LOGINสิ้นเสียงของหลี่หลิงเฟิ่ง มีมือสังหารรายหนึ่งทะยานเข้ามาหา หลี่หลิงเฟิ่งหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ลำแสงสีแดงเพลิงอาบย้อมกระบี่ แทงสวนกลับไป มือสังหารที่วิ่งเข้ามายังไม่ทันตั้งตัว แววตาพลันตื่นตระหนก ร่างกายแข็งค้างล้มลงตรงหน้าหญิงสาว
“ระ....” สตรีผู้นี้... ในชั่วพริบตา โลกเบื้องหน้าเข้าสู่ความมืดมิด เพียงแค่ปริปากพูดก็ไม่ทันเสียแล้ว
“เสี่ยวเฉิน” ขวดกระเบื้องเคลือบขนาดเล็กถูกโยนออกมาจากมิติไปทางด้านหลัง รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นในแววตาหลี่หลิงเฟิ่ง ชุดสีแดงเพลิงเปียกชุ่มลู่ลงแนบลำตัว มือสังหารคาดไม่ถึงว่าจะมีสตรีอ่อนปวกเปียกเข้ามาช่วย หลี่หลิงเฟิ่งอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายมึนงง ฝ่าวงล้อมเข้าไปยืนข้างกายอู๋เหยียน
เสี่ยวเฉินรับขวดกระเบื้องเนื้อหยาบที่ลอยมาตรงหน้า วิ่งอ้อมไปด้านหลังฝั่งหลี่เฟยหยาง เขารู้ดีว่ามันเป็นโหลบรรจุยาที่หลี่หลิงเฟิ่งปรุงขึ้น จะไม่ให้คุ้นเคยได้อย่างไร ในเมื่อคุณหนูเป็นคนสั่งให้เขาซื้อมันมาโดยเฉพาะ
หากแต่เขาไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร เสี่ยวเฉินมองหลี่หลิงเฟิ่งอย่างอับจนปัญญา อยากจะขอความช่วยเหลือ ทว่า เหลือบสายตามองเพียงแวบเดียวก็ให้สูดหายใจลึก
“เฟิ่งเอ๋อร์ เข้ามาทำไม ออกไป” ใบหน้าที่เคยเย็นชาเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก ตวาดนางเสียงเข้ม
“หุบปาก” หลี่หลิงเฟิ่งตวาดกลับอย่างหงุดหงิด
คิดว่านางอยากแส่หาเรื่องหรือ นางรู้ขีดจำกัดตัวเองดี พลังระดับต่ำของตนเองจะเอาอะไรมาเทียบกับนักฆ่าพวกนี้ แต่จะให้นางหดหัวอยู่แต่ในบ้าน เห็นคนจะตายแล้วไม่ยอมช่วย นางไม่ใจดำขนาดนั้น
แค่เห็นเขาถูกทำร้ายนางถึงกับควบคุมตนเองไม่อยู่ หลี่หลิงเฟิ่งยกมือลูบใบหน้าที่เปียกฝน หยดเลือดตามกระบี่หยดลงบนพื้น ผมยาวสยายเปียกลู่ คลื่นลมสงบนิ่งเช่นนี้ หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวยืนสง่าท่ามกลางบุรุษนับสิบ ราวกับนางปีศาจกระหายเลือดก็ไม่ปาน
“ฮ่าฮ่า สตรีไร้ค่าเช่นเจ้า เหตุใดใจกล้าบ้าบิ่นไม่กลัวตายเช่นนี้ นอกจากเป็นขยะแล้วยังไร้สมองอีกด้วย” ชายฉกรรจ์เบื้องหน้านางที่คาดว่าน่าจะเป็นหัวหน้านักฆ่าเปล่งเสียงแหบแห้งพิลึกพิลั่นออกมา มองประเมินหลี่หลิงเฟิ่งอย่างแปลกใจ
สตรีผู้นี้ถึงกับปลิดชีพลูกน้องของเขาได้ในดาบเดียว นางเป็นตัวไร้ค่าที่ทุกคนกล่าวขานจริงหรือ
หญิงสาวในอาภรณ์สีแดงลูบกระบี่ในมือเผยรอยยิ้มงดงามออกมา “อ้อ เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ เกิดเป็นคนอย่ารึอ่านดูถูกศัตรู”
จะไร้ค่าหรือไม่แล้วอย่างไร ยังไงวันนี้พวกมันก็ต้องตายทั้งหมด หัวหน้านักฆ่าหัวเราะเสียงเย็นชา “หึๆ คิดว่าพลังยุทธ์ต่ำต้อยของเจ้าจะต่อกรกับพวกข้าได้หรือ โชคร้ายที่คืนนี้พวกเจ้าต้องตายทั้งหมด” รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นบนหน้าชายฉกรรจ์อีกครั้ง “ชื่อเสียงตัวไร้ค่าเจ้าก็แบกรับมันไปที่ยมโลกด้วยเลยเถอะ”
รอยยิ้มงดงามกดลึกจนเกิดรอยบุ๋มบนซีกแก้มซ้าย คนพวกนี้รู้จักนางจริงๆ ด้วย เป้าหมายหลักคงเป็นนางสินะ
เมื่อคิดว่าตนเองถูกหมายหัวก็ให้ไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก นางถอนหายใจเบาๆ แต่กลับยืนนิ่งไม่พูดสิ่งใด
ทว่า คนอื่นกลับคิดว่านางหวาดกลัวจนสิ้นหวังเสียแล้ว ใบหน้าอู๋เหยียนทั้งฉายแววสงสารทั้งตื้นตัน ถึงแม้หลี่หลิงเฟิ่งไม่มีพลังต้านทานเหล่ามือสังหารได้ แต่นางก็มีความกล้าหาญต้องการจะช่วยพวกเขา เขาเตรียมขยับตัวไปข้างหน้าเพื่อปกป้องนาง เท้าข้างหนึ่งที่เพิ่งก้าวออกไปพลันชะงักเมื่อเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นจากคนข้างกาย
“เจ้า...ช้าเกินไปแล้ว”
“ช้าเกินไป?” ใบหน้าแปลกประหลาดเผยออกมาจากทุกคน เสียงแหบแห้งดังขึ้น สายตาดูถูกดูแคลนเหยียดมองสตรีตรงหน้า “เจ้ายังคิดจะถ่วงเวลางั้นรึ จะตายอยู่แล้วยังแสร้งทำตัวกล้าหาญให้ใครดูอีก คิดหรือว่าจะมีใครมาช่วยพวกเจ้าได้!”
หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจ ระอาที่จะเสนาอีกต่อไป น้ำเสียงเนิบนาบเปล่งออกมาแผ่วเบา “ไม่มีใครสอนพวกเจ้าหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งส่ายหน้าไปมา ยังคงลูบไล้กระบี่ในมือเล่นอย่างต่อเนื่อง “นักฆ่าที่ดีไม่ควรชักช้ายืดยาดเช่นนี้”
“เดิมข้าคิดว่าพวกเจ้ามาช่วยคน เก็บกวาดหลักฐานทุกอย่าง แต่ไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่ต้องการสังหารทายาทเจ้าเมืองหลี่” หัวหน้ามือสังหารเย็นวาบในใจ เผลอก้าวถอยหลังสองก้าว ส่วนลึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก “เป็นข้าเองเข้าใจผิดไป ช่วยนักโทษอะไรกัน กวาดล้างหรือ ไร้สาระ พวกเจ้าแค่ต้องการสังหารข้า ส่วนคนอื่นน่ะก็ผลพลอยได้ทั้งสิ้น” หญิงแย้มรอยยิ้มกว้างทั่วใบหน้า งดงามราวภาพวาด ทว่า ตรงกันข้ามกับน้ำเสียงเฉียบขาด
“อยากได้ชีวิตข้า เจ้ามีปัญญาหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งหัวเราะเสียงเย็น “หนอนสกปรกอย่างพวกเจ้าที่เจอหน้าใครก็ไม่ได้ ไม่อาจมีชีวิตรอดเห็นแสงสว่างยามเช้าในวันรุ่งขึ้น ข้าจึงบอกได้เพียงว่า...ช้าไปแล้ว”
หัวหน้ากลุ่มนักฆ่าพยายามสงบจิตใจ คิดจะยกมือส่งสัญญาณให้ลูกน้องลงมือทันที แต่กลับพบว่าเนื้อตัวไม่อาจขยับได้อีก ร่างทั้งร่างพลันหนักอึ้ง นั่งพับลงกับพื้น เสียงกระบี่หล่นลงพื้นรอบด้านอย่างต่อเนื่อง เหล่านักฆ่าลนลานขึ้นทันใด
หัวหน้ากลุ่มตาเบิกโพลง มองหลี่หลิงเฟิ่งอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “ผู้...ผู้ครอบครองธาตุมิติมายา...นี่”
นางถึงกับเป็นผู้ครอบครองธาตุมิติมายา ที่มีเพียงหนึ่งในหมื่น สวรรค์!
เคร้งๆๆๆๆ
ไม่เพียงแค่มือสังหารเท่านั้น แต่พวกของนางก็ไร้เรี่ยวแรงไปด้วย! หลี่หลิงเฟิ่งกระพริบตาปริบๆ ดวงตาปะหลักปะเหลือกกวาดมองเสี่ยวเฉิน “เสี่ยวเฉิน เจ้ามัวทำอะไรอยู่”
“คุณหนู ข้า...ข้าไม่รู้ว่ามันใช้อย่างไรขอรับ” ใบหน้าอยากจะร้องไห้ของเสี่ยวเฉินอับจนหนทาง เขาจะรู้ได้อย่างไรว่ามันคืออะไร คุณหนูก็ได้แต่โยนมาไม่บอกกล่าว
ท่านมันอัจริยะ แต่ข้ามันเถ้าธุลี เพียงดูด้วยตาเปล่า ข้าจะตรัสรู้ได้หรือ
หลี่หลิงเฟิ่งยกมือกุมขยับอย่างกลัดกลุ้ม มุมปากกระตุกไม่หยุด กัดฟันพูดออกมาอย่างยากลำบาก “สมองเจ้าเป็นหมูหรือ ดมมันซะ ถ้าไม่อยากตาย” เหตุใดนางจึงมีผู้ติดตามโง่เง่าเช่นนี้
ได้ยินดังนั้นเสี่ยวเฉินรีบเปิดขวดกระเบื้องสูดดมยาที่เกาะกันเป็นก้อนคล้ายขี้ผึ้งเฮือกใหญ่ เรี่ยวแรงที่หดหายพลันกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาดังเดิม เขารีบยื่นขวดยาจ่อจมูกหลี่เฟยหยางและคนอื่นๆ
หลี่หลิงเฟิ่งเหลือบมองอู๋เหยียนที่ยังคงยืนอึ้งอยู่กับที่ เอ่ยเสียงราบเรียบ “เจ้าจัดการต่อ”
ในค่ำคืนที่เขาคิดว่าจะเอาชีวิตไม่รอด ใครจะคิดว่าสตรีที่เขาไม่เคยเห็นอยู่ในสายตาจะเป็นผู้ช่วยชีวิต ท่วงท่าการถือกระบี่ ท่าทางยโสเมื่อเผชิญหน้ากับนักฆ่า นางดูองอาจ เหิมเกริมยิ่งนัก
อย่าลืมว่ามือสังหารทั้งหมดล้วนจัดอยู่ในกลุ่มยอดฝีมือขั้นหลอมรวมไปจนถึงระดับสูงสุด นายท่านและเขายังไม่อาจหลบพ้น แต่นางกลับทำในสิ่งที่ไม่คาดฝัน นำพาทุกคนให้ปลอดภัย
“ขอรับ” น้ำเสียงขององครักษ์คนสนิทของพี่ชายใหญ่ดูจะนอบน้อมเป็นพิเศษ หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้ว ก่อนจะเดินตรงไปหาหลี่เฟยหยาง
