หูซานแตกตื่นจนหน้าถอดสี ถุงผ้าในมือเกือบหลุดร่วง “นี่มันเกินไป เกินไปแล้ว” หลังจากหายตื่นตะลึง เขาก็มีท่าทางดีอกดีใจอย่างปิดไม่มิด
แววตามองคล้ายขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย อดที่จะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้ “เจ้ามีของล้ำค่าติดตัวมากมายขนาดนี้ ยังจะทำเป็นไม่รู้จักหินแร่พวกนี้อยู่อีก ผายลม!”
หลี่หลิงเฟิ่งทำหน้าไม่ถูกไปชั่วขณะ ตาเฒ่าผู้นี้อยู่ดีๆ ก็อารมณ์ขุ่นมัวใส่นาง
“เจ้ามีของเช่นนี้อยู่ตั้งแต่แรก ไยจึงไม่รีบนำมันออกมา” ตำหนิหญิงสาวก่อนกล่าวต่อ “แต่แค่สองก้อนก็พอ ที่เหลือเจ้าเก็บไว้เถอะ” หูซานหยิบออกจากถุงเพียงสองก้อนจริงๆ มองที่เหลืออย่างอาลัย สุดท้ายตัดใจส่งมันคืนให้นาง
หลี่หลิงเฟิ่งย่นคิ้วเข้าหากัน นัยน์ตาฉายแววงุนงงมากกว่าเดิม “แค่สองก้อนพอแน่หรือ ท่านหยิบมันไปเพิ่มอีกดีหรือไม่” ถึงจะไม่รู้ว่าคืออะไร หากแต่ช่วยรักษาได้ย่อมเป็นเรื่องดี
ได้ยินดังนั้น หูซานฉุนขึ้นมาทันที “ข้าเป็นหมอมาสามสิบกว่าปี อาการของโรคเป็นอย่างไร ปริมาณยาหรือพลังที่ใช้ย่อมรู้แน่ชัดอยู่แล้ว บอกว่าพอก็คือพอ เด็กอย่างเจ้าสงสัยคำวินิจฉัยของข้าอย่างนั้นหรือ” หญิงผู้นี้อะไรก็ดีไปหมด เหตุใดวันนี้ริทำตัวน่ารังเกียจ เขาเป็นถึงนักหลอมโอสถที่ถึงขนาดฮ่องเต้ยังต้องเกรงใจ ไหนเลยจะเคยโดนสบประมาท
แต่นางเด็กน่าตายผู้นี้ เห็นเขาดีด้วยหน่อยถึงกับไม่เคารพนับถือกันเชียวหรือ
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่ไม่รู้จริงๆ ว่ามันคืออะไร” หลี่หลิงเฟิ่งรีบอธิบายก่อนที่ท่านหมอหนึ่งเดียวในละแวกนี้จะเข้าใจผิดไปไกล พาลไม่รักษาพี่ชายของนาง จะทำอย่างไร
ชายชรามองหลี่หลิงเฟิ่งราวกับไม่อยากเชื่อ มีคนบนโลกนี้ไม่รู้จักของสิ่งนี้จริงหรือ หรี่ตาสังเกตพักใหญ่ เห็นว่าไม่มีความผิดปกติใดๆ บนใบหน้าของนาง ความโกรธขึ้งก่อนหน้าจึงมอดดับ ถอนหายใจเฮือกอย่างปลงอนิจจัง
“เจ้าได้มันมาจากที่ไหนกันแน่ถึงไม่รู้จัก คนขายไม่ได้บอกเจ้ารึไง” หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มแหย จะให้นางบอกได้อย่างไรว่าไปขโมยจากสัตว์อสูรตนหนึ่งมา
“คนขาย?”
หูซานไม่สนใจจะตอบคำถาม เอ่ยปากต่อ “มีของล้ำค่าอยู่เช่นนี้ เจ้าของกลับเห็นเป็นสิ่งไร้ค่าไร้ราคาเสียได้ รู้ไว้เถอะว่าแค่ก้อนๆ เดียวก็เกือบซื้อเมืองทั้งเมืองได้แล้ว แต่เจ้ากลับเห็นเป็นขยะ! รู้หรือไม่สิ่งนี้ได้มาจากอะไร แม้แต่ฮ่องเต้ยังไม่ได้ครอบครองมันสักก้อนเลยด้วยซ้ำ” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาดังขึ้นเรื่อยๆ หางตาปริ่มน้ำด้วยความตื่นเต้น กวัดแกว่งหินสีเขียวไปมาเบื้องหน้านาง
“ล้ำค่า หายาก มีเพียงหนึ่ง เจ้าว่ามันจะเป็นอะไรได้เล่า” ชายชราลุ้นระทึกขณะจ้องมองหลี่หลิงเฟิ่ง พลันหมดสนุก เมื่อปะทะเข้ากับหน้าตาเอือมระอาสุดขีดของสตรีผู้นี้ สายตาของนางคล้ายกับกำลังบอกเขาว่า ท่านรีบพูดเถอะ ข้าไม่มีอารมณ์จะเล่นหรอกนะ
หูซานส่งเสียงฮึ่มในลำคออยู่หลายที “มันคือไขแร่! ไขแร่น่ะรู้จักมั้ย! ไม่เพียงแค่เป็นไขแร่เท่านั้น แต่ยังบริสุทธิ์มากอีกด้วย ไขแร่ในวังสระหยกสกุลกวนยังมิอาจเทียบเท่ากับในมือของข้าเลย”
“ไขแร่หรือ” คราวนี้ถึงคราวหลี่หลิงเฟิ่งตกอกตกใจบ้างแล้ว หยิบก้อนหินที่เปร่งประกายวาววับขึ้นมาก้อนหนึ่ง ขณะพินิจดูคิ้วสวยเลิกขึ้นอย่างสนอกสนใจ
หลี่หลิงเฟิ่งเคยอ่านตำราขั้นพื้นฐานที่ผู้ฝึกพลังยุทธ์พึงรู้ของเจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้ เข้าใจว่า การจะได้ไขแร่มานั้น เกิดจากการผสมหินแร่กับน้ำแร่ จากนั้นตกตะกอนมาเป็นไขแร่
แต่เจ้าก้อนหินพวกนี้เปรียบเสมือนอัญมณีที่รอการเจียระไนซะมากกว่า หลุดกรอบความคิดนางไปมากโข หาได้เอะใจเลยสักนิด
นางรู้คุณสมบัติของไขแร่มาบ้าง หากแต่ไม่คิดว่ามันจะอยู่ติดกายนางมาตลอด ไม่แปลกใจเลย เหตุใดท่านหมอหูถึงขุ่นเคืองมากมายเช่นนี้ เป็นของหายากขนานแท้ นางกลับไม่รู้จักมัน แต่นางผิดอันใด ในเมื่อไม่เคยเห็น ย่อมไม่รู้เป็นธรรมดา
แน่ล่ะ ถ้าใครได้เห็นก็ต้องมีสติแตกกันอยู่แล้ว ดีไม่ดีอาจจะเกิดการแย่งชิงขึ้นมาได้
“เท่าที่ข้ารู้คือ ไขแร่สีเขียวหนึ่งก้อนทดแทนหินแร่สีเขียวได้แค่สองก้อนเท่านั้น แต่พี่ใหญ่ต้องการทั้งหมดสิบก้อน จะเพียงพอได้ยังไง” หลี่หลิงเฟิ่งควบคุมอารมณ์ให้สงบลง นางเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน กับเรื่องทุกเรื่องนางสามารถจัดการได้อย่างสงบ มีสติ แต่พอเป็นเรื่องของหลี่เฟยหยาง สมองของนางมักจะมีปัญหาเสมอ
นับตั้งแต่คราแรกที่เจอกัน จิตสัมผัสของนางทำงานบกพร่อง ความรู้สึกนำพาไปก่อนความคิด รู้สึกไม่สงบนิ่งตลอดเวลา
