“ได้ เจ้าว่าเช่นไร ข้าล้วนเห็นด้วย” เหยาหวังเหว่ยคลี่ยิ้มอย่างคลายกังวล
เขารู้ดีว่านางมีแผนการบางอย่างซ่อนเร้นเอาไว้ แต่เขาก็ยังยินดียอมตกลงไปในบ่อที่นางขุด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นแววตาเจ้าเล่ห์ปานสุนัขจิ้งจอกของนาง ถึงอดีตนางพยายามจะใช้มารยาของสตรีในเรือนหอหลายครั้งเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา แต่แววตาของนางหาได้เป็นเช่นนี้ นางเป็นเพียงสตรีในเรือนหอที่ไร้เดียงสา ดวงตาที่นางมองมาที่เขาเป็นเพียงแววตาที่สตรีใช้มองบุรุษที่ตนรักเท่านั้น แตกต่างจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง
“เช่นนั้นท่านอ๋องปล่อยข้าน้อยก่อนได้หรือไม่ หากมีใครมาเห็นเกรงว่าจะดูไม่เหมาะนะเพคะ” นางเอ่ยเสียงหวาน
เหยาหวังเหว่ยค่อย ๆ คลายแขนออกจากสตรีบอบบางอย่างช้า ๆ ราวกับว่าเขายังอยากมีนางไว้ในอ้อมแขนให้นานกว่านี้อีกสักหน่อย แต่ในเมื่อเขารับปากนางแล้วย่อมต้องทำให้นางเห็น จึงไม่คิดฝืนใจนาง
“ท่านอ๋องเพคะ พวกเรากลับเข้าไปในงานเลี้ยงดีหรือไม่เพคะ” หญิงสาวส่งยิ้มหวาน
“ใจข้าอยากอยู่กับเจ้าเช่นนี้อีกสักครู่ แต่ในเมื่อเจ้าต้องการ ข้าก็จะไม่ฝืน เพียงแต่ข้าขอกอดเจ้าอีกสักคราได้หรือไม่” เขาเอ่ยเสียงอ่อย ๆ ในประโยคท้ายราวกับกระด้างอายที่จะเอ่ย
ฟางหนิงหลินถึงกับวางตัวไม่ถูกใบหน้าของนางร้อนวูบวาบ ริมฝีปากบนล่างพะเยิบขึ้นลงกึ่งยิ้มกึ่งหุบไม่รู้จะเอ่ยอันใด สมองของนางมึนงงไปชั่วขณะเพราะไม่คิดว่าบุรุษแสนเย็นชาเช่นเขาจะเอ่ยคำเช่นนี้ออกมาได้
แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวเลือดในตัวของนางราวกับมารวมไว้บนใบหน้า เมื่อบุรุษตัวสูงกว่าคว้าตัวนางเข้าไปสวมกอด นางยืนนิ่งราววิญญาณออกจากร่าง กว่าจะรู้สึกตัวบุรุษตรงหน้าก็ผละตัวออกเสียแล้ว นางทำได้เพียงหลบตาต่ำทำอันใดไม่ถูก
ใจของเหยาหวังเหว่ยก็อยากจะกอดนางให้นานกว่านี้ เพียงแต่เขากลัวว่าจะอดใจไว้ไม่ไหวจนต้องผิดคำพูดกับนาง แต่ยามนี้เมื่อเขาได้เห็นใบหน้าของสตรีที่แดงปานลูกตำลึงก็อดไม่ไหวที่จะจุมพิตลงไปบนหน้าผากนางอย่างเอ็นดู
“ไปกันเถอะ หากยังอยู่ตรงนี้ข้าคงต้องผิดคำพูดแล้ว”
ฟางหนิงหลินที่ยืนอึ้งหลังจากถูกจุมพิตที่หน้าผาก รีบสาวเท้าออกจากศาลาไปในทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา
บุรุษตัวโตยืนยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นสตรีตัวน้อยสาวเท้าเดินออกไปอย่างเขินอาย เขามองแผ่นหลังเรือนร่างบอบบางที่ค่อย ๆ เดินห่างออกไป แต่มิได้คิดจะเดินตามนางไป เพราะกลัวว่าจะมีผู้ไม่หวังดีเอานางไปนินทาเสีย ๆ หาย ๆ ดังเช่นในอดีตอีก