“เฟิ่งเอ๋อร์ บาดเจ็บหรือไม่” ข้อมือเล็กถูกมือใหญ่ของหลี่เฟยหยางกุมไว้ สายตาคมสำรวจร่างกายสตรีตรงหน้า สีหน้าหนักอึ้งของเขาค่อยๆ ผ่อนคลาย มือหนาปล่อยมือออก ล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าใต้แขนเสื้อ ยกขึ้นเช็ดบนใบหน้างามอย่างเบามือ
หลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกร่างกายร้อนผ่าวเมื่อถูกสายตาคมจับจ้องทั่วร่าง จิตใจสับสนหนักหน่วง อยากจะหลบหนีจากตรงนี้ แต่ก็ไม่อาจทำได้ดั่งใจ
“เจ้าไม่ควรเสี่ยงอันตรายเยี่ยงนี้ เฟิ่งเอ๋อร์” ปากพร่ำบ่น มือถือผ้าเช็ดหน้าไล้ตามแก้มถึงใบหู สตรีหนึ่งเดียวขนลุกซู่ คันๆ ยิบๆ ในใจ บรรยากาศรอบตัวแปลกประหลาด บนพื้นรอบกายเกลื่อนไปด้วยศพและรอยเลือด ทว่ากลับอ่อนหวานมากกว่าสยดสยอง
นางรู้ พวกเขาอาจสู้ไหวแต่คงหนีไม่พ้นสาหัสกันทั้งสองฝ่าย เป็นนางเองที่ร้อนรน ทำดีแต่โดนตำหนิ ช่างยุติธรรมเสียนี่
ถ้าวัดกันด้วยพลังยุทธ์ หลี่หลิงเฟิ่งย่อมสู้ไม่ได้ นางจึงใช้ลูกแปลกเข้าช่วย เริ่มแรกนางฆ่ามือสังหารด้วยดาบเดียวได้เพราะเขาคิดว่านางไร้พลังยุทธ์ เปิดเผยพลังอันน้อยนิดของตนเองให้ประจักษ์ต่อศัตรู ทำตัวอ่อนแอแต่อวดเบ่งให้ศัตรูดูแคลน จากนั้นลดการ์ดป้องกันด้วยคำพูดชวนโมโห
ทั้งหมดนี้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจให้นักฆ่านั้นเพิกเฉยต่อพลังยุทธ์ของนาง หลี่หลิงเฟิ่งทำเป็นยืนเฉยเมยรอคอยความตาย มือลูบไล้กระบี่ราวกับอาลัยชีวิต แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงนางกำลังปล่อยผงพิษขับกระดูกออกไปอย่างช้าๆ ควบคู่กับพลังธาตุมิติมายา ไร้สี ไร้กลิ่น ค่อยๆ คลืบคลานกระจายตัวไปตามอากาศ
กว่าจะรู้ตัว ก็สายเสียแล้ว
อันที่จริง ผงขับกระดูก เป็นพิษชนิดหนึ่งที่นางปรุงขึ้นในช่วงหลายวันมานี้ ผู้ใช้พิษส่วนใหญ่ไม่นิยมใช้นัก สาเหตุไม่ได้มาจากสมุนไพรที่หายากแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะถ้าใช้ควบคู่กับพลังธาตุอื่นๆ จะถูกค้นพบโดยทันที เมื่อผงพิษผสมปนอยู่กับพลังธาตุเหล่านั้น จากไร้สีจะเปลี่ยนเป็นสีขาวทันที ข้อได้เปรียบที่ควรจะเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ใช้จึงเป็นอันตกไป
อย่างไรก็ดี มันกลับเป็นผลดีอย่างยิ่งกับพลังธาตุมิติมายา ปฐมาจารย์เทพโอสถไม่เพียงเป็นหมอเทวดา แต่ยังเป็นผู้ชำนาญด้านการใช้พิษที่หาตัวจับยากอีกด้วย แต่เหมือนว่ามีน้อยคนนักที่รู้ถึงความลับใหญ่หลวงนี้
“ต่อให้เจ้าไม่เข้ามา พวกพี่ก็จัดการกันเองได้ เฟิ่งเอ๋อร์ เจ้าเกือบทำให้พี่หัวใจหยุดเต้นแล้ว” ผู้มีศักดิ์เป็นพี่ยังคงกล่าวต่อ
หลี่หลิงเฟิ่งปัดมือบุรุษชุดขาวออกจากใบหน้า สูดจมูกฟึดฟัดอย่างไม่พอใจ “รอให้ข้ามาเก็บศพท่านแทนน่ะสิ” แต่เพียงพริบตารอยยิ้มร้ายปรากฏบนใบหน้างามอีกครั้ง มือเรียวยกขึ้นจับบนหน้าอกซ้ายของเขา “เต้นเร็วขนาดนี้ ระวังมันผิดจังหวะนะ หึ” หลี่เฟยหยางมองน้องสาวยิ้มๆ หากแต่ไม่กล้าเอ่ยอันใดต่อ
“อีกอย่าง เรียกข้าว่าเสี่ยวเฟิ่งเถอะ ข้าไม่ชอบเอ๋อๆ เอ้อๆ” มันเลี่ยน!
“ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะเปล่งออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่จากชายหนุ่มที่ขึ้นชื่อเรื่องเย็นชา บรรดาลูกน้องกำลังง่วนกับการเก็บศพหันมองทางต้นเสียงอย่างอึ้งๆ สตรีอย่างนางก็ไม่มีข้อยกเว้น จ้องมองหลี่เฟยหยางนิ่งๆ ไม่พูดไม่จา
เขาว่ากันว่า บุรุษยิ้มยากเมื่อได้ยิ้มจะไม่มีผู้ใดละสายตาจากเขาไปได้ แล้วหากบุรุษที่ไม่เคยหัวเราะเลยล่ะ เมื่อหัวเราะออกมาแล้วจะเป็นเช่นไร
เป็นเช่นไรน่ะหรือ...
ก็เหมือนโลกทั้งใบของนาง ยังไม่น่าอยู่เท่านี้มาก่อนน่ะสิ!