หูซานหัวเราะร่า กล่าวอย่างอารมณ์ดี “ไขแร่บริสุทธิ์จะเหมือนกับไขแร่ทั่วไปได้อย่างไร”
มองใบหน้าที่ไม่ยอมผ่อนคลายของหญิงสาวที่เขานึกเอ็นดูอยู่หลายปี จึงเอ่ยปลอบออกมาคำหนึ่ง “วางใจเถอะ พี่ชายของเจ้ายังไม่ถึงคราวตายหรอก”
หูซานหยิบเตาหลอมโอสถและสมุนไพรอีกสองสามอย่างออกมาจากกำไล จากนั้นเริ่มทำการหลอมยาทันที หลี่หลิงเฟิ่งจ้องกำไลสีเงินเกลี้ยงเกลาเขม็ง กำไลอีกแล้วหรือ หรือสิ่งนี้จะเก็บสิ่งของได้เหมือนกับมิติของนาง
ครุ่นคิดสักพักหนึ่ง แอบส่ายหัวอยู่ในใจ ไม่น่าใช่ อาจเก็บสิ่งของได้ แต่ไม่มีทางมีคุณสมบัติอย่างมิติมายาแน่ เมื่อคิดได้ดังนี้ ประกายตาของนางก็สั่นระริกระคนยินดี
ถ้าข้ามีกำไลเก็บสิ่งของได้ จะอำพรางมิติของข้าก็ง่ายขึ้นน่ะสิ เอาล่ะ ตอนนี้นางไม่อาจแน่ใจว่าตนเองคิดถูกต้องหรือไม่ คงต้องรอถามจากท่านหมอหูอย่างเดียว
ระหว่างที่หลี่หลิงเฟิ่งจมดิ่งอยู่ในโลกส่วนตัว หูซานได้สกัดส่วนผสมทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว โยนส่วนผสมทั้งหมดเข้าไปในเตาหลอมโอสถ จากนั้นเริ่มควบคุมกำลังไฟให้เหมาะสม
แววตาของหญิงสาวเผยแววชื่นชมออกมาจากใจจริง คิดไม่ผิดที่นางเลือกคบค้าสมาคมด้วย หมอท่านนี้เป็นคนดียิ่ง หากเป็นคนอื่น แค่ฝีมือนับว่าพอใช้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องหลอมยาเลย ต่อให้ไปเชิญคงไม่ยอมเปิดแม้แต่ประตูต้อนรับ หรือต่อให้เชิญมาได้ ได้เห็นไขแร่มูลค่าควรเมืองหลายชิ้น ต้องละโมบอยากได้อยู่แล้ว จะมีสักกี่คนอดใจไหวและยอมละทิ้งความโลภอย่างง่ายดาย
ยิ่งไปกว่านั้น หูซานยังหลอมโอสถต่อหน้านางโดยไม่เก็บงำวิชาเอาไว้แม้เพียงนิด ไม่ทราบว่ามั่นใจในความเก่งกาจของตัวเองหรือดูถูกว่านางโง่เง่าดูไม่เข้าใจกันแน่
ไม่ว่าเหตุผลไหน มีสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ นั่นคือ น้ำใจ
“มีปัญหา มีปัญหาแล้ว” ผ่านไปเพียงสองเค่อ ชายชราโพล่งออกมาเสียงดัง จนหลี่หลิงเฟิ่งที่นั่งอยู่ข้างเตียงพลอยสะดุ้งไปด้วย เร่งร้อนเดินมาหาหูซาน
“ปัญหาใด” น้ำเสียงวิตกกังวลปนร้อนใจออกจากปากเรียว
หูซานยิ้มกว้าง กลิ่นหอมกำจายอ่อนๆ ของยาลูกกลอนลอยออกมาจากเตา ในนั้นมียาลูกกลอนสีเข้มขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันอยู่สองเม็ด “ไม่ใช่ปัญหาของยาที่ข้าหลอมแต่อย่างใด แต่ประสิทธิภาพไขแร่ที่เจ้าหามาดีมากเกินไปต่างหาก ไม่เพียงแต่รักษาอาการบาดเจ็บให้หายเร็วขึ้น ยังช่วยเพิ่มพลังยุทธ์ได้อีกด้วย ตั้งแต่เกิดมา เป็นครั้งแรกที่ข้าเคยหลอมยาบริสุทธิ์ขนาดนี้ ระดับของข้าไม่นับว่าสูง หลอมออกมาเต็มเจ็ดส่วนในสิบส่วนนับว่าเกินความคาดหมายแล้ว”
เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสเห็นไขแร่พิสุทธิ์จนแลโปร่งใสเช่นนี้ อารมณ์ของหูซานเกินกว่าจะใช้คำว่าดีมาบรรยายได้ “ติดอยู่อย่างเดียว ไม่รู้ว่าพี่ชายเจ้าจะรับไหวหรือเปล่า”
“ถ้าไม่ไหวเล่า” ฟังมาถึงตรงนี้ หลี่หลิงเฟิ่งร่วมอารมณ์ดีด้วยไม่ลงแล้ว
“ก็ตาย” ชายชราตอบกลับรวดเร็ว ราวกับผลลัพธ์ต้องเป็นอย่างนี้ไม่ผิดเพี้ยน
มุมปากหลี่หลิงเฟิ่งกระตุก อยากจะกระชากตัวเฒ่าทารกผู้นี้ลงพื้นสักร้อยตลบ “ช่วยไม่ได้ แล้วยังมาอวดอ้างว่าตนเองฝีมือดีอีกหรือ”
“เพ้ย! นังหนู ข้าผู้นี้บอกว่ารักษาหายก็คือหาย” หูซานหน้าตึง แทบจะกระอักเลือด ถ้ามีเครา ป่านนี้คงชี้ชันไปแล้ว “จะไปยากอะไร ก็แค่ลดปริมาณยาลงให้พี่เจ้าก็พอแล้ว ไม่เกินสามวันเจ้าหนุ่มนั่นก็ฟื้นขึ้นมาดุด่าเจ้าได้แล้ว ส่วนลูกกลอนนี่ก็เก็บไว้กินทีหลัง ชื่อเสียงของข้าไม่ใช่แค่กล่าวอ้างลอยๆ ตอนเฒ่าผู้นี้เป็นที่เลื่องชื่อกระบือไกล เด็กปากเสียอย่างเจ้ายังเป็นก้อนเลือดอยู่ในท้องแม่ด้วยซ้ำ”
หลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียง ฮึ่ม กลับไป “พูดแบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบ”
“ช้าก่อน เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลย” หลี่หลิงเฟิ่งหันหลังกลับมา นึกฉงน “คำตอบอันใด”
“พี่ชายเจ้าจะยอมกินยาลูกกลอนสองอันนี้พร้อมกันหรือไม่” สายตาคาดหวังเต็มเปี่ยมแสดงเจตจำนงที่แท้จริงออกมาโดยไม่รู้ตัว หญิงสาวส่งสายตาดูแคลนให้อย่างเปิดเผย
“ท่านหมอหู เห็นแก่ที่พวกเราคบค้ากันมานาน เรื่องในครั้งนี้ข้าจะไม่เอาความ หากท่านต้องการคนทดลอง ก็ใช้ตัวท่านเองเถิด” รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามอีกครั้ง หลังจากที่หายลับไปตลอดทั้งวัน “ข้ามีพี่ชายเพียงคนเดียว ความเสี่ยงแม้น้อยนิด ข้าก็จะไม่มีวันให้เกิดขึ้น ท่านจงลืมมันไปเสีย”
