LOGINพอรินสุราเรียบร้อยแล้ว เถียนเถียนก็ตรงไปยังห่อสัมภาระขนาดเล็กทันที นางยิ้มกว้างผ่านผ้าคลุมหน้า ก่อนจะแกะของฝากที่สามีนำมาจากเมืองหลวง ปรากฏว่าเป็นเสื้อผ้าสามราวชุดและเครื่องประดับรูปผีเสื้อสีชมพูอมม่วง
เถียนเถียนชื่นชอบผีเสื้ออย่างมาก...
“ข้าไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้ จึงสั่งให้บ่าวช่วยเลือกให้อีกที ถ้าเจ้าไม่ชอบ เราค่อยไปซื้อหาจากร้านในเมืองหลังจากข้าหายดีแล้ว” หยางเหวินเย่มิได้พูดต่อ ด้วยมั่นใจแล้วว่านางกำลังยินดีกับของฝากจนแทบน้ำตาแทบจะร่วงอยู่แล้ว
“เถียนเถียนชอบทุกอย่าง ขอบคุณมากนะเจ้าคะ”
“ปากหวานอย่างที่ท่านพ่อว่าจริง ๆ” หยางเหวินเย่บ่นพึมพำ
“ท่านพี่ปวดตรงไหนหรือเจ้าคะ ข้าจะได้นวดให้”
“บ่าและต้นขา เจ้านวดที่บ่าก็พอแล้ว”
“เจ้าค่ะ” เถียนเถียนลงมือนวดโดยไม่รอช้า
ทว่าหลังจากผ่านไปได้เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียว หยางเหวินเย่ก็ขอให้นางหยุดมือ
“เถียนเถียนนวดไม่ดีหรือเจ้าคะ” นางถามเสียงสั่น
“ดีมาก ข้าแค่รู้สึกง่วงขึ้นมาก็เท่านั้น”
หยางเหวินเย่โกหก เขามิแน่ใจว่านางทำอย่างไร มังกรเบื้องล่างถึงได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาสู้ศึก และพร้อมที่จะออกรบกับศัตรูที่ไม่คู่ควร ยิ่งเถียนเถียนประคองเขากลับไปยังเตียงนอน มันยิ่งสะบัดหัวด้วยอารมณ์เดือดดาล ทำตัวคล้ายกับว่ามิได้ปลดปล่อยนานสักสามเดือน
ก่อนที่จะออกจากเมืองหลวง เขาก็ได้ตักตวงเอาความสุขจากเรือนร่างของหญิงงามทั้งสามนางจนอิ่มเอมแล้วมิใช่หรือ
ต้องเป็นเพราะดวงตาสีน้ำผึ้งคู่นั้นแน่ ๆ!
“เจ้านำกับแกล้มพวกนั้นออกไปเก็บเสียเถิด ได้กลิ่นแล้วนอนไม่ค่อยหลับ”
“เจ้าค่ะ ท่านพี่” เถียนเถียนตั้งใจว่าจะทำเช่นนั้นอยู่พอดี เพราะนางเองก็หิวไม่แพ้กัน และตั้งใจว่าจะไปหาอะไรง่าย ๆ รับประทานในห้องครัว
พอลับตาของภรรยา หยางเหวินเย่ก็เขย่งตัวออกจากเตียงและหยิบเอาผ้าผืนหนึ่งมาเตรียมเอาไว้เพื่อซ่อนหลักฐานของความปรารถนา เขาล้วงลงไปในกางเกงของตน ก่อนจะกำเจ้ามังกรยักษ์ขยับขึ้นลงอย่างเร่งรีบ
โดยปกติแล้วเขามิต้องจินตนาการเพื่อพาตัวเองให้บรรลุเป้าหมาย ด้วยยามอยู่ในเมืองหลวงนั้นมีสาวงามมากมายยินดีมอบกายให้ ทว่าเขาก็เลือกที่จะสนุกกับเหล่านางคณิกา เพื่อตัดปัญหาเรื่องการรับผิดชอบหรือผูกสัมพันธ์กันในอนาคต
ทว่าพอต้องจินตนาการถึงดวงหน้าของนางคณิกาเหล่านั้น หยางเหวินเย่กลับนึกไม่ออก และพอเร่งความเร็วของมือหนักเข้า ก็ปรากฏดวงตาสีน้ำผึ้งของเถียนเถียนอยู่ในห้วงของจินตนาการ
นี่เขาต้องการนางมากถึงเพียงนี้เลยหรือ...