“ข้าไม่มีลูกกลอนสะกดสำนึก ท่านทนเจ็บหน่อยแล้วกัน” หลี่หลิงเฟิ่งหลุบสายตาลง มือของนางจับแขนขวาหลี่เฟยหยางเบาๆ หยิบขวดยาสมุนไพรสมานแผลภายนอกที่บดละเอียดเทลงบนแผลอย่างรวดเร็ว ฉีกชายเสื้อสีแดงเพลิงที่ไม่นับว่าใหม่พันแผลให้บุรุษตรงหน้าอย่างลวกๆ
หลี่หลิงเฟิ่งสูดหายใจลึก หลับตาหันหลังเตรียมจะเดินจากไป บุรุษเปียกปอนกับรอยยิ้มกว้างอย่างมีความสุขก็น่าดูไปอีกแบบ ดูแล้วก็อยากดูอีก ช่างชวนฝัน
หากหญิงใดเชยชม คงรีบมาขอแต่ง
เมื่อรู้สึกว่าความคิดของตนเองเลยเถิดไปไกล หลี่หลิงเฟิ่งยกมือตบหน้าเรียกสติกลับมา บุรุษรูปงามก็เป็นภัยได้เหมือนกัน หญิงสาวอยากจะถอนหายใจเป็นพันๆ ครั้ง
เฮ้อ ช่างน่าเสียดาย ที่ดันเป็นพี่น้องกัน หากไม่ใช่ล่ะก็ เขาคงถูกนางจับกลืนลงท้องไปนานแล้ว
ผิดศีลธรรม ผิดศีลธรรม!
ระหว่างที่ความรู้สึกของหลี่หลิงเฟิ่งพันกันยุ่งเหยิงอยู่นั้น ก็มีแสงสีส้มสว่างวาบพุ่งมาหา เคลื่อนที่ด้วยความเร็วแม้แต่นางยังมองไม่ทัน คนอื่นๆ ต่างตะลึงงัน
“ระวัง!” หลี่หลิงเฟิ่งได้ยินคนร้องเสียงหลงมาจากด้านหลัง แผ่นดินสนั่นหวั่นไหว ร่างกายของนางซวนเซเจียนจะล้ม พลังยุทธ์สีส้มแหวกอากาศเข้ามาอย่างรวดเร็ว หลี่หลิงเฟิ่งหลับตาเตรียมรับความเจ็บปวดที่กำลังจะถึงตัว ทว่า
อึก!
เบื้องหน้า ชายอาภรณ์สีขาวดุจเทพเซียนขวางกั้นนางจากโลกภายนอก พลังยุทธ์สีฟ้าก่อตัวขึ้นล้มรอบพวกเขา หลี่หลิงเฟิ่งนัยน์ตาเบิกโพลง มองบุรุษที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่ชายร่วมสายเลือดอย่างไม่เข้าใจ
ร่างกายนางเซถอยหลังไปสองก้าวอย่างต้านไม่อยู่ พลังขั้นพิภพนางเคยสัมผัสมาแล้ว ฝ่ามือเดียวทำเอาเจียนตาย แล้วคนตรงหน้าฝืนรับมันได้อย่างไรกัน
“ท่าน โง่หรือ!” น้ำเสียงร้อนรนของหญิงสาว ทำให้เลือดที่กำลังจะทะลักออกจากปากถูกกลืนกลับลงคอ มุมปากหลี่เฟยหยางยกยิ้มบางๆ
“รอข้าอยู่ที่นี่นะ” รอยยิ้มอบอุ่นของหลี่เฟยหยางส่งผ่านหัวใจของนาง ไม่รู้เพราะเหตุใดหลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกกังวลเป็นอย่างยิ่ง ไม่รอให้นางได้ขบคิด หลี่เฟยหยางพลันเคลื่อนไหว ผละตัวออกจากอาคมป้องกัน
หลี่หลิงเฟิ่งคิดจะตามไป พลันพบว่านางก้าวออกไปจากตาข่ายที่ครอบนางอยู่ไม่ได้ “หลี่เฟยหยาง ปล่อยข้า!”
ร่างสูงอาภรณ์สีขาวพุ่งถลันไปเบื้องหน้า นิ้วทั้งห้าปล่อยพลังยุทธ์สีฟ้าราวหอกแหลมคม พุ่งเข้าใส่บุรุษร่างผอมที่สวมเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ตามตัวเต็มไปด้วยรอยแผลและเลือดที่แห้งเกร็ง
“ดี ดียิ่งนัก ฮ่าๆๆๆ” ชายผู้นั้นแผดเสียงออกมาอย่างคนเสียสติ “พวกเจ้าไม่คิดว่าจะมีวันนี้สินะ ดูสิว่าข้าจะฆ่าพวกเจ้าเซ่นไหว้น้องชายข้าอย่างไร ฮ่าๆๆ” หลี่หลิงเฟิ่งได้ยินแล้วนิ่งขึง นี่มันโจรชั่วที่พวกนางจับมามิใช่หรือ นี่...
“คุ้มครองนายท่าน” อู๋เหยียน รวมทั้งคนอื่นๆ พุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็ถูกพลังอันแข็งแกร่งกดทับบาดเจ็บสาหัส กระอักเลือดออกมาไม่หยุด ก่อนหน้านี้ก็มีอาการบาดเจ็บตอนปะทะกับเหล่านักฆ่า ฝนหยุดตกไปนานแล้ว แต่บริเวณลานบ้านยังเปียกชุ่ม ทุกทิศเต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต
มือเล็กทุบเกราะป้องกันรัวๆ นางไม่เคยหวาดกลัวเท่านี้มาก่อน
“พวกขยะตระกูลหลี่ ข้าหลงฉี จะให้พวกเจ้าตายอย่างไร้ที่กลบฝัง” รังสีอำมหิตแผ่กระจายออกมา พลังมหาศาลกระแทกเข้าหาหลี่เฟยหยาง ส่งผลให้ร่างกายถอยหลังไปหลายก้าว เลือดซึมออกมาจากมุมปาก
หลี่เฟยหยางรวบรวมพลังบนฝ่ามืออีกครั้ง ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดฉายแววมุ่งมั่น อาภรณ์สีขาวโบกสะบัดอยู่ในสายลม แสงสีฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นเกล็ดน้ำแข็งโปรยปรายลงมาจากท้องนภา งดงาม ดุดัน
หลงฉีหรี่ตาลงเล็กน้อย คลื่นพลังสีส้มแผ่ซ่านรอบตัว กายเขาเปรียบเสมือนสายฟ้า ฟาดฟันแหวกอากาศสะท้อนพลังยุทธ์กลับไปหาหลี่เฟยหยาง
อึก!