แม้หูซานจะผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็เลือกที่จะหุบปากตัวเองสนิท ไม่รบเร้าต่อ อย่าได้ไปแตะขีดความอดทนของสาวน้อยตาใสจิตใจโหดเหี้ยมผู้นี้จะดีกว่า
เขาไม่กลัวมีเรื่องกับตระกูลหลี่ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่หวาดหวั่นต่อพิษสงของหญิงสาวตรงหน้า
หูซานเดินไปป้อนยาให้หลี่เฟยหยางด้วยตนเอง หยุดมองใบหน้าหล่อเหลาที่บัดนี้ซีดขาวราวกับศพ พลางเหลือบมองหลี่หลิงเฟิ่งที่กำลังพินิจเตาหลอมโอสถของเขาเป็นระยะ
ชายชราลูบคางอย่างครุ่นคิด เขารู้สึกถูกใจและเอ็นดูสาวน้อยนางนี้ตั้งแต่แรกเห็น จากการคบหาจริงจังก็ราวสองปี นิสัยใจคอไม่นับว่าแย่ ซ้ำยังมีพรสวรรค์ด้านการปรุงโอสถ เขาไม่อาจเชื่อว่านางแค่อ่านตำราก็สามารถปรุงยาขั้นพื้นฐานและถึงกับปรุงพิษออกมาได้อีกด้วย
หากเป็นเขายังต้องร่ำเรียนอยู่เป็นปีกว่าจึงจำสมุนไพรหลากหลายชนิดได้ ฝึกฝนอยู่หลายปีถึงช่ำชองปรุงยาขั้นพื้นฐานให้มีคุณภาพสูงสุดสำเร็จ แต่ทั้งหมดจำเป็นต้องมีอาจารย์คอยชี้แนะสอนสั่ง หูซานถูกขนานนามว่าเป็นอัจริยะ พรสวรรค์เป็นเลิศผู้หนึ่งในดินแดนหลิวเฟิง
ทว่า หลังจากพบหลี่หลิงเฟิ่ง เขากลับไม่กล้าภูมิใจกับเกียรติยศที่สั่งสมมาหลายปีของตัวเองได้เลย นางเป็นยอดอัจริยะในหมู่อัจริยะด้วยกัน!
หูซานกระแอมเบาๆ “อยากได้รึ” หลี่หลิงเฟิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง เอ่ยปากพูดแต่สายตาไม่ได้รั้งไปจากเตาหลอมสักนิด “ข้าแสดงออกชัดเจนเพียงนั้นเชียว”
ชายชรากลอกตา “เจ้าจ้องมันปานจะกลืนกินลงท้องขนาดนั้น ผู้ใดมองไม่ออกก็โง่เต็มทีแล้ว” เมื่อรู้ว่าตนเองเอ่ยเหน็บแนมหญิงสาว ปากที่กำลังจะอ้าออกพลันชะงักค้าง ก่อนที่น้ำเสียงจีบปากจีบคอจะดังขึ้น ทำเอาหลี่หลิงเฟิ่งขนลุกซู่ ขยาดกลัว “หากเจ้าอยากเข้าสำนักแพทย์โอสถตอนนี้เห็นทีจะเป็นเรื่องยาก ผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมต้องรู้จักการหลอมยาขั้นต้นก่อน อีกอย่าง การเปิดรับสมัครปิดไปตั้งแต่ต้นปีแล้ว หากเจ้าอยากสมัครก็ต้องรออีกทีต้นปีหน้า”
“แต่ปัญหานี้จะหมดไป ถ้าเจ้ากราบข้าเป็นอาจารย์ ตำแหน่งของเจ้ายังจะสูงกว่าพวกนักเรียนเข้าใหม่ขั้นหนึ่งด้วยซ้ำ” หูซานยังพูดโน้มน้าวสตรีชุดแดงไม่หยุด “ไม่ง่ายเลยที่อัจริยะอย่างข้าจะรับศิษย์ เจ้าจงภูมิใจที่ได้เป็นผู้ถูกเลือกเถิด”
ความเงียบภายในห้องยังคงดำเนินต่อไป ชายชรายิ้มกริ่ม นังหนูนั่นอึ้งอยู่สินะ เนื้อเต้นตัวสั่นทำอะไรไม่ถูกสินะ หึๆ
หูซานเดินไปทั่วห้อง ยืดอกกล่าวต่อพร้อมกับหันไปทิศทางที่หลี่หลิงเฟิ่งยืนอยู่ “พึงรู้ไว้ เจ้าโชคดีแค่ไหน ที่ข้าลด...” ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็เห็นเพียงเงาหลังไวๆ เดินผ่านหน้าไปนั่งแหมะอยู่ข้างเตียงคนป่วย
นางไม่ได้ฟังที่เขาพูดเลยสักนิด นางเด็กนิสัยเสียผู้นี้!
“ยาลูกกลอนของท่าน เมื่อกินไปแล้ว มีผลข้างเคียงอันใดหรือไม่” มือเรียวจับชีพจรที่เต้นชัดขึ้นกว่าตอนแรก สีหน้าอ่อนล้ามาทั้งคืนผ่อนคลายลงในที่สุด จากนั้นกระชับผ้าห่มผืนหนาให้แน่นขึ้น
“ห้ะ...ไม่มี” เมื่อเจอประโยคนี้สวนกลับ สมองของเขาถึงกับว่างเปล่า “นี่เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดเลยรึ” หูซานโกรธจนควันออกหู เขาพูดไปเยอะแยะ แต่นังหนูนี่กลับทำหูทวนลม
“พูดอะไร” หญิงสาวเงยหน้ามอง กล่าวด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “ที่ท่านเสนอขายตัวเองน่ะรึ”
“เด็กเวร! ข้าหวังดีกับเจ้าจึงรับเป็นศิษย์ มีใจอยากสอนสั่ง เจ้าไม่ซึ้งใจไม่เป็นไร แต่กลับเนรคุณกล่าวหาข้าเยี่ยงนี้รึ เจ้าทำกับผู้มีพระคุณอย่างนี้ได้อย่างไร” หูซานชี้หน้าหลี่หลิงเฟิ่งจนนิ้วสั่นเทา หน้าดำหน้าแดงโมโหจนตัวสั่น
“บุญคุณมีไว้ตอบแทน ข้ากระจ่างแจ้งดี อีกอย่าง ข้าพูดอันใดผิด อัจริยะรึ ไหนท่านลองบอกสักหน่อยเถิด คำว่าอัจริยะของท่านสะกดอย่างไร” ตลกน่า ให้นางกราบหูซานเป็นอาจารย์ ในใจของนางเห็นปฐมาจารย์เทพโอสถ ผู้มอบคัมภีร์โอสถสวรรค์เป็นอาจารย์ของนางอย่างแท้จริง นางมีอาจารย์อยู่แล้วแท้ๆ แถมยังเป็นหนึ่งเดียวไม่ใช่หนึ่งใน จะให้นางกราบคนอื่นเป็นอาจารย์อีกได้อย่างไร นี่เป็นการลบหลู่ปฐมาจารย์เทพโอสถชัดๆ
หูซานอ้ำอึ้งอยู่นาน ก็ยังพูดออกมาไม่ได้สักคำ สุดท้ายยกมือพ่ายแพ้ ก้มหน้าปลงตก ยอมรับชะตากรรมอันโหดร้าย สำหรับหญิงสาวตรงหน้าแล้วยังไปได้ไกลกว่าเขาหลายร้อยเท่า แค่ความสามารถดมกลิ่น จำแนกสรรพคุณสมุนไพรภายในไม่กี่วัน ปรุงยา ปรุงพิษคุณภาพกลางได้ด้วยตนเอง นางยังต้องการอาจารย์ไปเพื่อสิ่งใด
“เป็นศิษย์ท่าน ข้าไม่สนใจ” หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มอย่างอ่อนใจ ไม่ได้โกรธขึ้งหูซานจริงจัง น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจึงกึ่งโมโหกึ่งปลอบประโลม “แต่เราเป็นสหายแลกเปลี่ยนความรู้กันได้”