“เพราะเรื่องวางยากำหนัดวันนี้ในชาติก่อนทำให้ข้าหมางเมินเจ้ามาตลอด ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าหาใช่ฝีมือเจ้าไม่ ข้าผิดเองที่มิเชื่อคำเจ้า จึงตกหลุมพรางที่ผู้อื่นขุดไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้ครอบครัวของเจ้าและตัวเจ้าต้องดับสูญ ครานี้ข้าจะเอาคืนพวกมันที่ทำให้เจ้าต้องแบกรับความอัปยศอดสูจนถูกตราหน้าว่าเป็นสตรีไร้ยางอาย” เขาพึมพำกับตนเองเบา ๆ
เหยาหวังเหว่ยเงยหน้ามองดวงจันทรากลมโตที่ลอยเด่นอยู่บนนภายามราตรี ทำให้เขานึกถึงลมหายใจสุดท้ายที่โรยรินของตนเองในอดีต เพราะถือดีอวดเก่งดื้อรั้นถือทิฐิจึงไม่ยอมให้อภัยนางเสียที ทั้งที่เขาเองก็มีใจให้นางแต่กลับไม่ยอมรับ กว่าจะรู้ความจริงทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว แม้แต่ใบหน้าของนางเขาเองก็มิอาจได้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนสิ้นใจ
ฟางหนิงหลินสาวเท้าเดินมุ่งหน้าไปยังที่จัดงานเลี้ยง เมื่อพ้นบริเวณสระบัวนางก็ลดความเร็วลงก่อนที่จะหันไปมองดูด้านหลัง เมื่อนางไม่เห็นเหยาหวังเหว่ยเดินตามมาจึงหยุดเดินพร้อมเอามือลูบที่หน้าอกของตนเองเบา ๆ เพื่อให้ผ่อนคลาย
“หนิงหลินนะหนิงหลิน เจ้าตั้งสติหน่อยอย่าได้หลงไปกับความรู้สึกชั่ววูบเช่นนี้ เจ้าลืมจุดจบของตนเองไปแล้วหรือไร ถึงชาตินี้เจ้าจะยังไม่ออกเรือน แต่ชาติก่อนเจ้าก็ผ่านมือชายมาแล้ว สัมผัสเพียงเท่านี้ไยต้องเขินอายจนตั้งสติไม่ได้เช่นนี้” นางเอ่ยตำหนิตนเองเสร็จแล้วจึงเดินต่อ
ในขณะที่เดินมาใกล้ถึงงานเลี้ยงนั้น นางก็คิดขึ้นมาได้ว่า ชาติก่อนนางเป็นชายาของเหยาหวังเหว่ยได้เพราะนางวางยากำหนัดเขา แต่จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เกิดอันใดขึ้นกับนางถึงสามารถบีบเค้นนางให้ลงมือทำเช่นนั้นได้ เพราะนางรู้อยู่แก่ใจดีว่าเหยาหวังเหว่ยเป็นคนเช่นไร หากนางใช้วิธีต่ำช้าเช่นนั้นกับเขาผลที่ได้นั้นไม่จำเป็นต้องคิดให้เปลืองสมอง เพราะเพียงแค่นางหลับตาลงก็สามารถจินตนาการถึงผลที่จะตามมาได้อย่างชัดเจน
ตลอดทางเดินกลับไปในงานเลี้ยงฟางหนิงหลินพยายามนึกถึงเรื่องในอดีตมาตลอดทาง เพราะนางอยากรู้เหตุผลที่ทำให้นางต้องทำเช่นนั้น นางครุ่นคิดจนคิ้วทั้งสองแทบจะขมวดกันเป็นปม แต่ไม่ว่าจะนึกเท่าใดนางก็นึกไม่ออก จนในที่สุดนางก็เดินมาถึงบริเวณงานจัดเลี้ยง
เหยาลี่เซียนเพียงเห็นสหายเดินเข้ามาในงานก็รีบสาวเท้าถี่เข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง เพราะวันนี้ท่าทีของฟางหนิงหลินดูแปลก ๆ ไป เมื่อเดินไปถึงตัวฟางหนิงหลินนางก็รีบเดินเข้าไปเอามือคล้องแขนของฟางหนิงหลินทันที
“หนิงหลิน รู้สึกดีขึ้นแล้วหรือไม่” เหยาลี่เซียนเอ่ยเสร็จก็ส่งยิ้มให้สหาย
“ข้าดีขึ้นแล้ว ทำให้องค์หญิงต้องเป็นห่วงแล้ว” ฟางหนิงหลินยิ้มตอบ