เลือดสีสดพุ่งออกจากปากในที่สุด พลังหลงฉีรุนแรงเกินไป เขาตั้งรับไม่ทัน หลี่เฟยหยางเช็ดเลือดออกจากริมฝีปาก พลังอีกระลอกก็ตามมาติดๆ การโจมตียิ่งหนักหน่วงดุดัน กระแทกเข้ากับอกของเขา ส่งให้ร่างกายลอยกระแทกอัดเข้ากับประตู
“พี่ใหญ่!”
หลี่หลิงเฟิ่งฉายแววเคร่งเครียด อย่างไรก็ดี หลงฉีมีพลังยุทธ์ห่างจากหลี่เฟยหยางหนึ่งขั้น แต่แค่หนึ่งขั้นก็ห่างกันราวฟ้ากับเหว พี่ชายของนางทนมาได้นานขนาดนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
ไม่ดีแล้ว ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป หลี่เฟยหยางได้ตายไปจริงๆ แน่ สายตาร้อนรนกวาดมองไปรอบด้าน พบเงาตะคุ่มๆ เงาหนึ่งหลบอยู่มุมเสาข้างระเบียง นางหลับตาพยายามสูดดมกลิ่นที่ลอยอยู่ละแวกนั้น นอกจากกลิ่นคาวเลือด ยังมีกลิ่นที่คุ้นเคยติดมาจางๆ
เป็น เสี่ยวเซียง!
กระแสจิตส่งตรงไปยังสาวใช้ทันที ‘เสี่ยวเซียง รีบไปจากที่นี่ ไปตามท่านหมอหูที่โรงหมอให้ข้า หากพวกข้าไม่รอด เจ้าติดตามท่านหมอหูไปซะ ไม่อนุญาตให้หันกลับมา รีบไป’
ใบหน้าเสี่ยวเซียงเปื้อนน้ำตา ดวงตาใสซื่อเกิดประกายหวาดหวั่น หัวใจเต้นแรงแทบหลุดออกมาจากอก สองมือปิดปากกลั้นสะอื้นไว้แน่น ก่อนจะหมุนตัววิ่งออกไป นางต้องไปตามคนมาช่วย
หลงฉีย่างสามขุมไปหยุดตรงหน้าหลี่เฟยหยางที่นอนกระอักเลือดหมดสภาพอยู่หน้าประตู เท้าเตะเข้าหน้าท้องอย่างแรง จนตัวงอ แววตาน่ารังเกียจเหยียดหยันผุดขึ้นเต็มใบหน้าหลงฉี “ลุกขึ้น”
มือหยาบบีบคางหลี่เฟยหยางแน่น อาภรณ์ขาวย้อมเลือดสีสดเป็นดวงๆ “ดิ้นรนต่อสิ ข้ายังสนุกไม่พอเลย” แววตาหลงฉีคลุ้มคลั่งสบเข้ากับนัยน์ตาว่างเปล่าไร้ความหวาดกลัวของบุรุษตรงหน้า ความคุกรุ่นในอกพุ่งกระฉูดขึ้นทันตา
ถุย!
เลือดสายหนึ่งจากปากหลี่เฟยหยางพุ่งรดเต็มหน้าหลงฉี มุมปากหนายกยิ้มอย่างท้าทาย “สวะ ตายซะเถอะ!”
พลังสีส้มขุมหนึ่งจากแรงระเบิดอารมณ์ปล่อยออกมาหมายปลิดชีพ ไม่เพียงหลี่เฟยหยางจะให้ความร่วมมือ มือซ้ายที่ไม่ได้รับบาดเจ็บควานหากระบี่ใกล้ตัวส่งพลังหนึ่งส่วนต้านรับไว้ ส่วนที่เหลือสร้างผลึกปกป้องตัวนางให้นานขึ้น
“ไม่!”
ราวกับหัวใจถูกฉีกกระชาก สองมือทุบผนึกป้องกันไม่หยุด น้ำตาไหลนองหน้า เวลานั้นนางไม่รับรู้สิ่งใดทั้งสิ้น ได้แต่ร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เจ็บปวดอะไรอย่างนี้
ชั่วขณะนั้นนางคิดอะไรไม่ออก จิตใต้สำนึกมีแต่ความว่างเปล่า นางไม่เคยรู้สึกไร้ค่าขนาดนี้มาก่อน ได้แต่ยืนมองเขาถูกทำร้าย หมดหนทางช่วยเหลือ
“หึ เจ้าจะทนได้อีกนานสักแค่ไหน” รอยยิ้มอำมหิตผุดขึ้นมา กล่าวอย่างสะใจ “เจ้าไม่ต้องกลัวเหงา หลังจากฆ่าเจ้าแล้ว ข้าก็จะส่งน้องสาวสุดที่รักของเจ้าไปอยู่ด้วย ฮ่าๆ”
“ไม่นะ พี่ใหญ่ ท่านบ้าไปแล้วหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งหวีดร้องสุดเสียง นางไม่เข้าใจเลยสักนิด “ปล่อยข้า ท่านปล่อยข้า!” หากยังแบ่งพลังมาปกป้องนาง เขาต้องตายแน่
หลี่เฟยหยาง ท่านทำเช่นนี้เพราะอะไร ท่านเสียสละตนเองเพื่อข้าทำไม
หลี่เฟยหยางราวกับไม่ได้ยิน ใบหน้าอบอุ่นหันไปมองหลี่หลิงเฟิ่ง มุมปากยกยิ้มขยับเบาๆ “เด็กดี อย่ากลัว” โลหิตสดๆ ไหลทะลักออกจากปากไม่หยุด ดวงตาอบอุ่นคู่นั้นค่อยๆ ปิดลง หากแต่พลังสายอ่อนๆ ยังคงส่งมาผนึกเป็นเกราะปกป้องนางอย่างไม่ลดละ
ใกล้ท่านเพียงนี้ เหตุใดแค่เอื้อมมือไปจับยังไม่ได้
เสียงลมพัดผ่านหูดังอู้ๆ ชวนให้สะพรึงกลัว หวาดผวา หลี่หลิงเฟิ่งลืมสิ้นหมดทุกอย่าง ราวกับเวลา สรรพสิ่งรอบกายต่างหยุดนิ่ง ร่างบอบบางทิ้งตัวลงตามแรงโน้มถ่วง ภาพๆ หนึ่งฉายชัดในหัว ดั่งภาพโฮโลแกรมในยุคปัจจุบัน