อย่างไรก็ตาม ท่านหมอหูก็เป็นคนช่วยชีวิตหลี่เฟยหยาง ถือว่ามีบุญคุณต่อนางเช่นกัน นางจะจัดเขาให้เป็นหนึ่งในสหายก็ไม่มีอะไรเสียหาย
แต่ใครจะคาดคิดว่าตาเฒ่าชราจะดื้อรั้นเป็นเด็กๆ เมื่ออีกทางถูกนางปิดตาย เจ้าตัวกลับเริ่มแผ้วถางทางใหม่เดินให้ได้เสียนี่ เมื่อได้ฟังจนจบ หลี่หลิงเฟิ่งแทบสำลักน้ำลายตัวเอง
“แลกเปลี่ยนความรู้หรือ ความคิดนี้ไม่เลว” ใบหน้าห่อเหี่ยวกลับมาตื่นเต้นจนหญิงสาวตั้งตัวไม่ทัน “งั้นเจ้าก็เป็นศิษย์น้องของข้าแล้วสิ”
ผ่านไปสิบวันอาการบาดเจ็บของหลี่เฟยหยางดีขึ้นมาก หูซานได้กลายเป็นแพทย์ประจำตัวของเขาไปแล้ว ทุกวันจะต้องมาจับชีพจร สอบถามความคืบหน้าระหว่างรักษาเสมอ ทั้งที่ชายชราไม่มีความจำเป็นต้องมาด้วยตนเอง เนื่องด้วยผู้ป่วยทั้งสองอยู่ในระยะปลอดภัยนานแล้วหลักๆ ที่วนเวียนอยู่อย่างนี้ เพราะต้องการเอาใจ ‘ศิษย์น้อง’ ที่เพิ่มมาอีกหนึ่งคน สร้างความรู้สึกประทับใจ เกาะติดหลี่หลิงเฟิ่งไม่ยอมห่างบอกตามตรง ตอนนั้นหลี่หลิงเฟิ่งเดือดดาลจนไร้คำพูดโต้กลับ นางแสดงเจตจำนงชัดเจนด้วยการปฏิเสธการเป็นศิษย์ของเขา นางไหนเลยจะคิดว่าเฒ่าทารกดันยกลำดับอาวุโสของนางให้สูงขึ้น ยังไม่ทันจะกล่าวอันใด หูซานก็ยกเตาหลอมโอสถให้นางพร้อมกับตำราสมุนไพรหนึ่งร้อยแขนงให้นางไว้ท่องจำทุกเช้าหลังจากตรวจอาการหลี่เฟยหยางและเสี่ยวเฉินเรียบร้อย หูซานจะขลุกอยู่กับนางตลอดช่วงบ่าย บางครั้งยังลากนางไปโรงหมอเพื่อดูอาการคนไข้ เดิมทีหลังจากหลี่เฟยหยางฟื้นขึ้นมา นางคิดจะปฏิเสธหูซานอย่างจริงจัง เมื่อนำไปปรึกษากับชายหนุ่ม กลับเป็นหลี่เฟยหยางโน้มน้าวให้นางรับข้อเสนอนี้ไว้เสียเองหลี่หลิงเฟิ่งจึงผงกศีรษะรับอย่างจำใจ กลายมาเป็นศิษย์น้องของหูซานด้วยประการฉะ
ช่วงนี้แคว้นหลิวอวิ๋นมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเรื่องสนุกปากในโรงเตี๊ยมและตามตรอกซอกซอยมีเพิ่มขึ้นทุกวัน เรื่องเล่าที่เป็นที่กล่าวขานมากสุดคงหนีไม่พ้นเรื่องคู่หมั้นขยะขององค์ชายรองผู้เป็นเลิศในทุกด้าน ได้รับความนิยมจนโรงละครนำมาทำเป็นเรื่องเล่าหลายต่อหลายบท เหตุการณ์สำคัญในเรื่องพูดถึงความอาภัพอับโชคขององค์ชายรอง หน้าตาอัปลักษณ์ของคู่หมั้น รวมไปถึงเสนาบดีหลี่ใช้อำนาจบาตรใหญ่บังคับเหล่าองค์ชายแต่งงานกับหลานสาวอันเป็นที่รัก ฮ่องเต้เห็นแก่คุณงามความดีของเจ้าเมืองหลี่จึงได้ยกองค์ชายรองให้หมั้นหมายกับบุตรสาวตระกูลหลี่ ที่ได้ชื่อว่าตัวไร้ค่าชาวบ้านต่างพากันเห็นใจสงสารองค์ชายรอง สาปแช่งก่นด่าหลี่หลิงเฟิ่งและเจ้าเมืองหลี่เรื่องราวอัปยศอดสูทำเอาเจ้าเมืองหลี่โกรธจนแทบจะกระอักเลือด ขุนนางทั้งหลายพากันประณามเขา ฎีกาหลายฉบับส่งตรงไปหาฮ่องเต้ให้ยุติการหมั้นหมายนี้ลง ตัวเขาเองที่เป็นบิดาก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ไหนเลยจะมีใครคิด ไม่เพียงฮ่องเต้ไม่เอ่ยปากทัดทาน หากแต่ทรงกริ้วเหล่าขุนนางที่ร้องเรียนหน้าท้องพระโรง ออกว่าราชการยังไม่เสร็จก็สะบัดแขนเสื้อจากไปชายวัยกลางคนรู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนใบ้ที่กินหว
พลังเช่นนี้...ความรู้สึกกดดันเช่นนี้...ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหลอมรวม ซ้ำยังสูงกว่าเขาอีกหนึ่งขั้น เมื่อครู่ผู้ลอบเล่นงานเขาไม่ใช่สองพี่น้องคู่นั้้น เป็นชายชราผู้นี้แน่นอน เป็นเขาที่กดข่มพลังคนทั้งหมดไว้ เป็นเขาที่บังคับให้ข้าคุกเข่า...หลี่เชาสูดหายใจลึก รู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังมาเยือนถึงหน้าประตู“ท่าน...ท่านกับข้า...พวกเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน เหตุใดจึงตั้งตนเป็นปรปักษ์ ลอบทำร้ายกันเล่า” ความเงียบปกคลุมทั่วบริเวณ ไม่มีเสียงตอบรับเล็ดลอดออกมา มีเพียงเสียงดังอั่กทีหนึ่ง เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดเลอะพื้นกระเด็นมาจนถึงจุดที่หลี่หลิงเฟิ่งยืนอยู่พลั่ก พลั่ก พลั่กท่ามกลางการชะงักค้างของทุกคน พลังสีแดงพุ่งไปรอบด้านไม่ขาดสาย เหล่าผู้คุ้มกันเหมือนเป็นง่อยเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงตอบโต้ ได้แต่นอนโอดโอยบนพื้นโถงรับรองอันเย็นเฉียบ เพลิงพิโรธของหูซานยังคงไม่มอดดับลงง่ายๆ หันไปเล่นงานหลี่เชาที่นอนพะงาบๆ อยู่บนพื้นไร้เสียงตอบโต้“ช้าก่อน” หลี่หลิงเฟิ่งรีบร้องปรามเมื่อเห็นท่าไม่ดี“ท่านจะฆ่าใครข้าไม่สน แต่อย่าให้คนพวกนี้มาตายในบ้านของข้าเป็นอันขาด” หลูหมิ่นซึ่งเวลานี้ปากชาไปหมดเพิ่งได้สติคืนมา มองทั้งส
