LOGINบรรยากาศเงียบสงัดแพร่กระจายไปทั่วห้อง หลี่หลิงเฟิ่งหายใจสะดุด ดวงตาเรียวสวยไม่ได้เลื่อนออกจากใบหน้าของบุรุษผู้นั้นเลย เช่นเดียวกับดวงตาคมกริบกวาดมองนางเงียบๆ
เนิ่นนาน ไร้ซึ่งคำพูด และไม่ขยับ
คล้ายเวลาล่วงเลยไปหลายสิบปี เสียงสูดลมหายใจอย่างหนักหน่วงดังขึ้นทำลายความเงียบงันที่น่ากระอักกระอ่วนนี้ สุดท้ายแล้วยังคงเป็นหลี่หลิงเฟิ่งที่ทนไม่ไหว ใคร่สงสัยตัวตนบุรุษรูปงามท่านนี้ ริมฝีปากเม้มแน่น อยากพูดบางอย่างแต่กลับพูดอะไรไม่ออก มือของเขายังคงลูบผมนางอยู่อย่างนั้น คล้ายปลอบประโลมนางอยู่ทุกวินาที
“ข้า...ข้าอยากกินองุ่น” หลี่หลิงเฟิ่งชะงักค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก หน้าขึ้นริ้วแดงๆ ด้วยความอับอาย นี่นางพูดอะไรออกไป
อยากกินองุ่น? องุ่นเนี่ยนะ เพ้ย!
หลี่หลิงเฟิ่งขยับตัวหลบฝ่ามือใหญ่ หลุบตาต่ำ ไม่กล้ามองหน้าเขาอีกต่อไป ในใจสบถด่าตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำตัวเป็นหญิงสาววัยแรกรุ่นไปได้
“เสี่ยวเซียง” บุรุษชุดขาวยิ้มพลางส่งเสียงเรียกเสี่ยวเซียง “เจ้าค่ะ คุณชายใหญ่” หลี่หลิงเฟิ่งมองเสี่ยวเซียงผลักประตูเข้ามา เดินก้มหน้ามาคุกเข่าตรงปลายเตียง ก่อนจะเงยหน้าจ้องมองผู้เป็นนายด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นนัยน์ตา
คุณชายใหญ่ หลี่เฟยหยาง? พี่ชายของเจ้าของร่างเดิม นี่...นางมีพี่ชายหล่อขนาดนี้เลยงั้นหรือ ส่วนลึกอดที่จะเศร้าใจไม่ได้ น่าเสียดาย...
“คุณหนูเจ้าขา ท่านทำให้ข้าตกใจแทบแย่ ข้านึกว่าท่านจะทิ้งข้าไปอีกแล้ว” เสี่ยวเซียงพยายามกลั้นสะอื้น รอยยิ้มน่ารักประดับเต็มใบหน้า
“ตั้งสำรับให้คุณหนูของเจ้าได้แล้ว นางไม่ได้ทานอะไรมาก็หลายวัน ต้องทำอาหารย่อยง่ายถึงจะดีต่อกระเพาะ เข้าใจหรือไม่” หลี่เฟยหยางเห็นคนบนเตียงยังคงก้มหน้าก็เข้าใจว่านางยังไม่ฟื้นตัวดี จึงหันไปเอ่ยปากไล่เสี่ยวเซียงเสียงเรียบ
“เจ้าค่ะ” สาวใช้มองคุณหนูอีกรอบหนึ่ง
ก่อนจะลุกออกไป มีคุณชายใหญ่อยู่ นางก็โล่งใจ
“ระยะนี้เจ้ากินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน เอาไว้ร่างกายแข็งแรงเมื่อไหร่ค่อยกลับมากินเหมือนเดิม” หลี่หลิงเฟิ่งได้สติขึ้นมา เมื่อสัมผัสถึงความอบอุ่นบนศีรษะอีกครั้ง
“…” นางเงยหน้าขึ้น พยักหน้าอย่างเลื่อนลอย
“ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ ทั้งยังทุรกันดาร เจ้าคงลำบากมากสินะ” มือใหญ่ยังคงลูบไล้ผมดำขลับลื่นมือของนางอย่างแผ่วเบา มือหนาชะงักครู่หนึ่ง หลี่เฟยหยางเหมือนคิดอะไรได้ เอ่ยปากถามเสียงเบา
“แถวนี้ไม่มีองุ่น เอาไว้กลับถึงจวนพี่ค่อยหามาให้เจ้าทาน ดีหรือไม่” มุมปากหลี่หลิงเฟิ่งกระตุก นางพูดอะไรไม่ออกอีกต่อไปแล้ว รอยยิ้มน้อยๆ ที่แต้มอยู่มุมปากพลันแข็งค้าง