ท่านแม่ทัพหนุ่มพยายามนึกต่อไปว่า หากเปิดผ้าคลุมหน้านั้นออกแล้วจะเป็นอย่างไร ทว่าภาพที่คาดไม่ถึงกลับปรากฏขึ้นในสมอง ดวงหน้าของนางสวรรค์ที่เขาเฝ้าฝันถึงปรากฏทับซ้อนดวงหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุม
ดวงตาของนางก็มีสีไม่ต่างจากภรรยาอัปลักษณ์นัก
หรือว่า...
มือของหยางเหวินเย่สาวเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว ความคิดที่ว่าภรรยาคือนางสวรรค์ทำให้มังกรยักษ์ถึงขีดสุดของความอดทน ปลดปล่อยสายธารขาวขุ่นทะลักทลายเปรอะเปื้อนมือของเจ้านาย ก่อนจะค่อย ๆ กลับลงไปนอนหลับสนิทดังเดิม หยางเหวินเย่ทำความสะอาดร่างกายอย่างเร่งรีบ โดยไม่ลืมซ่อนหลักฐานทั้ง ๆ ที่มั่นใจแล้วว่าเถียนเถียนคงไม่รู้ว่ามันคืออะไร
ครั้งแรกที่เขาเจอนางสวรรค์ คือวันที่ถูกบังคับให้เข้าหอกับคุณหนูหวังเถียนเถียน ครั้งที่สองคือวันที่เขากลับมายังบ้านเหลียนซาน ก็พบนางในบริเวณสวนหลังบ้านที่ภรรยาชอบใช้วาดรูป
หรือว่านางสวรรค์ที่เขาเห็นจะมิใช่แค่ความฝันธรรมดา
ทว่าคือเถียนเถียน ภรรยาอัปลักษณ์!
ยามนี้ภรรยาอายุสิบเก้าปีกำลังนั่งอยู่ในห้องครัว หลังจากฝืนใจกินอาหารไปได้เพียงสามคำก็จำต้องวางตะเกียบ เมื่อครู่ยามที่สามีออกคำสั่งให้หยุดการนวด เถียนเถียนยังมิทันได้คิดอะไรมาก ทว่าพอเคลื่อนตัวออกห่างกลับเห็นเบื้องล่างของสามีขยับขยายมากกว่าปกติ แสดงออกชัดว่าเกิดความต้องการทางกายเพราะการนวดของนางเป็นเหตุ
ก่อนหน้านี้ท่านพี่ได้พยายามที่จะปลดผ้าคลุมหน้าของนาง สายตาของเขาดูอันตรายมิต่างจากเหล่าคุณชายที่ต้องอยู่ให้ห่างในสมัยยังเยาว์ ยามนั้นเถียนเถียนอายุได้สิบสองปี ความงามเริ่มจะเป็นที่เลื่องลือต่อเหล่าคุณชายบ้านใกล้เรือนเคียงแล้ว พออายุได้สิบสามปี ท่านพ่อก็มิอนุญาตให้ออกนอกบ้านอีก ทั้งยังสั่งจางฉวนว่าให้ดูแลคุณหนูมิให้คลาดสายตา
‘พ่ออยากจะกรีดหน้าเจ้าเสีย เจ้าจะได้มิต้องอยู่อย่างลำบาก’
‘ลูกมิได้อยากงาม ลูกอยากมีชีวิตปกติ’
ทว่าคนเป็นบิดาหรือจะทำใจทำร้ายเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้ เขาสั่งสอนบุตรสาวให้รู้จักระวังตัว และฝากจดหมายสำคัญไว้ให้ทุกครั้งก่อนที่จะออกศึก เถียนเถียนภาวนาให้ตนมิต้องใช้จดหมายนั้น ทว่าเรื่องกลับไม่เป็นดังหวัง เพราะท่านพ่อของนางมิรอดจากการศึกสงครามครั้งสำคัญ
จางฉวนบ่าวใบ้ทำตามคำสั่งของรองแม่ทัพหวังเฉินกงอย่างเคร่งครัด พาคุณหนูเถียนเถียนเดินทางสู่ค่ายทหาร และขอพบท่านที่ปรึกษาหยางซือถงเพื่อยื่นจดหมายสำคัญ