เนื่องจากในวังมีการเลื่อนวันเข้าเฝ้า จากกำหนดเดิมคือสิบห้าวันหลังเสร็จพิธีปักปิ่นของนาง ไม่รู้เพราะเหตุอันใดจึงร่นระยะเวลาให้เหลือเพียงสามวันเป็นเหตุให้พวกนางต้องเร่งกลับบ้านทันทีเพื่อเข้าร่วมงานปักปิ่นที่จะจัดขึ้นก่อนกำหนดสิบห้าวัน หากว่ากันตามจริงแล้ว ถ้านางไม่ได้รับความสำคัญในครั้งนี้ขึ้นมา หลี่หลิงเฟิ่งไม่ถูกจัดให้เข้าร่วมและเป็นหนึ่งในตัวเอกของงานแน่นอน ไม่รู้ว่าตอนนี้คนพวกนั้นจะเคียดแค้นใจมากแค่ไหนที่ต้องแบ่งพื้นที่ในจวนแก่น้องห้าอย่างนางได้ใช้สอย“พร้อมหรือยัง”“เจ้าค่ะ”หลี่เฟยหยางลูบหัวนาง “ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก” หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มรับ ผงกศีรษะน้อยๆ ก่อนก้าวขึ้นไปนั่งในรถม้าที่จัดเตรียมไว้ใครบอกว่านางกลัวกัน นางเฝ้ารอให้วันนี้มาถึงที่สุดต่างหากด้านนอกมีหลี่เฟยหยางกับหวังซีควบม้าขนาบข้างซ้ายขวา เสี่ยวเฉินคอยกุมบังเหียนขับเคลื่อนรถม้า ส่วนนางผู้ที่สบายสุด กึ่งนั่งกึ่งนอนเอกเขนกอยู่ในรถม้า ฟังเรื่องเล่าขบขันจากสาวใช้ตัวน้อยของคนในเมืองหลี่ไปพลาง มือหยิบขนมที่เสี่ยวเซียงเตรียมไว้เข้าปากไปพลาง ส่วนหูซานกับหวังข่ายนั้นจะติดตามมาทีหลัง จำต้องจัดการลู่ทางโรงหมอที่นั่นสักพักใหญ่ขาดก็
หลี่หลิงเฟิ่งคิดไม่ถึงว่าแค่กลับบ้านจะมีคนมารอรุมทุบตีมากมายขนาดนี้ ยังไม่รวมถึงบ่าวไพร่ที่คุกเข่าอยู่ด้านหลัง และที่แอบอยู่ตามทางเดิน พุ่มไม้ บนเรือนอีกนับสิบยี่สิบคน บรรยากาศคึกคักยิ่งไม่เจอกันไม่กี่ปีคนเหล่านี้ยังคิดว่านางเป็นลูกพลับนิ่มให้ขยำเล่นตามใจชอบเหมือนเมื่อก่อนอยู่อีกสินะ เมื่อมีคนอยากลอง นางจะไม่สนองคืนคงผิดต่อความตั้งใจของคนเบื้องหน้าแล้วนางอยากรู้นักใครจะเข้ามาคนแรกหลายวันที่ผ่านมา หลี่หรูอี้นอนกระสับกระส่ายทุกคืน ใช้ชีวิตอย่างตื่นเต้นวาดหวังรอคอยวันที่หลี่หลิงเฟิ่งกลับมาตั้งแต่เล็กหลี่หลิงเฟิ่งแย่งความงามเป็นเอกกับนางมาตลอด หลี่หรูอี้ไม่อยากยอมรับความจริง เพราะเชื้อโสเภณีชั้นต่ำมันแรงเกินไป ใบหน้างดงามไร้ที่ติจึงประดับอยู่บนหน้านังตัวไร้ค่าทุกเมื่อเชื่อวันผู้คนต่างยกย่องนางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลี่ แต่หากคนพวกนั้นได้เห็นความงามของนังตัวขยะนี่ อันดับหนึ่งยังจะมาถึงนางอีกหรือที่นางเกลียดที่สุดคือใบหน้านั้น!ไปอยู่บ้านนอกมาสามปี หลี่หรูอี้คิดไม่ออกเลยว่าผิวพรรณเมื่อโดนแดดจะหยาบกร้านแค่ไหน ผมแห้งไร้น้ำหนักกระเซอะกระเซิง สีผิวหมองคล้ำ อดอยากจนร่างผอมเหมือนกร
เช้าวันนี้เมืองหลี่ครึกครื้นเป็นพิเศษ โรงเตี๊ยมแน่นขนัดไม่มีที่ว่างแม้แต่น้อย บรรดาชนชั้นสูงจากหลายมุมเมืองต่างเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีกับคุณหนูทั้งสองของตระกูลหลี่โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่หรูอี้ คุณหนูสี่ผู้กำเนิดจากภรรยาเอกของท่านเจ้าเมือง สำหรับหลี่หลิงเฟิ่งพวกเขามีความรู้สึกอันหลากหลาย หลายเดือนก่อนเก้าในสิบส่วนของครอบครัวผู้เข้าร่วมงานเคยยื่นฎีกาเรียกร้องถอดถอนตำแหน่งคู่หมั้น มาวันนี้กลับต้องนำของขวัญมาร่วมแสดงความยินดี บรรยากาศภายในจวนจึงเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดในตระกูลใหญ่พิธีปักปิ่นหรือพิธีแสดงความเป็นผู้ใหญ่จัดขึ้นทุกปี เมื่อบุตรีในบ้านอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์ ดังนั้นงานเลี้ยงสกุลหลี่สำหรับแขกเหรื่อที่มาเยือนจึงเป็นเรื่องที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์อันดีกันหรือไม่ ของขวัญที่ควรมอบยังคงต้องมอบออกไป หากบ้านไหนมีความสัมพันธ์อันดีหรือต้องการผูกมิตรกับตระกูลหลี่จะเดินทางมาแสดงความยินดีด้วยตนเอง จากจำนวนที่เข้าร่วมในวันนี้ รากฐานตระกูลหลี่นับว่าไม่ธรรมดา หยั่งรากลึกไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นไม่เพียงบ่งบอกว่าสตรีสามารถออกเรือนได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ยังแสดงถึงการผูกพ
โลหิตสดๆ ไหลออกมาจากไหล่ซ้ายของสตรีชุดแดง รอยกรีดลึกเป็นทางยาวประมาณเจ็ดชุ่น* หลี่หลิงเฟิ่งหน้าตาบิดเบี้ยวข่มความเจ็บปวด รับพลังโจมตีทั้งหมดผ่านมือขวา ลำตัวถอยร่นจนสุดขอบเรือน สมกับเป็นสัตว์อสูรหายาก พละกำลังของมันแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นกำเนิดใหม่ระดับสูงหลูหวั่นชิง ลืมตาขึ้น มองหลี่หลิงเฟิ่งที่ยืนสู้กับหมูป่าหางทองอย่างตะลึงงัน ลืมความเจ็บปวดจากการโดนพลังยุทธ์ที่กันนางออกมานอนกองอยู่บนพื้น นางหมายจะเข้าไปช่วยหลี่หลิงเฟิ่ง ใครเลยจะคิดว่า...“นาง...นางเป็นพลังยุทธ์” นี่...คำเล่าลือหลายสิบปีเป็นเรื่องหลอกลวงหรือ นางหาใช่ตัวไร้ค่า แต่เป็นผู้มากด้วยพรสวรรค์ต่างหาก!เสียงเซ็งแซ่ดังกระหึ่มทั่วห้องโถง ในที่นี้ไม่มีใครใจคอสงบสักคน เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมายเกินไปแล้วหมูป่าหางทองคำรามดังขึ้น เจ้าพวกมนุษย์น่าตาย กล้าลอบกัดข้า กระแสไฟฟ้าปลายหางแผ่ลามทั่วทิศ ทั่วทั้งห้องโกลาหลหนีตายกันถ้วนหน้า ห้องโถงที่เคยวิจิตรงดงามพังลงไม่เหลือซาก เสาหลักยึดโครงหลังคาหักลงทีละต้น เวลานี้บริเวณใกล้หลี่หลิงเฟิ่งเหลือเพียงแม่ลูกตระกูลหลู และหลี่เหวินเหยาเท่านั้น ส่วนสองแม่ลูกตัวต้นเรื