ความจริงแล้วนางไม่ชอบกินองุ่น ถึงขั้นเหม็นกลิ่นมันด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงได้พูดออกไปอย่างนั้น บางทีอาจเป็นเพราะความฝันก่อนหน้านี้เป็นแน่ นี่นางถึงขั้นเลียนแบบคนอื่นเลยหรือ
“ท่านมาได้อย่างไร” หลี่หลิงเฟิ่งไม่อยากจะเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เอ่ยถามหลี่เฟยหยางอย่างสงสัยใคร่รู้
“อู๋เหยียนส่งข่าวไปบอกพี่ว่าเจ้าบาดเจ็บ ข้าไม่วางใจจึงตัดสินใจมารับเจ้ากลับด้วยตัวเอง” ระยะทางจากจวนมาที่นี่เร็วเพียงนี้เลยหรือ หลี่หลิงเฟิ่งขมวดคิ้วมุ่น
“ข้าหลับไปนานมากหรือ”
“ราวๆ เจ็ดวัน เฟิ่งเอ๋อร์ ไยเจ้าจึงไม่รักษาตัวเองให้ดี เข้าไปในป่านั้นทำไม” คิ้วกระบี่ขมวดเล็กน้อย มองหลี่หลิงเฟิ่งราวกับต้องการไล่เรียงเอาคำตอบ
ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อถูกจ้องมาอย่างนี้นางถึงรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ขึ้นมา เหมือนเวลาที่ทำผิดแล้วถูกผู้ปกครองจับได้ก็ไม่ปาน อาจเป็นเพราะปฏิกิริยาของเจ้าของร่างเดิมที่มีต่อพี่ชายของนางกระมัง
“ข้าแค่อยากเข้าไปเก็บสมุนไพร แต่กลับโชคร้าย ข้าไม่คิดว่าจะไปเจอเข้ากับยอดฝีมือและสัตว์อสูรได้” นางตอบออกไปอย่างไม่ปิดบัง อย่างไรคนผู้นี้ก็ย่อมรู้ว่านางรู้เรื่องสมุนไพร หรืออาจคาดเดาได้ว่านางรู้วิชาแพทย์ เพียงแต่นางไม่ได้บอกไปทั้งหมด ไม่รู้ว่าพี่ชายท่านนี้ไว้ใจได้มากแค่ไหน นางไม่มีความทรงจำของร่างเดิม โลกนี้มันโหด ความเชื่อใจเป็นสิ่งที่น่ากลัว นางไม่อาจแบกรับความผิดหวังที่จะตามมาได้หรอก
นางสามารถไว้ใจคนอื่นได้ แต่สำหรับความเชื่อใจ นางเชื่อใจแค่ตัวเองเท่านั้น!
“เจ้ารู้ใช่มั้ย เมื่อกลับไปเจ้าต้องเตรียมตัวเข้าสำนักศึกษาหลวง หากแต่ผู้ที่เข้าสำนักศึกษาหลวงได้ต้องเป็นผู้มีพลังยุทธ์” หลี่เฟยหยางถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม “หลายวันที่ผ่านมาข้ากลัดกลุ้มมาโดยตลอด แต่พอรู้ว่าเจ้ามีความรู้เรื่องสมุนไพรอยู่บ้าง เรื่องนี้ก็ยังนับว่าพอมีทางออก”
“ในอาณาจักรหลิวเฟิง แต่ละแคว้นจะมีสำนักศึกษาหลวงของตนเอง ซึ่งจะรวบรวมผู้มีพลังยุทธ์เข้ามาศึกษา แต่หอเทพโอสถนั้นแตกต่างกัน หอเทพโอสถไม่ได้เป็นของแคว้นใดแคว้นหนึ่ง แยกตัวเป็นเอกเทศรวบรวมเหล่าผู้มีความสามารถในด้านหลอมยาลูกกลอนและรักษาโรค ซึ่งทุกๆ ปีจะมีการจัดสอบรับศิษย์ที่มีพรสวรรค์เข้าไปเป็นศิษย์ แต่น่าเสียดายที่การคัดเลือกผ่านไปแล้ว”
หลี่เฟยหยางนิ่งไปชั่วขณะ จึงเอ่ยต่อ “ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสซะทีเดียว ข้าพอรู้จักผู้อาวุโสในหอเทพโอสถ พี่แนะนำให้เจ้าได้ ส่วนจะสำเร็จหรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่ที่ตัวเจ้าเอง”
ตอนนี้เขายังไม่แข็งแกร่งพอ มือที่เขาจะยื่นออกไปช่วยนางจึงทำได้แค่นี้