“พี่ไล่นางออกจากร้านด้วยคำที่ไม่เสนาะหูเลยไม่กล้าเล่าให้เจ้าฟัง...ชิงชิง พี่ไม่ได้กอดเจ้าตั้งหนึ่งคืน คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว”นอกจากคำหวานของตวนอ๋องจะไม่ลดลงแล้ว ความหนาบนใบหน้ายังเพิ่มมากขึ้นตามอายุอีกด้วย เขาอยากกอดพระชายาคนงามยามใดก็กอด อยากหอมยามใดก็หอม เหลือจูบเท่านั้นที่ยังละเว้นไว้ในยามอยู่ตามลำพังแค่สองคน“คิดถึงท่านพี่เช่นกันเจ้าค่ะ”“แค่คิดถึงเท่านั้นหรือ ไม่รู้สึกอย่างอื่นด้วยหรือ” เฉินฟาหยางดึงคนงามมานั่งตักอย่างระมัดระวัง มือหนาลูบครรภ์เบา ๆ อย่างทะนุถนอมรักใคร่ หัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก มีความสุขจนแทบกักเก็บมันเอาไว้มิได้แล้ว“รักเจ้าค่ะ ถามแทบทุกวันไม่เบื่อหรือเจ้าคะ”“นอกจากรักแล้วไม่รู้สึกอย่างอื่นด้วยหรือ ชิงชิงไม่คิดถึงหยางน้อย…”“ท่านพี่!” เสวียนซือชิงฟาดแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างไม่จริงจัง พลางนึกต่อว่าเขาในใจว่าทำได้อย่างไร หวานซึ้งอยู่ดี ๆ กลับมีถ้อยคำลามกแฝงมาในประโยคเสียอย่างนั้นเอง“ก่อนกลับถึงบ้านพี่แวะถามท่านหมอแล้ว ครรภ์เจ้าแข็งแรงอย่างมาก ทั้งมิได้มีอาการแพ้หนักดังแต่ก่อน ท่านหมอกล่าวว่าเราสองคนสามารถกอดกันแน่น ๆ ได้ ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด”เสวียนซือ
“ท่านพี่เจ้าคะ ซือชิงเคยพูดเอาไว้นานแล้วว่าต่อให้ท่านพี่แก่ชราผมขาวโพลนทั้งศีรษะ ซือชิงก็จะยังรู้สึกดีกับท่านพี่ไม่แปรเปลี่ยน ยิ่งท่านพี่น่ารักกับซือชิงและลูกเช่นนี้ ต่อให้เหลือเพียงแค่กระดูกก็ตัดใจเลิกรักไม่ได้เจ้าค่ะ”“ชิงชิงปากหวานกับพี่อีกแล้ว...จริงสิ พี่มีเรื่องต้องแจ้งหนิงเอ๋อร์”เฉินฟาหยางยิ้มให้กับเจ้าตัวน้อยที่ตรงเข้ามาทักทายบิดาและมารดาอย่างมีมารยาท ก่อนกวาดสายตาโดยรอบเพื่อมองหาคนที่คาดว่าจะได้พบเจอ“ท่านอาหลี่ของเจ้ามาไม่ได้ เขาจำต้องกลับไปจัดเตรียมงานมงคล แม้จะเกิดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า แต่ว่าที่เจ้าสาวก็มีหน้ามีตา จึงต้องทำทุกอย่างให้สมเกียรติ”เฉินฟาหยางแจ้งต่อด้วยว่าคุณชายหลี่มีของฝากให้กับทุกคน กระทั่งอดีตสาวใช้สกุลหลี่อย่างเสี่ยวผิงกับเสี่ยวอันก็ได้ด้วย เอาไว้หลังรับประทานมื้อเย็นแล้วค่อยตรวจดูในภายหลัง เสวียนหนิงอันได้ยินดังนั้นก็แสดงสีหน้าผิดหวังชัดเจน ก่อนขอตัวไปดูห้องครัวเผื่อว่าจะมีเรื่องอันใดให้นางฝึกทำได้บ้าง“เช่นนั้นซือชิงไปช่วยลูกดูครัวก่อนนะเจ้าคะ”“ไม่ให้ไป อยากให้ชิงชิงอยู่ปลอบใจพี่ก่อน”“ปลอบใจเรื่องใดหรือเจ้าคะ”“เรื่องที่พี่แก่แล้ว เรื่องที่พระชายา