เสียงตึงตังบริเวณทางเดินชั้นสองดังสนั่นไปถึงชั้นล่าง จะโทษก็โทษที่หอแพทย์โอสถแห่งนี้วัสดุทำขึ้นจากไม้ บุรุษทั้งสามวิ่งมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง หายใจหอบถี่ หวังซีจัดเครื่องแต่งกาย ผมเผ้า และปรับสีหน้าให้สงบนิ่งเหมือนยามปกติ เคาะประตูสองครั้งจากนั้นค่อยๆ ผลักเข้าไปเหยาจี้เห็นท่าทางของหวังซีพลันยิ้มกรุ้มกริ่ม เดินตามหลังเข้าไป มีเพียงถงลี่ยืนเฝ้าสถานการณ์อยู่ด้านนอก ช่างใจจะเข้าไปดีหรือไม่ หลังจากความคิดตีกันในหัวอยู่นาน สุดท้ายตัดสินใจเดินคอตกเข้าไป“ผู้อาวุโสหวัง” เมื่อเห็นชายทั้งสามเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นยังมีชายหนุ่มที่ต้องการอยากพบจึงส่งเสียงกระเช้าเย้าแหย่ไปให้ หัวเราะเบาๆ อย่างคนอารมณ์ดีเมื่อได้ยินเสียงหลี่หลิงเฟิ่ง เขาถึงกับขนลุกซู่ มุมปากหวังซีกระตุกครั้งหนึ่ง ยกยิ้มพิลึกพิลั่น พลางเดินเข้าไปหาทั้งสองคนที่นั่งอยู่กลางห้อง“คารวะผู้อาวุโสหวัง” หลี่เจี้ยนลุกขึ้นยืนคำนับ ใคร่นึกสงสัยถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคน ดวงตาคมมองสลับระหว่างหวังซีและหลี่หลิงเฟิ่งไปมาหวังซีพยักหน้าน้อยๆ ตอบกลับหลี่เจี้ยน ทว่า ตัวกลับคำนับหลี่หลิงเฟิ่งแทน ทำเอาทุกคนภายในห้องงุนงงกันถ้วนหน้า “แม่นางหลี่
ไม่นานหลังจากที่สวีคุนพูดจบ ร่างสูงของอู๋เหยียนก็ก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สายตาของเขากวาดมองหลี่หลิงเฟิ่งทันที"คุณหนูห้า นายท่านแย่แล้วขอรับ" น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความร้อนรนหลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย "เกิดอะไรขึ้น""อาการของคุณชายใหญ่ทรุดหนักลงกะทันหัน โปรดตามข้ากลับไปที่หอฝึกยุทธ์ดูสักหน่อยเถิดขอรับ"หัวใจของหลี่หลิงเฟิ่งเต้นกระตุก นางไม่ได้ถามต่อให้เสียเวลา รีบหันไปบอกลาทุกคนก่อนจะก้าวตามอู๋เหยียนไปโดยไม่ลังเลที่ห้องพักของหลี่เฟยหยาง กลิ่นจางๆ ของผลไม้คืนชีวิตอบอวลอยู่ในอากาศ ราวกับเพิ่งมีผู้ใช้มันเมื่อไม่นานมานี้ ดวงตาคมของหลี่หลิงเฟิ่งหรี่ลง นางรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล แต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดหลี่เฟยหยางนอนอยู่บนเตียงสีขาว ใบหน้าซีดเซียวของเขามีหยาดเหงื่อเกาะพราว ดวงตาหลับพริ้มราวกับกำลังฝืนต่อสู้กับความเจ็บปวด มือทั้งสองข้างกำแน่นจนข้อขึ้นสีขาวหลี่หลิงเฟิ่งขยับเข้าไปใกล้ ราวกับทุกอย่างวนกลับไปยังวันเวลาเหล่านั้นอีกหน เขาต้องการเลือดข้านางขบเม้มริมฝีปาก กำมือแน่นก่อนจะใช้ปลายเล็
ทุกสายตาจับจ้องมายังหลี่หลิงเฟิ่งที่บัดนี้รายล้อมไปด้วยเหล่าคนของสำนักแพทย์โอสถ บางคนถึงกับหันไปมองกันอย่างสับสน"ศิษย์น้องของเจ้าสำนักหรือ หูของข้าเพี้ยนไปแล้วหรือไม่" สีหน้าของทุกคนเบิกโพลง"ใช่แล้ว หลี่หลิงเฟิ่งคืออาจารย์อาที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากเจ้าสำนักของเรา หากข้ารู้ว่าใครยังว่าร้ายนางอีกล่ะก็ อย่าหาว่าหอแพทย์โอสถของพวกเราไม่เตือน"ผู้อาวุโสแปดกล่าวเสียงกร้าว เขารอเวลานี้มานานแล้ว ใครใช้ให้คนเมืองหลวงมีตาหามีแววไม่ ใส่ร้ายบรรพบุรุษน้อยของพวกข้าไม่เว้นแต่ละวันคำพูดนั้นทำให้สีหน้าของทุกคนซีดเผือด ความนับถือที่แฝงด้วยความสั่นสะท้านค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจของทุกคน ผู้ฝึกยุทธ์ที่เคยปรามาสหลี่หลิงเฟิ่งต่างเบื้อใบ้ ไม่มีใครกล้าพูดสิ่งใดออกมาอีกแม้แต่สวีคุนเองก็อดยิ้มบางออกมาไม่ได้ "ศิษย์น้อง ข้าว่าเจ้าทำให้คนทั้งสนามตะลึงจนลืมหายใจได้เลยทีเดียว"รอบตัวหลี่หลิงเฟิ่งที่เคยเต็มไปด้วยเสียงซุบซิบปรามาส บัดนี้กลับกลายเป็นความเงียบงันที่แฝงไปด้วยความเกรงกลัว แม้กระทั่งเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่เคยคิดว่านางเป็นเพียงขยะไร้ค่า