แววตาของหลี่หลิงเฟิ่งไหววูบ “เหตุใดพวกเขาถึงอยากให้ข้าเข้าสำนักศึกษาหลวง ทั้งที่รู้กันไปทั่วว่าข้าไม่มีพลังยุทธ์”
หลี่เฟยหยางหลุบตาลง สักพักก่อนเอ่ย “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้ายังมีข้าอยู่”
พริบตาเดียว ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง บรรยากาศชวนอึดอัดยิ่งนัก
“แค่กแค่ก...” หลี่หลิงเฟิ่งไอเสียงต่ำ ยกชายแขนเสื้อปิดบังสีหน้าของตนไว้ เวลานี้นางควรพูดอะไรเพื่อทำลายบรรยากาศแปลกประหลาดนี้ดี
ยังไม่ทันที่นางจะพูดอะไรออกมา หลี่เฟยหยางก็ประคองนางนั่งพิงหัวเตียง ก่อนจะลุกขึ้นยืน เดินออกไปนอกห้อง ปล่อยให้นางงงงวยอยู่คนเดียว
หนึ่งชั่วยามต่อมา ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง หนึ่งสตรีทานอาหารอยู่ข้างเตียง หนึ่งบุรุษนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมมือถือหนังสืออ่านอย่างเงียบๆ นอกจากเสียงช้อนกระทบถ้วยชามกับเสียงพลิกหน้ากระดาษเป็นครั้งคราวแล้วก็ไม่มีสิ่งใดอีก ที่แท้แล้วชายหนุ่มแค่เดินออกไปหยิบตำราแพทย์เบื้องต้นมาให้นางศึกษา หลังจากนั้นปักหลักนั่งเฝ้านางไม่ยอมไปไหน
หลี่หลิงเฟิ่งพลันพบว่า การมีคนหน้าตาดีมาอยู่ด้วยในขณะที่นางกำลังกินข้าวอยู่นั้น ไม่ได้ทำให้นางเจริญอาหารขึ้นมาเลยสักนิด
“ท่านจะทำอย่างไรกับโจรพวกนั้น” สุดท้ายก็ยังคงเป็นนางที่ทนไม่ไหว วางช้อนตักโจ๊กลง เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
“เจ้าอยากให้จัดการอย่างไร” หลี่เฟยหยางวางหนังสือลง หันหน้ามามองนาง
หลี่หลิงเฟิ่งยักไหล่ “ข้าแค่อยากรู้ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร” ข้าจะได้คิดบัญชีถูกคน หากแต่ประโยคหลังนางไม่ได้พูดออกไป หลี่หลิงเฟิ่งขมวดคิ้วหนัก ยอดฝีมือสองคนนั้นยังไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้บ้าหน้าตายที่หนีไปได้นั่น นางไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจ เอาเถิด ตราบใดที่ยังมีชีวิต คงได้พบกันสักวัน
“อีกอย่าง ข้าไม่เคยใจอ่อนกับศัตรู” หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้วขึ้นอย่างยียวน นางอยากจะรู้ยิ่งนัก บุรุษผู้นี้จะกล้าสังหารคนทิ้งหรือไม่ จากที่นางทบทวนมาหลายชั่วยาม เป็นไปไม่ได้ที่ยอดฝีมือสองคนนั้นจะไม่มีคนบงการอยู่เบื้องหลัง บุรุษผู้นั้นที่ถูกตามล่าคงจะไม่ธรรมดาเช่นกัน
นางเดาออก มีหรือพี่ชายใหญ่ของนางจะไม่รู้ หลี่หลิงเฟิ่งมองปฏิกิริยาอีกคนในห้องไม่วางตา นางอยากรู้ ชายผู้นี้หวังดีจริงๆ หรือมีจุดประสงค์อื่น
เห็นหญิงสาวจ้องตาไม่กะพริบ “เจ้าเปลี่ยนไปมาก ตลอดสามปีที่ผ่านมาคงไม่ง่ายเลยสินะ” รอยยิ้มน้อยๆ ที่นานทีจะพบเห็นปรากฏขึ้นบนใบหน้า “แต่พี่ก็ชอบเจ้าที่เป็นแบบนี้”
“ข้าจะถือว่าเป็นคำชมแล้วกัน
” นางไม่รู้หรอกว่าหลี่หลิงเฟิ่งคนเดิมเป็นอย่างไร แต่นางไม่คิดว่าหลี่หลิงเฟิ่งคนใหม่จะเป็นคนดีในสายตาคนอื่นหรอก