บุรุษผู้อาภรณ์ขาวผู้หนึ่งส่งยิ้มมาให้ มือลูบไล้แก้มนางอย่างทะนุถนอมเสมือนไข่มุก ริมฝีปากหยักขยับขึ้นลง ‘อย่ากลัว รอข้ากลับมา เด็กดี’
‘รอข้ากลับมา เด็กดี รอข้า...’ น้ำตานางหลั่งริน เนิ่นนาน แต่ไร้ซึ่งคนผู้นั้น
“เฟยหยาง เหตุใดท่านจึงโง่งมเช่นนี้”
หลี่หลิงเฟิ่งนางเหม่อลอย จ้องมองร่างหลี่เฟยหยางทับซ้อนกับใครคนหนึ่ง สายตาไร้แวว นางแยกไม่ออกอีกต่อไปว่า อะไรคือความจริง ความฝัน ภาพลวงตา หรือกระทั่งห้วงคำนึง น้ำตาของนางไหลออกมาไม่รู้จักเหือดแห้ง ความเข้มแข็งที่เคยมีมาตลอดสามปี พังทลายไม่เหลือชิ้นดี
“นังแพศยา เจ้าคิดจะหลบอยู่ในนั้นได้อีกนานแค่ไหน งูพิษอย่างเจ้าต้องไปเป็นเครื่องเซ่นไหว้ให้น้องชายของข้า พวกเจ้าทั้งตระกูลต้องตาย ให้สาสมกับที่ทรมาณข้าและน้องข้าจนตาย” หลงฉียิ้มเยาะ ถ้าไม่ใช่เพราะนางสารเลวผู้นี้ เขาคงไม่ตกอยู่ในสภาพดูไม่ได้ น้องชายเพียงคนเดียวก็ไม่ต้องมาตายตก
ไม่มีคำตอบจากสตรีเบื้องหน้า ไม่มีถ้อยคำ ไม่มีรอยยิ้ม ไร้ความรู้สึก มีเพียงฝ่ามือที่กำแน่นจนชุ่มเลือด
ตึง!
พลังยุทธ์สีส้มเปล่งออกหมายจะทำลายเกราะป้องกัน “พลังสะท้อนกลับ นี่...” หลงฉีหน้าเปลี่ยนสี สารเลวแซ่หลี่ถึงกับรู้วิชาพลังสะท้อนกลับ มือหยาบกระด้างกุมหน้าอก เลือดลมปั่นป่วน สำลักออกมาคำโต
หลงฉีกระถดถอยไปหลายจั้ง คั่งแค้นคำรามลั่น “หลี่หลิงเฟิ่ง ไสหัวของเจ้าออกมา!” จู่ๆ ร่างกายพลันสั่นสะท้าน เจ็บปวดราวเข็มนับหมื่นเล่มทิ่มแทง ทุรนทุรายเจียนตาย
แรงสั่นสะเทือนเรียกสติหลี่หลิงเฟิ่งคืนมา ค่อยๆ เบนหน้ามามองหลงฉีช้าๆ ริมฝีปากยกยิ้มแข็งทื่อ ดวงตาแข็งค้างจ้องเขม็งไม่กะพริบ ให้ชวนขนหัวลุก
“หากมีปัญญาก็มาลากตัวข้าออกไป” น้ำเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นแผ่วเบา รอยยิ้มแข็งทื่อค่อยๆ ฉีกกว้างขึ้นจนนัยน์ตาเป็นเสี้ยวพระจันทร์ “ทรมานหรือไม่ เจ็บปวดจนอยากจะตายใช่หรือไม่ ข้าอยากจะสับเจ้าเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น เอาเลือด เนื้อหนังมารองเท้าแก่พี่ชายข้า แต่หากทำเช่นนั้น สำหรับเจ้า ความตายมันง่ายไป”
“เจ้าทำอะไรกับข้า” หลงฉีใบหน้าซีดเผือด เส้นเลือดปูดโปนไปทั่วร่าง ใจเกิดความหวาดผวา
“พิษร้อยราตรี ทุกคืนเจ้าจะได้รับความทุกข์ทรมานราวกับเลือดไหลออกจากอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย เหมือนหนอนชอนไชคอยกัดกินเนื้อหนังเจ้าทีละนิด ตอนนี้ความรู้สึกคงเหมือนถูกกรีดเนื้ออยู่สินะ หลังจากนั้นลิ้นเจ้าจะเริ่มชา แขนขาไร้เรี่ยวแรง เจ็บปวดทรมานแต่ไม่อาจหมดสติ” ยิ่งหลี่หลิงเฟิ่งพูดมากขึ้นเท่าไหร่ ใบหน้าหลงฉียิ่งบิดเบี้ยวมากเท่านั้น
“ข้าจะให้เจ้าลิ้มรสความอยากอยู่ไม่ได้อยู่ อยากตายไม่ได้ตาย” รอยยิ้มงามล่มเมืองปรากฏขึ้น แต่หลงฉีมองราวกับมองปีศาจร้าย “วางใจเถอะ หากเจ้าอยากตาย ก็รออีกร้อยวันแล้วกัน”
“อ๊ากกก” เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นก้องท้องนภาในยามรัติกาล พร้อมกลับร่างหลงฉีค่อยๆ ลับหายท่ามกลางความมืดมิด
เดิมทีอาการของพิษไม่กำเริบเนื่องจากนางให้ยาระงับไว้เสมอ พิษชนิดนี้นางอ่านเจอในคัมภีร์โอสถสวรรค์ มีส่วนผสมมาจากหงอนงูฟ้าวารี หญ้าวิญญาณ และโลหิตของนาง ตั้งแต่ค้นพบวิธีปรุงยาพิษ นางพบว่าโลหิตตนเองมีพิษ หากแต่ไม่รู้ว่าคือพิษอะไร อีกทั้งยังไม่ส่งผลใดๆ ต่อร่างกายของนาง
ในเมื่อส่วนผสมครบครัน นางก็แค่ปรุงยา และหาหนูทดลอง
เริ่มแรกนางแค่จะเอาไว้ขู่โจรชั่วหลงฉี แต่คิดไม่ถึงว่าจุดจบจะเป็นเช่นนี้ได้ หลงฉีทำร้ายพี่ชายนาง ส่วนนางฆ่าหลงฉีอย่างเลือดเย็น