พลังยุทธ์สีแดงขาวปรากฏรอบตัวหลี่หลิงเฟิ่ง พลังมหาศาลที่แฝงไว้ด้วยความเยือกเย็นแต่แผดเผาไปพร้อมกันแผ่ซ่านออกมา ร่างของหลี่หลิงเฟิ่งที่เคยแยกออกเป็นสิบร่าง ตอนนี้กลับแยกออกมาได้ถึงห้าสิบร่าง จนแม้แต่ชายชุดดำยังต้องเบิกตากว้าง“เป็นไปไม่ได้…วิชาลับตระกูลชิง เจ้ามีมันได้อย่างไร เจ้าเป็นคนของตระกูลชิงรึ” เขาสั่นศีรษะ คัมภีร์ทั้งหลายล้วนสูญสลายไปพร้อมกับคนของตระกูลชิงสายหลักไปหมดแล้ว แต่นางเรียนรู้มาจากใคร ยิ่งไปกว่านั้น ในระยะเวลาอันสั้นสตรีนางนี้เลื่อนขั้นไปกี่ครั้งกันแน่ หากปล่อยไปจะต้องเป็นอันตรายต่อพวกเขาอย่างแน่นอนหลี่หลิงเฟิ่งไม่ตอบ นางเพียงจ้องมองเขาด้วยแววตาแน่วแน่ ก่อนที่ร่างทั้งห้าสิบจะพุ่งเข้าใส่เขาพร้อมกันราวกับคลื่นพายุที่ไม่มีวันหยุดยั้งเสียงปะทะดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เปลวเพลิงและพลังยุทธ์สีดำสาดกระจายกลางอากาศ ชายชุดดำสะบัดมือส่งพลังทำลายล้างออกไป แต่ร่างเงาของหลี่หลิงเฟิ่งกลับเคลื่อนไหวว่องไวยิ่งกว่าปลาได้น้ำ หลบหลีกทุกการโจมตีของเขาได้อย่างแม่นยำ“นังตัวดี!” ชายชุดดำกัดฟันแน่น พลังปราชญ์ของเขาถูกกดดันจนเริ่มสั่นคลอนแต่ในขณะที่เปลวเพลิงนั้นโหมกระหน่ำ หลี่เฟยหยางที่ยืนอยู
"พวกเจ้าคิดว่าการทำลายวังหลวงแคว้นตงเยว่แล้วจะปัดก้นหนีไปอย่างสง่าผ่าเผยได้รึ" ชายชุดดำที่ยืนหยัดอยู่กลางอากาศมองลงมาด้วยสายตาเย็นชา ใบหน้าคมคายไร้อารมณ์ แต่กลิ่นอายที่แผ่ซ่านกลับเต็มไปด้วยเจตนาสังหารจวินชางหลางแม้ใจจะกลัว แต่ฝีปากนั้นกล้าเกินจะกล่าว "อ้อ ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็สุนัขรับใช้แคว้นตงเยว่นี่เอง ทำไม ต้องการทวงความเป็นธรรมให้พวกมันสินะ เข้ามาเลยสิ กลัวที่ไหนกัน”ดวงตาคมกริบของชายชุดดำจับจ้องมาไปยังเขา "จักรพรรดิแคว้นตงเยว่เป็นศิษย์ของข้า พวกเจ้าสังหารเขายังเท่ากับท้าทายข้า ซ้ำยังทำลายวังหลวง ฆ่าล้างทุกคน ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปง่ายๆ ได้อย่างไร วันนี้ไม่ว่าใครก็อย่าหวังจะมีชีวิตรอด เลือดของพวกเจ้าต้องชำระล้างแผ่นดินตงเยว่ สังเวยวิญญาณให้กับศิษย์ของข้า"คำพูดนั้นทำให้ทุกคนตกตะลึง แม้แต่โม่จื่อหลิงที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็อดขรึมลงไม่ได้ "เจ้าเป็นคนจากดินแดนไร้ขอบจริงด้วยสินะ"ชายชุดดำแค่นหัวเราะ มองโม่จื่อหลิงแวบหนึ่งพลางรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง ทว่าเวลานี้เขาไหนเลยจะสนใจ "รู้จักข้าก็ดีแล้ว จะได้รู้ว่าพวกเจ้ากำลังจะพบจุดจบแบบใดในไม่ช้า"โม่จื่อหลิงยกกระบี่ขึ้น สายตาคมวาว "จุดจบของเจ้าหรือ
ณ เมืองหลวงของแคว้นหลิวอวิ๋นเสียงการต่อสู้ยังคงดังกึกก้อง เปลวเพลิงโหมลุกไหม้ตามแนวกำแพง เสียงคำรามของผู้บุกรุกประสานกับเสียงอาวุธที่กระทบกันอย่างดุเดือดสวีคุนเจ้าสำนักหอแพทย์โอสถ กำลังรักษาผู้บาดเจ็บพลางออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "อย่าปล่อยให้พวกมันทะลวงเข้ามาได้ ต้านไว้สุดกำลัง"ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ และเจ้าหน้าที่ทหารรวมกำลังกันอย่างสุดความสามารถ แต่จำนวนศัตรูที่มีกองกำลังมือสังหารชั้นสูงกลับยังคงท่วมท้นทันใดนั้นเอง แสงสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นกลางสมรภูมิ เสียงลมกรรโชกดังขึ้นพร้อมกับร่างของหลี่หลิงเฟิ่ง โม่จื่อหลิง และจวินชางหลางที่ปรากฏตัวออกมา"พวกเรากลับมาแล้ว!" จวินชางหลางร้องลั่น พลางสะบัดดาบเล่มใหม่ในมืออย่างฮึกเหิม "ใครอยากโดนฟันก่อน มาเลย!""ทุกคนปลอดภัยดีหรือไม่" หลี่หลิงเฟิ่งตะโกนถามพลางฟาดแส้เพลิงออกไป เผาผู้บุกรุกที่พุ่งเข้ามาสวีคุนยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ "พวกเจ้ามาทันเวลาพอดี ฝั่งนั้นมีมากเกินไป พวกเรากำลังต้องการกองกำลังเสริมอย่างยิ่งยวด""ท่านวางใจ ข้าจะทำให้ศัตรูจำชื่อพวกเราไปตลอด" จวินชางหลางหัวเราะเสียงดัง เลือดร้อนไม่ลดละจากการต่อสู้ที่ต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน"งั้นข้าจะช
"อะไรเนี่ย ทำไมรากไม้พวกนี้มันมีชีวิตล่ะ แม่จ๋า ช่วยลูกด้วย" จวินชางหลางตะโกนพลางถอยหลบ ขณะที่รากไม้สีดำเลื้อยมาทางเขาดาบกลืนวิญญาณในมิติมายาของหลี่หลิงเฟิ่งยังคงสั่นสะท้าน ราวกับพยายามเตือนบางสิ่ง นางหอบหายใจ ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังใจกลางห้องโถงที่บัดนี้เต็มไปด้วยพลังมืด แท่นบูชาที่พังครึ่งหนึ่งพลันแตกออก เผยให้เห็นโลงศพสีดำสนิทที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยรากไม้หนาทึบ นางเดินเข้าไปใกล้โลงศพที่ยังคงปล่อยไอสังหารออกมา"ระวังนะ!" จวินชางหลางร้องเตือน แต่หลี่หลิงเฟิ่งยื่นมือออกไปแตะรากไม้ที่พันรอบโลงศพ ถึงกับเป็นโลกศพฮ่องเต้รุ่นที่หนึ่งทันใดนั้น เส้นแสงสีดำพุ่งออกมาจากรากไม้ เสียงคำรามต่ำสะท้อนก้อง รากไม้ราวกับมีชีวิตฉุดกระชากไปทั่วโลงศพเปิดออกอย่างช้าๆ กลิ่นเน่าเหม็นโชยกระจายไปทั่วห้องโถง ร่างของฮ่องเต้ตงเยว่ที่เคยหลับใหลปรากฏให้เห็น ผิวหนังซีดเผือด ดวงตาที่ควรปิดสนิทพลันเปิดออก เผยให้เห็นแสงสีดำวาววับ"มันตื่นขึ้นแล้ว!" โม่จื่อหลิงกล่าวเสียงหนัก ขณะกระชับกระบี่ในมือแต่ก่อนที่ใครจะทันได้ขยับ รากไม้สีดำพุ่งขึ้นฟ้า ก่อนจะแตกกระจาย เสียงกระดูกดังลั่น ไม่ใช่แค่จักรพรรดิตงเยว่ แต่ศพของทหารและข