“ผู้ฝึกพลังยุทธ์ขั้นพิภพในแผ่นดินนี้ไม่นับว่าหายาก แต่ปรากฏตัวที่เมืองขอบชายแดนนับว่าผิดปกติโดยแท้ ซ้ำยังต้องการสังหารเจ้าที่เป็นว่าที่พระชายาขององค์ชายรอง บางทีอาจเกี่ยวข้องกับคนในราชสำนัก” ดวงตารัติกาลจ้องหลี่หลิงเฟิ่งเขม็ง น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเข้มขึ้นหลายส่วน อยู่ๆ นางก็รู้สึกหนาวขึ้นมา อดที่จะยกมือลูบแขนตนเองเบาๆ ไม่ได้
“อันที่จริงนอกจากสองคนนั้นยังมีบุรุษอีกคนหนึ่ง” หลี่หลิงเฟิ่งเม้มปากก่อนจะเอ่ยต่อ “วันนั้นข้ากับเสี่ยวเฉินเข้าไปเก็บสมุนไพรตามปกติเหมือนทุกวัน บังเอิญเจอคนผู้นั้นถูกไล่ล่าอยู่โดยไม่ตั้งใจ ข้าตกใจมากจึงรีบหาที่ซ่อนตัว แต่สุดท้ายก็ถูกพบเข้าจนได้ ต่อมาเป็นอย่างไรท่านคงจะรู้จากปากอู๋เหยียนแล้ว” หลี่หลิงเฟิ่งกำลังพนัน บุรุษตรงหน้าคนนี้ควรค่าแก่การไว้ใจหรือไม่
“แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน” คิ้วของชายหนุ่มขมวดแน่น เรื่องชักจะยุ่งยากมากกว่าที่เขาคิดซะแล้ว
“ข้าเองก็ไม่รู้ ใบหน้าของเขาชุ่มไปด้วยเลือด ข้ามองอย่างไรก็ไม่ชัดเจน หลังจากขึ้นมาจากน้ำ คนผู้นั้นก็หายไปแล้ว” หลี่หลิงเฟิ่งหงุดหงิด น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเจือความไม่สบอารมณ์อยู่เล็กน้อย “แต่คงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูมีราคาสูง ชาวบ้านทั่วไปไม่มีทางที่จะหามาใส่ได้แน่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นคนในราชสำนัก”
“หากเป็นอย่างนั้นจริง เกรงว่าสองคนนั้นคงไม่ยอมปริปาก” ดวงตาคมประกายเย็นเยียบ “แต่ไม่ว่ามันจะเป็นใคร พี่ไม่ปล่อยมันไว้แน่”
หลี่หลิงเฟิ่งแสยะยิ้มมุมปาก ใครสนใจกันเล่า สืบไม่ได้ก็ช่างปะไร ถ้าราชสำนักเป็นศัตรูกับข้าจริง ข้าก็จะทำลายให้สิ้นซาก!
“อย่ากังวลไปเลย ต่อให้พี่ต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก พี่ก็ยืนอยู่ข้างเจ้า” อยู่ๆ น้ำเสียงหนักแน่นของชายหนุ่มก็ดังขึ้นคล้ายดั่งคำมั่นสัญญา
หลี่หลิงเฟิ่งยิ้ม หากแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ค่ำคืนมืดมิดไม่เห็นเดือน ความเงียบสงัดยามราตรีกาล ทุกคนบนเรือนทรุดโทรมซอมซ่อนอนหลับสนิท อาจเป็นเพราะฝนตกหนัก อากาศคืนนี้เย็นสบายเป็นพิเศษ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดหลี่หลิงเฟิ่งถึงนอนไม่หลับ
หลี่หลิงเฟิ่งเดินออกไปนอกระเบียง เหม่อมองเม็ดฝนโปรยปรายยามค่ำคืน ทว่า เสียงตกแตกของเครื่องเรือนปลุกให้นางตื่นตัว พลังจิตแผ่ออกไปสำรวจโดยไม่ลังเล
“มีคนร้าย มีคนร้าย” แว่วเสียงตื่นตระหนกดังผสมกับเสียงห่าฝนที่เทกระหน่ำลงมา หลี่หลิงเฟิ่งชะงักครู่หนึ่ง สุดท้ายตัดสินใจหยิบเสื้อคลุมตัวนอกมาสวม เดินออกไปหน้าเรือน
