเพียงฝ่ามืออุ่นร้อนที่เข้ามารองรับดอกบัวคู่งามอย่างทะนุถนอมแ
สัญชาตญาณ...“พวกเจ้าออกไปข้างนอกเถิด ข้าจะดูแลท่านอ๋องเอง”เสวียนซือชิงไม่ลืมกำชับเสี่ยวผิงว่าให้อธิบายเจ้าก้อนแป้งให้ดี แม้หลายวันที่ผ่านมาเสวียนหนิงอันไม่ดื้อไม่ซน เชื่อฟังท่านอาหลี่ที่ยอมเดินทางมาเยี่ยมแทบทุกวัน แต่เรื่องความรู้สึกของเด็กนั้นต้องระวังให้มาก เพราะในวัยนี้อาจคิดแต่ไม่ยอมพูด ต้องสังเกตใกล้ชิดว่าต้องการสิ่งใด เรื่องนี้ตวนอ๋องเฉินฟาหยางเป็นผู้สอนนางด้วยตนเอง“ท่านพี่เจ้าคะ...ซือชิงขออนุญาตล่วงเกินท่านพี่นะเจ้าคะ” นางยกถ้วยจรดริมฝีปากและกักเก็บยาขมเอาไว้ ก่อนใช้กำลังบีบแก้มตอบของคนป่วยแน่น นับเป็นเรื่องดีที่เขายังไม่ฟื้นคืนสติจึงขัดขืนมิค่อยได้เสวียนซือชิงทาบจูบลงบนกลีบปากแห้งแตก ปล่อยให้ยาสมุนไพรล้ำค่าค่อย ๆ ไหลลงคอของตวนอ๋องเฉินฟาหยาง แม้หกเลอะเทอะไปบ้างแต่ก็นับว่าได้ผลดีพอสมควร นางทำเช่นนั้นต่อไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายคนป่วยก็นอนนิ่งไม่ผลักไสแล้ว“ซือชิง...ชิงชิง” เสียงแหบพร่าดังขึ้นไม่ต่างจากทุกคืนที่ผ่านมา ยามกลางวันเขามักนอนเงียบ เรียกได้ว่าแทบไม่ขยับ พอตะวันลับขอบฟ้าค่อยมีอาการกระสับกระส่าย บางครั้งหอบหายใจแรงและพลิกตัวไปมาคล้ายนอนหลับไม่สบายตัวนอนหลับไม่สบาย...‘ได