ทั้งคู่พากันไปนั่งจิบสุราฟังดนตรีอีกทั้งดูการแสดงที่ทางวังได้จัดเตรียมเอาไว้อย่างหน้าชื่นตาบาน คงมีเพียงเจียงเจียวซินที่สีหน้าไม่สู้ดีนัก ถึงใบหน้าของนางจะยิ้มแย้มอยู่ก็ตาม
ถึงอย่างนั้นฟางหนิงหลินที่หันไปเห็นก็หาได้สนใจ และไม่คิดที่จะเอ่ยถามว่าใครทำให้นางไม่พอใจถึงแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์เช่นนี้ หากเป็นเมื่อก่อนฟางหนิงหลินคงเอ่ยปากถามเจียงเจียวซินด้วยความเป็นห่วงเป็นใยไปแล้ว แต่ตอนนี้ฟางหนิงหลินรู้แล้วว่านางเป็นคนเช่นไร จึงทำเป็นไม่เห็นและสนทนากับองค์หญิงเหยาลี่เซียนต่อ
“ไม่มีทาง หลินเอ๋อร์ไม่มีทางใช้วิธีการชั้นต่ำเช่นนี้ กระหม่อมเอาหัวเป็นประกันพ่ะย่ะค่ะ” ตู้ไท่ฝูเอ่ยเสียงแข็ง“ท่านอาจารย์ข้ารู้อยู่แล้วว่านางไม่มีทางทำเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นข้าคงลงโทษนางไปแล้วที่กล้าวางยาโอรสของข้า”“แล้วฝ่าบาทได้ตรัสถามนางแล้วหรือไม่” ตู้ไท่ฝูขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยยังไม่ทันที่เฉิงเฟิงฮ่องเต้จะเอ่ยตอบ ไป๋กงกงเดินมาพร้อมกับสตรีที่ทั้งสองคนกำลังเอ่ยถึง นางยอบกายคารวะเฉิงเฟิงฮ่องเต้และตู้ไท่ฝูด้วยท่าทางโซเซไม่มั่นคงใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นเต็มใบหน้า นางก้มหน้าหลุบตาลงเพื่อหลบสายตาบุรุษทั้งสองที่มองมายังนาง“คุกเข่า” ตู้ไท่ฝูเอ่ยเสียงดังฟางหนิงหลินคุกเข่าลงทันทีอย่างรู้ผิด เพราะเรื่องเช่นนี้แม้ไม่ถูกเล่าลือออกไป เพราะเฉิงเฟิงฮ่องเต้ส่งสั่งห้ามเอาไว้แต่เพียงมีผู้คนรู้เห็นก็ทำให้ท่านตาของนางและตระกูลฟางต้องอับอายที่มีลูกหลานไร้ยางอายเช่นนาง“เจ้าตอบข้ามาตามความจริง เจ้าได้วางยาชินอ๋องหรือไม่” บุรุษผมสองสีเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นฉะฉาน&ld
แน่นอนว่ายามนี้งานเลี้ยงที่จัดขึ้นนั้นได้เลิกราไปแล้ว รถม้าของแขกที่เชิญมาล้วนทยอยออกไปจนลานหน้าวังเริ่มโล่ง เหลือเพียงรถม้าของตู้ไท่ฝู ฟางจี้ต๋า และฟางรั่วซานเท่านั้นที่ยังคงจอดนิ่งสนิทอยู่ด้านหน้าวัง เพียงเพราะสตรีร่วมสายเลือดยังไม่ออกมาจากวังฟางรั่วซานเดินวนไปวนมาอยู่หน้ารถม้าของตนอย่างร้อนรน ด้วยความเป็นห่วงบุตรสาว หลังจากที่นางกำนัลขององค์หญิงเหยาลี่เซียนมาแจ้งว่าฟางหนิงหลินไม่ได้อยู่ที่ตำหนักขององค์หญิง ถึงองค์หญิงเหยาลี่เซียนจะฝากนางกำนัลมาบอกว่าจะตามหาบุตรสาวของตนให้ แต่เขาก็ยังคงร้อนใจไม่คลายฟางจี้ต๋าเสนาบดีกรมคลังท่านลุงของฟางหนิงหลินพี่ชายของฟางรั่วซานที่ยืนอยู่หน้ารถม้าของเขา ก็รู้สึกเป็นห่วงหลานสาวคนเดียวของเขาเช่นกัน แต่อาจจะไม่เท่ากับฮูหยินของเขาที่ยืนจับมือกับน้องสะใภ้ชะเง้อหน้ารอฟางหนิงหลินอยู่ข้างประตูวังถึงฟางรั่วซานน้องชายของเขาจะแยกจวนออกไป แต่เพราะฮูหยินของเขาอยากมีบุตรสาวแต่ทว่าที่จวนของฟางจี้ต๋านั้นกลับมีแต่บุรุษมาเกิด ฮูหยินของเขาจึงเทียวไปหาหลานสาวคนนี้ที่จวนอยู่บ่อยครั้ง จนเกิดความรักใคร่ดั่งเช่นบุตรสาวแท้ ๆ ของตนก็ไม่ปาน และทุกครั้