“คุณหนู อย่าออกไปเลย อันตรายขอรับ” เสี่ยวเฉินที่นอนเฝ้าอยู่ข้างนอก เห็นหลี่หลิงเฟิ่งเดินออกมาก็ตกใจ วิ่งเข้ามาขวางไว้
หลี่หลิงเฟิ่งนิ่วหน้า “เจ้าตามข้าออกไปดูหน่อย ข้ากลัวว่าคนของพี่ใหญ่จะสู้ไม่ได้” เสี่ยวเฉินรับคำ มองสีหน้าวิตกกังวลของนาง ไม่กล้าถามหลี่หลิงเฟิ่งให้มากความ
หลี่หลิงเฟิ่งคาดไว้ไม่ผิด มีพลังหลายสิบขุมอยู่หน้าเรือน ด้วยความสามารถที่มีจำกัด นางจำกัดขั้นพลังของผู้บุกรุกเหล่านี้ไม่ได้ มีมือสังหารชุดดำบุกรุกเข้ามาได้อย่างไร บ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตูสองคนถูกฆ่าตายไปนานแล้ว มือสังหารพวกนั้นกำลังต่อสู้อยู่กับคนของพี่ชายใหญ่ นักฆ่ามีมากเกินไป ฝ่ายพวกนางกำลังเสียเปรียบ
อู๋เหยียนถือกระบี่ตัวเปียกโชก เสื้อผ้าตามร่างกายขาดวิ่น แยกไม่ออกว่าเป็นสายฝนหรือเลือดที่ไหลออกมากันแน่ หลี่หลิงเฟิ่งมองผ่านด้านหลังอู๋เหยียนก็พบหลี่เฟยหยางที่สภาพไม่ได้ดีไปกว่ากัน แขนขวาได้รับบาดเจ็บ ได้แต่อาศัยมือซ้ายกวัดแกว่งกระบี่ต้านทานการโจมตีเอาไว้
“พวกเราไม่มีเรื่องบาดหมางกับใครมาก่อน บอกมาใครส่งพวกเจ้ามา” หลี่หลิงเฟิ่งกลอกตามองอู๋เหยียน เจ้าลูกเต่าเอาเท้าคิดหรือ เห็นอยู่ว่าพวกนี้เป็นนักฆ่าเดนตาย มีหรือจะฟังคำพูดไร้สาระพวกนี้ ไม่ทันขาดคำมือสังหารกรูกันเข้าไปล้อมโดยไม่สนใจสักนิด
“นายท่าน ท่านถอยออกไปก่อน” อู๋เหยียนแทงมือสังหารที่พุ่งเข้ามารายหนึ่ง น้ำเสียงเหนื่อยหอบ สีหน้าเคร่งเครียด เห็นทีพวกเขาคงต้องจบชีวิตลงคืนนี้เป็นแน่
เห็นได้ชัดว่ามือสังหารเหล่านี้เป็นมืออาชีพ ลงมือโหดเหี้ยม ผู้บงการต้องการจะฆ่าพวกเขาทั้งหมด
หลี่เฟยหยางยืนดูเหตุการณ์ตรงหน้าคล้ายไม่ใส่ใจ สีหน้าเย็นชาในยามปกติเผยออกมา ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ความคิดของเขา คนพวกนี้ไม่ได้มีความแค้นกับเขา มีความเป็นไปได้ว่าต้องการช่วยคนหรืออาจฆ่าคนปิดปาก
ลำแสงสีฟ้าเย็นยะเยือกพุ่งออกจากฝ่ามือหนา กระบี่ที่กุมไว้เกาะไปด้วยเกล็ดน้ำแข็ง พุ่งตรงเข้าปลิดชีพนักฆ่ารายหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล หนึ่งกระบวนท่าปลิดชีพ คนผู้นั้นเบิกตาโพลงอย่างไม่อยากเชื่อ หงายหลังล้มตึงลงกับพื้น
“นายท่าน ท่านพาคุณหนูหนีออกไปก่อน ทางนี้ให้พวกข้าจัดการเองขอรับ” อู๋เหยียนหันหลังมาหาหลี่เฟยหยาง จากสถานการณ์ตอนนี้ย่ำแย่ยิ่งนัก เขากลัวว่าจะคุมเอาไว้ไม่อยู่ คนของพวกเขาไม่กี่หยิบมือไม่อาจต้านทานมือสังหารได้หมดเป็นแน่ พละกำลังที่ยังไม่ฟื้นฟูดี เขาไม่อาจเสี่ยงให้เจ้านายยืนอยู่ตรงนี้อีกต่อไป
“ข้าไม่อาจทิ้งพวกเจ้าให้พลีชีพแทนได้” หากเจ้านายอ่อนแอ ก็ไม่สมควรที่จะปกครองใคร พลังสีฟ้าพุ่งออกมาจากมือข้างขวาอีกครั้ง ทั้งอานุภาพยังรุนแรงกว่าครั้งแรกหลายเท่า