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางเปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็ว เมื่อตระหนักได้ว่าตนกำลังทำให้พระชายาคนงามมิสบายใจ ยิ่งครรภ์ของนางใหญ่มากเท่าใด เขาก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเท่านั้น แต่นั่นก็ยังมิใช่เหตุผลสำคัญที่ทำให้อารมณ์เสียอยู่ดี“หรือว่าท่านพี่เสียใจที่ยอมให้ข้ามีลูก...” เสวียนซือชิงอยากมีลูกอีกสองสามคน เจ้าก้อนแป้งเองก็อยากมีน้องด้วยเช่นกัน มิได้คิดว่าตนเองจะต้องเป็นบุตรสาวคนเดียวของครอบครัวแต่อย่างใดเสวียนหนิงอันเติบโตอย่างงดงาม กลายเป็นสาวน้อยน่ารัก กิริยามารยาทสมกับเป็นคุณหนูในห้องหอ ทั้งเค้าโครงความงามยังปรากฏตั้งแต่ยังเยาว์วัย ยามนี้อายุได้สิบปีแล้ว มีดื้อดึงเอาแต่ใจไปบ้าง แต่โดยมากแล้วตวนอ๋องผู้เป็นบิดามักจะสั่งสอนและให้คำปรึกษาที่ดี เรียกได้ว่าบุตรสาวสนิทกับบิดามากกว่ามารดาเสียด้วยซ้ำไป“ว่าอย่างไรเจ้าคะท่านพี่”เสวียนซือชิงถามอย่างน้อยใจ นางทราบดีว่าตวนอ๋องมิต้องการให้นางตั้งครรภ์อีก โดยอ้างเหตุผลว่ากลัวนางไม่ปลอดภัย ครรภ์อาจไม่แข็งแรงจนแทบเอาชีวิตไม่รอดเช่นคราวก่อน กว่าจะออดอ้อนให้เลิกดื่มยาเพื่อมิให้สตรีที่ร่วมหลับนอนตั้งครรภ์ได้ก็ใช้เวลานานหลายปี แต่นั่นก็ต้องแลกกับการดูแลตัวเองอย่างมากเพื่อให้
เจ็ดปีผ่านไป...น้ำเสียงออดอ้อนของพระชายาคนงามสอบถามบุรุษที่นางรักอย่างเอาใจ ว่าเหตุใดวันนี้จึงไม่ยิ้มแย้มให้อย่างที่เคย ทั้งยังทำหน้าบูดบึ้งมิยอมให้เข้าใกล้ ถามอันใดก็มิค่อยยอมตอบ เดาได้ลำบากว่ามีเรื่องอันใดรบกวนสมองอันชาญฉลาดของเขาอยู่แน่“ท่านพี่...”“พี่ไม่อยากพูด ขอทำใจสักครู่แล้วจึงจะอารมณ์ดีได้”“เกิดเรื่องยุ่งยากที่ค่ายทหารหรือเจ้าคะ”เสวียนซือชิงยังคงไม่ย่อท้อ พยายามหลอกถามเอาความจริงที่ทำให้ตวนอ๋องอารมณ์ดีถึงกับยิ้มไม่ออก เขาเพิ่งกลับจากค่ายทหารนอกเมืองในช่วงสาย เป็นไปได้ว่าอาจอารมณ์เสียมาจากที่นั่น หรือว่าเพราะเห็นนางเพิ่งกลับมาจากร้านค้าสกุลหลี่ที่พี่ชายบุญธรรมยกให้ดูแลไม่สิ ร้านค้านั้นเป็นของนาง เพราะตวนอ๋องเฉินฟาหยางมีนิสัยไม่ชอบติดค้างผู้ใด ที่มิชอบมากกว่านั้นคือให้พระชายาติดค้างผู้ใด เขาจึงยอมเสียเงินเล็กน้อยเพื่อซื้อกิจการของคุณชายหลี่จินหมิงเพื่อตัดปัญหา ในเมื่อนางเป็นเจ้าของแล้วแวะเวียนไปดูร้านบ้างก็นับว่าเหมาะสมมิใช่หรือ“ท่านพี่...”“ที่ค่ายทหารปกติดี อวิ๋นฝูแวะมาดูการฝึกทหารก็กลับไปแล้ว จินหมิงเองก็เช่นกัน เขาฝากขอโทษที่มิได้มาเยี่ยมเจ้าด้วยตนเองเพราะติดธุระเร่ง