สามร่างบินฝ่าความมืดลึกลงไปอีกหลายพันลี้ดำดิ่งลงมาถึงใจกลางส่วนลึก เบื้องหน้าทั้งสามคือโลกอีกใบ ดินแดนซ่อนอยู่ใต้ผืนพิภพเหวินเจิ้งกวาดตามองรอบตัวตาแทบถลน “ที่นี่คือรังของมันจริงหรือ”โม่เจี้ยนหมิงอุทานด้วยความตื่นเต้น “สมกับเป็นมังกรหมื่นปี อู้ฟู่ไม่เบา สมบัติของมันรวมกันรวยเท่าแคว้นๆ นึงได้เลยนะ พี่สะใภ้ข้าขอกลับคำ ท่านเป็นดาวนำโชคกลับชาติมาเกิดของแท้ ข้าเข้ามาเสี่ยงโชควาสนาตั้งหลายครั้ง ยังไม่เท่ากับที่มากับท่านครั้งเดียวเลยขอรับ”โม่เจี้ยนหมิงเก็บอารมณ์ไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครเข้าใจไปกว่าเขาว่าตอนนี้มีความสุขแค่ไหน ดูวิมานพวกนี้สิวิบวับแสบตาไปหมด ทองคำ ทองคำทั้งนั้น!ไม่ทันขาดคำ ร่างสองร่างกลิ้งหลุนๆ ออกมาจากตัวของหลี่หลิงเฟิ่ง เจ้าเก่าเจ้าเดิม จอมแทะทั้งสองกร้วม กร้วมเสียงกัดแทะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง คราวนี้หลี่หลิงเฟิ่งไม่ห้ามเนื่องด้วยนางรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์เยี่ยงนี้ต้องเกิดขึ้น เสี่ยวไป๋นั้นไม่ต้องพูดถึง เจ้าตัวนี้ชอบลับฟันตนเองเป็นประจำ แต่เพื่อนร่วมวงที่ชอบนอนขี้เกียจอย่างเสี่ยวจูจูไวกว่ามันมาก อาหารอันโอชะมาถึงหน้าประตู เป็นใครก็อดใจไม่ไหวแน่นอนนางไม่สนใจทองคำพวกนี้เพราะในม
หลังศึกมังกรดินผ่านไปหลายวัน หิมะยังไม่หยุดตก หลี่หลิงเฟิ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ในการฟื้นฟูพลังและรักษาบาดแผล นางนั่งขัดสมาธิ หายใจเป็นจังหวะช้า ร่างกายเหมือนกลับมาสงบ แต่พลังในมิติมายายังปั่นป่วนอยู่บ้างในขณะที่นางสงบนิ่ง เสียงครางอื้ออึงดังขึ้นจากด้านหลัง “อือ...เจ็บชะมัด อย่างกับถูกฟาดด้วยภูเขา เดี๋ยวก่อน! นี่ข้ายังไม่ตายรึ จำได้ว่าตอนสุดท้ายโดนหางมังกรฟาดเข้าเต็มๆ”“เสียดาย” หลี่หลิงเฟิ่งพึมพำตาไม่ลืม “ข้าเริ่มคิดว่าความสงบจะอยู่ได้นานหน่อย”“ฮ่าๆ พวกเรายังมีชีวิตอยู่ พวกเรารอดแล้ว!” เสียงของโม่เจี้ยนหมิงแหบพร่า เหมือนคนฝันร้ายกลับมาหายใจอีกครั้ง พลางสำรวจตัวเองและรอบข้างอย่างดีอกดีใจเหวินเจิ้งที่นอนพิงผนังฝั่งหนึ่งเริ่มขยับ “เกิดอะไรขึ้น...มังกรดินล่ะ”หญิงสาวลืมตาช้า ๆ เปลือกตาสีซีดไหววูบ “เสียงสวดกลืนลงท้องไปแล้ว”เงียบทั้งถ้ำพลันไร้เสียง มีเพียงลมหายใจหนัก ๆ ของสองชายหนุ่มที่เพิ่งฟื้นโม่เจี้ยนหมิงกลืนน้ำลาย “เสียงสวดนั้นอีกแล้ว?”
เสียงระเบิดของเปลวเพลิงปะทะกับแรงสั่นสะเทือนจากธาตุดินดังสะท้อนก้องไปทั่วผืนหิมะโลกสีขาวโพลนที่เคยเงียบงัน กลับกลายเป็นสนามรบระหว่างมนุษย์สามคนกับอสูรหมื่นปีหิมะละลายกลายเป็นไอร้อนในชั่วลมหายใจเดียว ลมหนาวที่เคยปกคลุมทั่วฟ้าถูกแรงกดดันจากใต้ดินกวาดหายจนหมดสิ้นโม่เจี้ยนหมิงตะโกน “ข้าจะเปิดช่องขวา!”ร่างของเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายลม กระบี่ในมือหมุนวนก่อเกิดแรงกดอากาศเป็นเกลียว เหวินเจิ้งใช้กำลังผลักพลังยุทธ์เข้าฝ่ามือ ทุบพลังธาตุดินที่กระแทกเข้ามาแตกกระจาย“อย่าใช้แรงปะทะโดยตรง ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเสียเปรียบ” เสียงของหลี่หลิงเฟิ่งดังขึ้นเรียบเย็น นางเหยียบพื้นหิมะแล้วทะยานขึ้นกลางอากาศ เส้นไหมแดงร้อยเส้นแตกตัวเป็นประกายเพลิง สะท้อนเข้ากับแสงของฟ้าหิมะจนเหมือนมีพระอาทิตย์อีกดวงลุกขึ้นตรงหน้าแต่ทว่าพลังที่พวกนางปล่อยออกไปนั้น กลับถูกบางสิ่งใต้พื้นดูดซับราวทะเลกลืนสายฝนแรงสั่นสะเทือนขนาดมหึมาแผ่ซ่านทั่วผืนปฐพี พื้นดินแตกออกเป็นเส้นรอยแผล ลาวาสีทองปนดำพวยพุ่งขึ้นมาพร้อมเสียงคำรามที่ทำให้ฟ้าสะเทือนจากใจกลางของความมืดนั้น ร่างยักษ์มหึมาผุดขึ้นจากดิน เกล็ดของมันมีลวดลายเหมือนรอยหินลาวา แต