ตาของเหล่าองครักษ์แดงก่ำ กระชับกระบี่ในมือแน่น แววตาแปรเปลี่ยนอย่างน่ากลัว พุ่งเข้าไปต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิต
หลี่หลิงเฟิ่งที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่หน้าประตู สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด วิ่งออกไปก้มหยิบกระบี่ข้างศพที่นอนอยู่บนพื้น รวมพลังทั้งหมดไปยังจุดตันเถียน ก่อนจะเปล่งเสียงเล็กแหลมออกมา
“รน-หา-ที่-ตาย”
สามร่างบินฝ่าความมืดลึกลงไปอีกหลายพันลี้ดำดิ่งลงมาถึงใจกลางส่วนลึก เบื้องหน้าทั้งสามคือโลกอีกใบ ดินแดนซ่อนอยู่ใต้ผืนพิภพเหวินเจิ้งกวาดตามองรอบตัวตาแทบถลน “ที่นี่คือรังของมันจริงหรือ”โม่เจี้ยนหมิงอุทานด้วยความตื่นเต้น “สมกับเป็นมังกรหมื่นปี อู้ฟู่ไม่เบา สมบัติของมันรวมกันรวยเท่าแคว้นๆ นึงได้เลยนะ พี่สะใภ้ข้าขอกลับคำ ท่านเป็นดาวนำโชคกลับชาติมาเกิดของแท้ ข้าเข้ามาเสี่ยงโชควาสนาตั้งหลายครั้ง ยังไม่เท่ากับที่มากับท่านครั้งเดียวเลยขอรับ”โม่เจี้ยนหมิงเก็บอารมณ์ไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครเข้าใจไปกว่าเขาว่าตอนนี้มีความสุขแค่ไหน ดูวิมานพวกนี้สิวิบวับแสบตาไปหมด ทองคำ ทองคำทั้งนั้น!ไม่ทันขาดคำ ร่างสองร่างกลิ้งหลุนๆ ออกมาจากตัวของหลี่หลิงเฟิ่ง เจ้าเก่าเจ้าเดิม จอมแทะทั้งสองกร้วม กร้วมเสียงกัดแทะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง คราวนี้หลี่หลิงเฟิ่งไม่ห้ามเนื่องด้วยนางรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์เยี่ยงนี้ต้องเกิดขึ้น เสี่ยวไป๋นั้นไม่ต้องพูดถึง เจ้าตัวนี้ชอบลับฟันตนเองเป็นประจำ แต่เพื่อนร่วมวงที่ชอบนอนขี้เกียจอย่างเสี่ยวจูจูไวกว่ามันมาก อาหารอันโอชะมาถึงหน้าประตู เป็นใครก็อดใจไม่ไหวแน่นอนนางไม่สนใจทองคำพวกนี้เพราะในม
หลังศึกมังกรดินผ่านไปหลายวัน หิมะยังไม่หยุดตก หลี่หลิงเฟิ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ในการฟื้นฟูพลังและรักษาบาดแผล นางนั่งขัดสมาธิ หายใจเป็นจังหวะช้า ร่างกายเหมือนกลับมาสงบ แต่พลังในมิติมายายังปั่นป่วนอยู่บ้างในขณะที่นางสงบนิ่ง เสียงครางอื้ออึงดังขึ้นจากด้านหลัง “อือ...เจ็บชะมัด อย่างกับถูกฟาดด้วยภูเขา เดี๋ยวก่อน! นี่ข้ายังไม่ตายรึ จำได้ว่าตอนสุดท้ายโดนหางมังกรฟาดเข้าเต็มๆ”“เสียดาย” หลี่หลิงเฟิ่งพึมพำตาไม่ลืม “ข้าเริ่มคิดว่าความสงบจะอยู่ได้นานหน่อย”“ฮ่าๆ พวกเรายังมีชีวิตอยู่ พวกเรารอดแล้ว!” เสียงของโม่เจี้ยนหมิงแหบพร่า เหมือนคนฝันร้ายกลับมาหายใจอีกครั้ง พลางสำรวจตัวเองและรอบข้างอย่างดีอกดีใจเหวินเจิ้งที่นอนพิงผนังฝั่งหนึ่งเริ่มขยับ “เกิดอะไรขึ้น...มังกรดินล่ะ”หญิงสาวลืมตาช้า ๆ เปลือกตาสีซีดไหววูบ “เสียงสวดกลืนลงท้องไปแล้ว”เงียบทั้งถ้ำพลันไร้เสียง มีเพียงลมหายใจหนัก ๆ ของสองชายหนุ่มที่เพิ่งฟื้นโม่เจี้ยนหมิงกลืนน้ำลาย “เสียงสวดนั้นอีกแล้ว?”