จวินชางหลางกระเด็นกลิ้งหลายตลบก่อนจะยันตัวลุกขึ้นมา มองรอบด้านอย่างไม่สบอารมณ์ สถานที่เบื้องหน้านั้นเต็มไปด้วยซากหินและพื้นผนังที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ“ที่นี่มัน...ใต้ดินหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งกวาดตามองอย่างระแวดระวัง“ข้าหวังว่ามันจะไม่ใช่กับดักอะไรอีกนะ” จวินชางหลางโอดครวญ “ฟ้าไม่มีตา ไม่เข้าข้างข้าบ้างเลย”ทั้งสามคนเดินลึกเข้าไปในโพรงใต้ดิน เส้นทางทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด เสี่ยวจูจูที่เกาะอยู่บนบ่าหลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียงครางเบาๆ อย่างไม่สบายใจ“มันรู้สึกอะไรบางอย่าง” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยเบาๆ นางยกมือขึ้นลูบหัวเสี่ยวจูจูเพื่อปลอบ “ระวังตัวไว้”ภายในมิติมายาของนางกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิด ดาบกลืนวิญญาณ ที่ปักนิ่งอยู่กลางทุ่งมายาพลันสั่นสะท้าน เสียงหวีดแหลมต่ำ เส้นแสงสีดำปะทุจากคมดาบราวกับมีสิ่งเร้นลับพยายามฉุดกระชากมันให้หลุดจากพันธนาการ“ไม่... ไม่ดีแล้ว!” เสี่ยวมู่ร้อง ดวงตาสีครามของมันเบิกกว้างหลี่หลิงเฟิ่งเม้มปาก มองสภาพแปรปรวนในมิติของนาง ที่พื้นดินซึ่งเคยนิ่งสงบกลับแตกออก เผยให้เห็นแสงสีเทาหม่นที่หมุนวนราวกับวงกตแห่งวิญญาณในจุดนั้นมีวัตถุสีมืดสนิทลอยเด่นอยู่กลางอากาศ มั
บุกแคว้นตงเยว่เปลวไฟลุกโชนสูงตระหง่าน วังหลวงของแคว้นตงเยว่ที่เคยโอ่อ่ากลายเป็นสนามรบ เปลวเพลิงจากของหลี่หลิงเฟิ่งเผาผนังไม้สักทองคำจนแตกเปรี๊ยะ เสียงกรีดร้องของทหารแคว้นตงเยว่ดังระงมจวินชางหลางหัวเราะเสียงดัง ขณะฟาดฟันศัตรูที่ขวางหน้า "นี่แหละที่ข้ารอคอยมานาน วังนี้ข้าเห็นแล้วยังอยากเผาเล่น"ทหารของแคว้นตงเยว่ล้มตายลงทีละคน ซากศพกองเรียงรายจนแทบไม่มีทางเดิน หลี่หลิงเฟิ่งมองซากปรักหักพังอย่างเยือกเย็น "วังโอ่อ่าขนาดนี้ วันนี้ก็ถึงคราวต้องมอดไหม้ไปพร้อมกับบาปของมันแล้ว""เจ้าคิดจะทำลายทุกอย่างจริงๆ หรือ ง่ายไปหน่อยกระมัง" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเบื้องบน ร่างสูงสง่างามในชุดมังกรสีทองปรากฏตัวท่ามกลางเงาเปลวเพลิง ฮ่องเต้แห่งแคว้นตงเยว่ ดวงหน้าคมคายที่เปี่ยมด้วยอำนาจแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม"ข้ารู้จักสมญานามของพวกเจ้ามาบ้าง หญิงชั่วร้ายกับชายคู่หมั้นหน้าโง่ แต่กลับถูกยกย่องให้เป็นความภาคภูมิของแคว้นหลิวอวิ๋น"หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้วแปลกใจ ไม่คิดว่าพวกนางจะมีฉายาเช่นนี้ด้วย โด่งดังไม่เบาเลยหนา ฮ่องเต้ตงเยว่หัวเราะ "เจ้าคิดว่าการเผาวังหลวงของข้าจะทำให้แคว้นหลิวอวิ๋นพ้นภัยหรือ ช่างเป็นความคิดตื
กองกำลังขันทีผู้ซื่อสัตย์ของฮ่องเต้ ซึ่งได้รับการฝึกฝนให้ปกป้องวังหลวงมาตั้งแต่เยาว์วัย ยืนหยัดต้านทานคนชุดดำอย่างสุดชีวิต ถึงแม้พลังยุทธ์ของพวกเขาจะด้อยกว่าศัตรูมากนัก แต่ด้วยความภักดีที่ฝังแน่นในหัวใจ พวกเขาไม่มีวันปล่อยให้ราชวงศ์หลิวอวิ๋นล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา"ถ้าจะตาย ก็ให้ตายเพื่อฝ่าบาท!" หัวหน้าขันทีตะโกนลั่น เสียงของเขาแฝงด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมพ่ายแพ้เสียงดาบกระทบกันดังสนั่น ขันทีผู้หนึ่งฟาดดาบเข้าใส่คนชุดดำ แต่กลับถูกพลังยุทธ์มหาศาลกระแทกจนล้มลง เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นหิน"อย่าปล่อยให้พวกมันเข้าใกล้ฝ่าบาท!" หัวหน้าขันทีตะโกนอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งตัวไปขวางคนชุดดำที่พยายามบุกเข้ามาฮ่องเต้ที่ยังทรงยืนอยู่ด้วยพระวรกายที่บาดเจ็บสาหัส ดวงเนตรของพระองค์เคร่งขรึมแต่เปี่ยมด้วยความเด็ดเดี่ยว แม้พระโลหิตจะไหลซึมจากบาดแผลที่พระอุระ แต่พระองค์ไม่คิดจะล่าถอยหยวนกุ้ยเฟยยืนมองภาพนั้นด้วยความสะใจ ใบหน้าของนางฉายแววบ้าคลั่ง "ฝ่าบาทยังดื้อรั้นเช่นเคย... แต่ครั้งนี้ข้าจะทำให้ท่านสิ้นสิ้นลมหายใจไปพร้อมกับบัลลังก์ที่ท่านหวงแหนนัก!"ดวงตาของนางเรืองแสงด้วยพลังพิษสีดำที่แผ่ออกมาจากปลายนิ้ว นางสะ