“ไม่ได้เจ้าค่ะ อย่างไรคืนนี้ซือชิงก็จะกอดท่านพี่ ไม่ปล่อยให้นอนบนเตียงตามลำพังอีกแล้ว”เสวียนซือชิงกดมือหนาลงบนเตียง มิยอมให้ตวนอ๋องโบกมือไล่เหมือนที่ผ่านมา ก่อนพาร่างที่สวมเพียงตู้โตวสีแดงสดที่เขาชอบ สอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนหนานุ่มอย่างใจเย็นตวนอ๋องเฉินฟาหยางไม่ดิ้นหนีแล้ว...เขาปล่อยให้วงแขนเรียวพาดลงบนแผ่นอกกว้าง ทั้งยังโอบกอดร่างเล็กเข้ามาแนบชิด กระซิบคำที่มีความหมายตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาละเมอกล่าวในทุกค่ำคืน“หอม ยอดรักของพี่หอมมากเหลือเกิน”“ท่านพี่...”เสวียนซือชิงได้ยินเขากล่าวออกมาเพียงเท่านั้นก็ดีใจแทบร้องไห้ แต่ยังสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้เพราะมิอยากให้น้ำตาแห่งความดีใจ ปลุกบุรุษที่ต้องพักผ่อนให้มากตื่นขึ้นมาก่อนเวลาอันสมควร“หายเร็ว ๆ นะเจ้าคะ ซือชิงกับลูกคิดถึงท่านพี่จะแย่แล้ว”เสวียนซือชิงพร่ำบอกว่าจะดูแลจนกว่าจะหายดีและไม่หนีจากให้เขาต้องทรมานใจอีกแล้วเป็นเช้าที่อบอุ่นเหลือเกิน...เสวียนซือชิงขยับตัวเล็กน้อยก็พลันหยุดนิ่ง เมื่อคืนจำได้ดีว่านางหลับนอนในสภาพกึ่งเปลือย มีเพียงตู้โตวสีแดงที่บัดนี้หายไปจากร่างแล้ว เหลือเพียงฝ่ามืออุ่นร้อนที่เข้ามารองรับดอกบัวคู่งามอย่างทะนุถนอมแ
สัญชาตญาณ...“พวกเจ้าออกไปข้างนอกเถิด ข้าจะดูแลท่านอ๋องเอง”เสวียนซือชิงไม่ลืมกำชับเสี่ยวผิงว่าให้อธิบายเจ้าก้อนแป้งให้ดี แม้หลายวันที่ผ่านมาเสวียนหนิงอันไม่ดื้อไม่ซน เชื่อฟังท่านอาหลี่ที่ยอมเดินทางมาเยี่ยมแทบทุกวัน แต่เรื่องความรู้สึกของเด็กนั้นต้องระวังให้มาก เพราะในวัยนี้อาจคิดแต่ไม่ยอมพูด ต้องสังเกตใกล้ชิดว่าต้องการสิ่งใด เรื่องนี้ตวนอ๋องเฉินฟาหยางเป็นผู้สอนนางด้วยตนเอง“ท่านพี่เจ้าคะ...ซือชิงขออนุญาตล่วงเกินท่านพี่นะเจ้าคะ” นางยกถ้วยจรดริมฝีปากและกักเก็บยาขมเอาไว้ ก่อนใช้กำลังบีบแก้มตอบของคนป่วยแน่น นับเป็นเรื่องดีที่เขายังไม่ฟื้นคืนสติจึงขัดขืนมิค่อยได้เสวียนซือชิงทาบจูบลงบนกลีบปากแห้งแตก ปล่อยให้ยาสมุนไพรล้ำค่าค่อย ๆ ไหลลงคอของตวนอ๋องเฉินฟาหยาง แม้หกเลอะเทอะไปบ้างแต่ก็นับว่าได้ผลดีพอสมควร นางทำเช่นนั้นต่อไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายคนป่วยก็นอนนิ่งไม่ผลักไสแล้ว“ซือชิง...ชิงชิง” เสียงแหบพร่าดังขึ้นไม่ต่างจากทุกคืนที่ผ่านมา ยามกลางวันเขามักนอนเงียบ เรียกได้ว่าแทบไม่ขยับ พอตะวันลับขอบฟ้าค่อยมีอาการกระสับกระส่าย บางครั้งหอบหายใจแรงและพลิกตัวไปมาคล้ายนอนหลับไม่สบายตัวนอนหลับไม่สบาย...‘ได