เสียงระเบิดของเปลวเพลิงปะทะกับแรงสั่นสะเทือนจากธาตุดินดังสะท้อนก้องไปทั่วผืนหิมะโลกสีขาวโพลนที่เคยเงียบงัน กลับกลายเป็นสนามรบระหว่างมนุษย์สามคนกับอสูรหมื่นปีหิมะละลายกลายเป็นไอร้อนในชั่วลมหายใจเดียว ลมหนาวที่เคยปกคลุมทั่วฟ้าถูกแรงกดดันจากใต้ดินกวาดหายจนหมดสิ้นโม่เจี้ยนหมิงตะโกน “ข้าจะเปิดช่องขวา!”ร่างของเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายลม กระบี่ในมือหมุนวนก่อเกิดแรงกดอากาศเป็นเกลียว เหวินเจิ้งใช้กำลังผลักพลังยุทธ์เข้าฝ่ามือ ทุบพลังธาตุดินที่กระแทกเข้ามาแตกกระจาย“อย่าใช้แรงปะทะโดยตรง ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเสียเปรียบ” เสียงของหลี่หลิงเฟิ่งดังขึ้นเรียบเย็น นางเหยียบพื้นหิมะแล้วทะยานขึ้นกลางอากาศ เส้นไหมแดงร้อยเส้นแตกตัวเป็นประกายเพลิง สะท้อนเข้ากับแสงของฟ้าหิมะจนเหมือนมีพระอาทิตย์อีกดวงลุกขึ้นตรงหน้าแต่ทว่าพลังที่พวกนางปล่อยออกไปนั้น กลับถูกบางสิ่งใต้พื้นดูดซับราวทะเลกลืนสายฝนแรงสั่นสะเทือนขนาดมหึมาแผ่ซ่านทั่วผืนปฐพี พื้นดินแตกออกเป็นเส้นรอยแผล ลาวาสีทองปนดำพวยพุ่งขึ้นมาพร้อมเสียงคำรามที่ทำให้ฟ้าสะเทือนจากใจกลางของความมืดนั้น ร่างยักษ์มหึมาผุดขึ้นจากดิน เกล็ดของมันมีลวดลายเหมือนรอยหินลาวา แต
กว่าสิบเดือนที่พวกนางเดินทางเข้าสู่ป่าต้องห้ามจนเข้าสู่ช่วงเหมันต์ ในช่วงห้าเดือนหลังนี้ หิมะเริ่มตกทำให้ทั่วทั้งดินแดนกลายเป็นสีขาวโพลน ทั้งสามได้ปักหลักฝึกยุทธ์อยู่ ณ ริมขอบค่ายกลที่โอบล้อมสัตว์อสูรไว้ภายใน ตอนนี้ทั้งสามคนรุดหน้าไปมากโม่เจี้ยนหมิงและเหวินเจิ้งตัดสินใจทำลายค่ายกลอีกครั้ง ตลอดหลายเดือนผ่านมาเช่นนี้ ค่ายกลพลังอสูรกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเนื่องจากอยู่มานาน อะไรที่ควรสัมผัสได้ล้วนรับรู้ได้หมด ตัวอันตรายใต้ดินนั่นเริ่มจะทนไม่ไหวอยากขึ้นหาพวกเขาเต็มแก่ ทั้งสามตึงเครียดยิ่งนักแม้ตอนนี้พลังยุทธ์จะเพิ่มขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่พอต่อกรกับมัน ทว่าไม่มีทางเลือก สัตว์อสูรที่ถูกกักขังในค่ายกลเริ่มจะยืนหยัดไม่ไหวอีกต่อไป ขณะที่ยังไม่พร้อมพวกเขาจำเป็นต้องลงมือเพียงแต่ ตลอดเวลานั้นสิ่งที่อยู่ใต้ดินยังคงเฝ้ามองพวกเขาอยู่เงียบ ๆ รอเวลาตะปบเหยื่อ“เหยื่ออันโอชะของข้า อยากตายก่อนเวลาเช่นนั้นหรือ” เสียงแหบพร่าเปี่ยมอำนาจดังก้องเข้าโสตประสาตของทุกคน ก่อนแผ่นดินเริ่มสั่นไหว จนพวกนางต้องเหาะเหินหลบขึ้นกลางอากาศ เงาดำมหึมาครอบคลุมบริเวณแถบนี้