กว่าสิบเดือนที่พวกนางเดินทางเข้าสู่ป่าต้องห้ามจนเข้าสู่ช่วงเหมันต์ ในช่วงห้าเดือนหลังนี้ หิมะเริ่มตกทำให้ทั่วทั้งดินแดนกลายเป็นสีขาวโพลน ทั้งสามได้ปักหลักฝึกยุทธ์อยู่ ณ ริมขอบค่ายกลที่โอบล้อมสัตว์อสูรไว้ภายใน ตอนนี้ทั้งสามคนรุดหน้าไปมากโม่เจี้ยนหมิงและเหวินเจิ้งตัดสินใจทำลายค่ายกลอีกครั้ง ตลอดหลายเดือนผ่านมาเช่นนี้ ค่ายกลพลังอสูรกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเนื่องจากอยู่มานาน อะไรที่ควรสัมผัสได้ล้วนรับรู้ได้หมด ตัวอันตรายใต้ดินนั่นเริ่มจะทนไม่ไหวอยากขึ้นหาพวกเขาเต็มแก่ ทั้งสามตึงเครียดยิ่งนักแม้ตอนนี้พลังยุทธ์จะเพิ่มขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่พอต่อกรกับมัน ทว่าไม่มีทางเลือก สัตว์อสูรที่ถูกกักขังในค่ายกลเริ่มจะยืนหยัดไม่ไหวอีกต่อไป ขณะที่ยังไม่พร้อมพวกเขาจำเป็นต้องลงมือเพียงแต่ ตลอดเวลานั้นสิ่งที่อยู่ใต้ดินยังคงเฝ้ามองพวกเขาอยู่เงียบ ๆ รอเวลาตะปบเหยื่อ“เหยื่ออันโอชะของข้า อยากตายก่อนเวลาเช่นนั้นหรือ” เสียงแหบพร่าเปี่ยมอำนาจดังก้องเข้าโสตประสาตของทุกคน ก่อนแผ่นดินเริ่มสั่นไหว จนพวกนางต้องเหาะเหินหลบขึ้นกลางอากาศ เงาดำมหึมาครอบคลุมบริเวณแถบนี้
ในที่ซึ่งเงียบเกินไป บางครั้งเสียงของความเงียบก็ดังกว่าทุกสิ่ง เงียบจนอื้ออึงในโสตประสาท ราวกับโลกกลืนกินเสียงทั้งหมดไปจนหมดสิ้นเหวินเจิ้งตามมาด้านหลัง เขากระชับอาวุธที่พาดอยู่บนหลังไว้แน่น เสียงโลหะดังเคล้ากับลมหายใจที่สม่ำเสมอของโม่เจี้ยนหมิง ผู้เดินล้อมท้ายขบวนทั้งสามไม่ได้พูดกันสักคำ ราวกับรู้โดยสัญชาตญาณว่าคำพูดที่เล็ดลอดจะถูกบางสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ได้ยินอย่างชัดเจนระยะหนึ่ง หลี่หลิงเฟิ่งหยุดเท้า ดวงตาของนางกะพริบวูบหนึ่ง แสงแดงหม่นสะท้อนในม่านตากำลังรอการจุดประกาย“รู้สึกจะเป็นข้างหน้านี้” เสียงของนางเบาจนแทบกลืนไปกับลมหายใจโม่เจี้ยนหมิงชะงัก กระบี่ในมือตวัดลงมาตั้งรับโดยสัญชาตญาณ “ท่านรู้สึกได้?”นางไม่ตอบ แต่ค้อมตัวลงแตะปลายนิ้วกับพื้น แผ่นดินที่เย็นชื้นสะท้อนแรงสั่นแผ่วกลับมาราวหัวใจของสัตว์ยักษ์ที่เต้นอยู่ลึกลงไปใต้รากไม้ ไอพลังบางอย่างแผ่ออกจากจุดนั้น ไม่ใช่พลังของผู้ฝึกยุทธ์ หากแต่เป็นลมหายใจของสิ่งมีชีวิตตนอื่น ที่สูงส่งกว่ามนุษย์อย่างหาที่สุดมิได้หลี่หลิงเฟิ่งแผ่กระแสจิต คลื่นพ
ทั้งคู่เคลื่อนตัวฝ่าร่องเขาที่โล่งจนเห็นท้องฟ้าผืนดินที่เคยปกคลุมด้วยหมอกตอนนี้แห้งแตกระแหง กลิ่นคาวเลือดยังติดอยู่ในอากาศ ลมพัดฝุ่นคลุ้งขึ้นมาพร้อมเสียงระเบิดพลังยุทธ์แว่วไกลตูม!เสียงปะทะกันดัง ตามด้วยเสียงร้องคำรามของใครบางคน หลี่หลิงเฟิ่งหยุดชะงัก เงี่ยหูฟัง “มีการต่อสู้ข้างหน้า”โม่เจี้ยนหมิงชักกระบี่ขึ้น “พวกเงาโลหิตแน่ ข้าจำวิธีการของพวกมันได้”เขาหันไปมองหน้านาง “จะอ้อมหรือเข้าไปช่วย”หญิงสาวเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบ “เข้าไป”กลุ่มคนห้าหกคนกำลังสู้กับกลุ่มเงาโลหิตอีกฝั่ง กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง ดินใต้เท้าเปียกแฉะด้วยพลังยุทธ์ที่แตกกระจายชายร่างสูงในชุดดำที่เป็นหัวหน้าเงาโลหิตกำลังฟาดอาวุธใส่ชายอีกคนที่บาดเจ็บหนัก เขาเป็นหนึ่งในคนของสำนักพันธสาน เสื้อคลุมฉีกขาด แขนขวาไหม้เกรียมโม่เจี้ยนหมิงมองอยู่จากเนิน“พวกนั้นเป็นศิษย์ของหุบเขาชาง ดูนั่นมีตราโลหะอยู่บนคอเสื้อเด่นชัดมาก น่าจะเป็นคนของหนึ่งในสำนักใหญ่พวกนั้น อย่างนั้นข้าอยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้ว ถ้