งานเลี้ยงค่ำคืนนี้เมื่อชาติก่อนหลังจากที่ฟางหนิงหลินได้ไปแสดงความยินดีกับเหล่าองค์ชายทั้งสามและเสิ่นหลิวหยางที่ได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว นางก็มานั่งดื่มกินกับเหล่าสตรีคนอื่น ๆ ตรงที่เหยาลี่เซียนได้จัดเตรียมไว้ให้แน่นอนว่าที่ตรงนี้ที่องค์หญิงเหยาลี่เซียนจัดไว้นั้น ฟางหนิงหลินย่อมมองเห็นเสด็จพี่ของนางเหยาหวังเหว่ยได้อย่างชัดเจน เพราะสหายคนสนิทมีหรือจะไม่รู้ใจกัน เหยาลี่เซียนรู้ดีว่าหากมีเสด็จพี่รองอยู่ขอเพียงมีที่นั่งให้สหายของนางได้นั่งดูให้เห็นใบหน้าของเสด็จพี่ก็เพียงพอแล้วสำหรับฟางหนิงหลินขณะที่ฟางหนิงหลินนั่งมองเหยาหวังเหว่ยอยู่นั้น นางก็เห็นว่าเหยาหวังเหว่ยลุกเดินออกไปจากงานด้วยท่าทางไม่ดีนัก นางจึงเดินตามไปด้วยความเป็นห่วง เมื่อนางเห็นว่าเขาเดินเซไปมาคล้ายทรงตัวไม่อยู่จึงรีบเข้าไปพยุงตัวของเขาเอาไว้ไม่ให้ล้มลง ถึงคราแรกเขาจะปฏิเสธไม่ยอมให้ฟางหนิงหลินแตะต้องตัว แต่เพียงผ่านไปไม่นานกลับกลายเป็นเขาที่อุ้มฟางหนิงหลิน และพาเข้าไปในห้องรับรองแขกที่หลัวฮองเฮาทรงสั่งให้นางกำนัลจัดเตรียมไว้ขณะนั้นเจียงเจียวซินที่ดักรอเหยาหวังเหว่ยอยู่ก็ต้องรีบห
“ได้ เจ้าว่าเช่นไร ข้าล้วนเห็นด้วย” เหยาหวังเหว่ยคลี่ยิ้มอย่างคลายกังวลเขารู้ดีว่านางมีแผนการบางอย่างซ่อนเร้นเอาไว้ แต่เขาก็ยังยินดียอมตกลงไปในบ่อที่นางขุด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นแววตาเจ้าเล่ห์ปานสุนัขจิ้งจอกของนาง ถึงอดีตนางพยายามจะใช้มารยาของสตรีในเรือนหอหลายครั้งเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา แต่แววตาของนางหาได้เป็นเช่นนี้ นางเป็นเพียงสตรีในเรือนหอที่ไร้เดียงสา ดวงตาที่นางมองมาที่เขาเป็นเพียงแววตาที่สตรีใช้มองบุรุษที่ตนรักเท่านั้น แตกต่างจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง“เช่นนั้นท่านอ๋องปล่อยข้าน้อยก่อนได้หรือไม่ หากมีใครมาเห็นเกรงว่าจะดูไม่เหมาะนะเพคะ” นางเอ่ยเสียงหวานเหยาหวังเหว่ยค่อย ๆ คลายแขนออกจากสตรีบอบบางอย่างช้า ๆ ราวกับว่าเขายังอยากมีนางไว้ในอ้อมแขนให้นานกว่านี้อีกสักหน่อย แต่ในเมื่อเขารับปากนางแล้วย่อมต้องทำให้นางเห็น จึงไม่คิดฝืนใจนาง“ท่านอ๋องเพคะ พวกเรากลับเข้าไปในงานเลี้ยงดีหรือไม่เพคะ” หญิงสาวส่งยิ้มหวาน“ใจข้าอยากอยู่กับเจ้าเช่นนี้อีกสักครู่ แต่ในเมื่อเจ้าต้องการ ข้าก็จะไม่ฝืน เพียงแต่ข้าขอกอดเจ้าอีกสักคราได้หรือไม่” เขาเอ่ยเสียงอ่อย ๆ ในประโยคท้ายราวกับกระด้างอายที่จะเ