ในที่ซึ่งเงียบเกินไป บางครั้งเสียงของความเงียบก็ดังกว่าทุกสิ่ง เงียบจนอื้ออึงในโสตประสาท ราวกับโลกกลืนกินเสียงทั้งหมดไปจนหมดสิ้นเหวินเจิ้งตามมาด้านหลัง เขากระชับอาวุธที่พาดอยู่บนหลังไว้แน่น เสียงโลหะดังเคล้ากับลมหายใจที่สม่ำเสมอของโม่เจี้ยนหมิง ผู้เดินล้อมท้ายขบวนทั้งสามไม่ได้พูดกันสักคำ ราวกับรู้โดยสัญชาตญาณว่าคำพูดที่เล็ดลอดจะถูกบางสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ได้ยินอย่างชัดเจนระยะหนึ่ง หลี่หลิงเฟิ่งหยุดเท้า ดวงตาของนางกะพริบวูบหนึ่ง แสงแดงหม่นสะท้อนในม่านตากำลังรอการจุดประกาย“รู้สึกจะเป็นข้างหน้านี้” เสียงของนางเบาจนแทบกลืนไปกับลมหายใจโม่เจี้ยนหมิงชะงัก กระบี่ในมือตวัดลงมาตั้งรับโดยสัญชาตญาณ “ท่านรู้สึกได้?”นางไม่ตอบ แต่ค้อมตัวลงแตะปลายนิ้วกับพื้น แผ่นดินที่เย็นชื้นสะท้อนแรงสั่นแผ่วกลับมาราวหัวใจของสัตว์ยักษ์ที่เต้นอยู่ลึกลงไปใต้รากไม้ ไอพลังบางอย่างแผ่ออกจากจุดนั้น ไม่ใช่พลังของผู้ฝึกยุทธ์ หากแต่เป็นลมหายใจของสิ่งมีชีวิตตนอื่น ที่สูงส่งกว่ามนุษย์อย่างหาที่สุดมิได้หลี่หลิงเฟิ่งแผ่กระแสจิต คลื่นพ
ทั้งคู่เคลื่อนตัวฝ่าร่องเขาที่โล่งจนเห็นท้องฟ้าผืนดินที่เคยปกคลุมด้วยหมอกตอนนี้แห้งแตกระแหง กลิ่นคาวเลือดยังติดอยู่ในอากาศ ลมพัดฝุ่นคลุ้งขึ้นมาพร้อมเสียงระเบิดพลังยุทธ์แว่วไกลตูม!เสียงปะทะกันดัง ตามด้วยเสียงร้องคำรามของใครบางคน หลี่หลิงเฟิ่งหยุดชะงัก เงี่ยหูฟัง “มีการต่อสู้ข้างหน้า”โม่เจี้ยนหมิงชักกระบี่ขึ้น “พวกเงาโลหิตแน่ ข้าจำวิธีการของพวกมันได้”เขาหันไปมองหน้านาง “จะอ้อมหรือเข้าไปช่วย”หญิงสาวเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบ “เข้าไป”กลุ่มคนห้าหกคนกำลังสู้กับกลุ่มเงาโลหิตอีกฝั่ง กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง ดินใต้เท้าเปียกแฉะด้วยพลังยุทธ์ที่แตกกระจายชายร่างสูงในชุดดำที่เป็นหัวหน้าเงาโลหิตกำลังฟาดอาวุธใส่ชายอีกคนที่บาดเจ็บหนัก เขาเป็นหนึ่งในคนของสำนักพันธสาน เสื้อคลุมฉีกขาด แขนขวาไหม้เกรียมโม่เจี้ยนหมิงมองอยู่จากเนิน“พวกนั้นเป็นศิษย์ของหุบเขาชาง ดูนั่นมีตราโลหะอยู่บนคอเสื้อเด่นชัดมาก น่าจะเป็นคนของหนึ่งในสำนักใหญ่พวกนั้น อย่างนั้นข้าอยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้ว ถ้




![เฟิ่งหวง [鳳凰]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)

![ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)