เหยาหวังเหว่ยอยากหยั่งเชิงนางเสียหน่อยว่าสาเหตุที่นางเปลี่ยนไปนั้นเป็นดั่งที่เขาคิดไว้หรือไม่ เพราะหากว่าเขาพูดออกไป หากไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ นางคงคิดว่าเขาเสียสติพูดจาเลอะเลือนก็เป็นได้“เจ้าคงวางแผนจะตกน้ำเพื่อให้ข้าช่วยเจ้าสินะ ดีใจหรือไม่ที่เจ้าทำสำเร็จแล้ว” เขาเอียงหน้าและเอ่ยกระซิบที่ข้างใบหูของนาง น้ำเสียงแหบพร่าเบา ๆ ที่เขาเอ่ยราวกับจะยั่วให้นางอายใบหน้าของนางแดงขึ้นมาทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงลมร้อนอุ่นที่กระทบใบหู สติที่เตลิดไปไกลกลับมาทันที นางพยายามดันตัวเขาให้ถอยห่างแต่กลับไม่เป็นผล เขากลับยิ่งกระชับเอวนางให้แนบชิดร่างกายของเขายิ่งกว่าเก่าเจียงเจียวซินที่เดินกลับมายังงานเลี้ยงบังเอิญได้ยินเสียงกรีดร้องของสตรี จึงได้เดินมาตามเสียงด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เมื่อนางเดินมาถึงสระบัวก็เห็นบุรุษและสตรีคู่หนึ่งยืนกอดกันแน่น นางถลึงตาเหลือกโตดวงตาของนางราวกับมีเปลวเพลิงโหมลุกไหม้ นางกำมือแน่นจนเล็บจิกลงไปในเนื้อ เจียงเจียวซินเม้มริมฝีปากแน่นเพื่ออดทนไม่กรีดร้องออกมา เพราะหากมีผู้ใดมาเห็นและนำเรื่องนี้ไปเล่าลือกันจนถึงหูฮองเฮาหรือไทเฮา ฟางหนิงหลินย่อมต้องได้เป็นชายาชินอ๋องดั่ง
“เจ้ามาทำอันใดที่นี่” เหยาหวังเหว่ยเอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบ“หม่อมฉันเพียงรู้สึกว่าดื่มสุรามากไปจึงมาพักที่ตำหนักสักครู่เพื่อให้สร่างเมาเพคะ” เจียงเจียวซินเอ่ยตอบเสียงสั่นเล็กน้อย“อื้ม” เหยาหวังเหว่ยเอ่ยเสียงสั้น ๆในลำคอ ก่อนที่จะหันไปเปิดประตูเจียงเจียวซินเห็นสีหน้าของเหยาหวังเหว่ยที่ขึ้นสีแดงระเรื่อและมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย ก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่นางวางแผนมานั้นใกล้สำเร็จลุล่วงแล้ว แต่ตอนนี้ยากำหนัดที่เหยาหวังเหว่ยได้กินเข้าไปนั้นคงยังออกฤทธิ์ไม่มากพอ สิ่งที่นางต้องทำคือยื้อเวลาไว้ เพื่อให้เขาทนพิษยากำหนัดนี้ไม่ไหว“ชินอ๋องเพคะ พระองค์เป็นอันใดอย่างนั้นหรือเพคะ หม่อมฉันเห็นสีหน้าของพระองค์ไม่สู้ดีนัก มีเรื่องอันใดที่หม่อมฉันช่วยได้หรือไม่” นางเอ่ยเสียงหวาน“ไม่จำเป็น เราเพียงดื่มสุรามากเกินไปเท่านั้น” เหยาหวังเหว่ยเอ่ยพร้อมก้าวเท้าเดินเข้าประตูไป“ชินอ๋องเดี๋ยวก่อนเพคะ หม่อมฉันเห็นว่าพระพักตร์ของพระองค์มีเหงื่อไหลซึมออกมา และแถวนี้ไม่มีนางกำนัลขันทีอยู่เลย หม่อมฉันไม่วางใจให้พระองค์อยู่ลำพัง เช่นนั้นให้หม่อมฉันอยู่เป็นเพื่อนพระองค์สักครู่ดีหรือไม่เพคะ” เจียงเจียวซินเอ่ยเสียงหวาน