“เจ้าคิดหรือว่าหากไม่มีคนตระกูลหลัวแล้ว เจ้าจะอยู่ในตำแหน่งองค์รัชทายาทได้อย่างมั่นคง” หลัวฮองเฮาโต้กลับเสียงดุดัน
“เสด็จแม่มิต้องเป็นห่วง ต่อให้ไม่มีตระกูลหลัวสนับสนุนลูกก็มิได้กลัวจะเสียตำแหน่งนี้ไป เพราะลูกมีคนตระกูลเหยาสนับสนุนอยู่” เขาเอ่ยพร้อมยกยิ้มให้มารดา
ปกติคนเป็นแม่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของลูกมักจะรู้สึกดีใจ แต่หลัวฮองเฮาตอนนี้เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของบุตรชายกลับรู้สึกเดือดดาลมากขึ้นกว่าเก่า
“เช่นนั้นข้าจะคอยดูว่าตระกูลเหยาที่สนับสนุนเจ้า จะสนับสนุนเจ้าจริงหรือไม่”
“หากไม่มีอันใดแล้วเช่นนั้นลูกขอตัวก่อน” เหยาหวังเหว่ยประสานมือคารวะมารดา ก่อนที่จะหันหลังก้าวเท้าเดิน แต่ยังไม่ทันพ้นจากประตูห้องโถง เสียงของมารดาก็ดังลอยตามมา
“เจ้าอย่าลืมว่าข้ามิได้มีเจ้าเป็นบุตรเพียงคนเดียว”
เหยาซีฮันหยุดฟังมารดาแต่มิได้ตอบโต้อันใด หากเป็นแต่ก่อนมารดาพูดเช่นนี้ เขาคงหันกลับไปฟังคำขอของมารดา เพราะไม่อยากให้มารดาไปบังคับน้องสาว แต่ตอนนี้เขารู้ทันมารดาแล้วจึงได้เดินจากไป
หลัวฮองเฮารู้สึกโกรธบุ
“เจ้าคิดหรือว่าหากไม่มีคนตระกูลหลัวแล้ว เจ้าจะอยู่ในตำแหน่งองค์รัชทายาทได้อย่างมั่นคง” หลัวฮองเฮาโต้กลับเสียงดุดัน“เสด็จแม่มิต้องเป็นห่วง ต่อให้ไม่มีตระกูลหลัวสนับสนุนลูกก็มิได้กลัวจะเสียตำแหน่งนี้ไป เพราะลูกมีคนตระกูลเหยาสนับสนุนอยู่” เขาเอ่ยพร้อมยกยิ้มให้มารดาปกติคนเป็นแม่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของลูกมักจะรู้สึกดีใจ แต่หลัวฮองเฮาตอนนี้เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของบุตรชายกลับรู้สึกเดือดดาลมากขึ้นกว่าเก่า“เช่นนั้นข้าจะคอยดูว่าตระกูลเหยาที่สนับสนุนเจ้า จะสนับสนุนเจ้าจริงหรือไม่”“หากไม่มีอันใดแล้วเช่นนั้นลูกขอตัวก่อน” เหยาหวังเหว่ยประสานมือคารวะมารดา ก่อนที่จะหันหลังก้าวเท้าเดิน แต่ยังไม่ทันพ้นจากประตูห้องโถง เสียงของมารดาก็ดังลอยตามมา“เจ้าอย่าลืมว่าข้ามิได้มีเจ้าเป็นบุตรเพียงคนเดียว”เหยาซีฮันหยุดฟังมารดาแต่มิได้ตอบโต้อันใด หากเป็นแต่ก่อนมารดาพูดเช่นนี้ เขาคงหันกลับไปฟังคำขอของมารดา เพราะไม่อยากให้มารดาไปบังคับน้องสาว แต่ตอนนี้เขารู้ทันมารดาแล้วจึงได้เดินจากไปหลัวฮองเฮารู้สึกโกรธบุ
“เสด็จแม่กลัวอันใด ในเมื่อหากญาติผู้น้องมิได้กระทำผิดชินอ๋องย่อมต้องหาคนร้ายมาลงโทษอย่างแน่นอน” เหยาซีฮันเอ่ยเสียงราบเรียบ“แล้วหากเขามีความผิดเจ้าก็จะปล่อยให้เขาเจ็บตัวโดยที่ไม่คิดจะหาคนทำ และยังต้องให้ญาติผู้น้องของเจ้าถูกลงโทษซ้ำอีกอย่างนั้นหรือ” เสียงของหลัวฮองเฮาแสดงให้รู้ว่ากำลังเก็บซ่อนอารมณ์โมโหเอาไว้ไม่อยู่“ใครทำผิดก็ย่อมต้องว่าไปตามผิดลูกมิอาจช่วยได้” เจ้าของตำหนักบูรพาตอบกลับอย่างไม่สนใจอารมณ์ที่กำลังจะปะทุขึ้นของมารดา“เจ้าช่วยไม่ได้หรือไม่อยากช่วยกันแน่” หลัวฮองเฮาตวาดเสียงดัง“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ลูกไม่อยากช่วย หากเสด็จแม่เรียกลูกมาเพราะเรื่องนี้เรื่องเดียว ในเมื่อเสด็จแม่ได้คำตอบแล้ว เช่นนั้นลูกของตัวกลับก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ “องค์รัชทายาทประสานมือโค้งคำนับก่อนที่จะหมุนตัวเพื่อเดินออกไป แต่กลับถูกมารดาสั่งห้ามเอาไว้ก่อน“หยุดเดี๋ยวนี้ ไยเจ้าจึงได้ใจดำเช่นนี้พวกเขาเป็นญาติของเจ้า ไยเจ้าจึงมิคิดสนใจ หรือเจ้าจะให้พวกเขาตายอย่างเช่นท่านป้าสะใภ้ของเจ้า เจ้าจึงจะพอใจใช่หรือไม่&r
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นว่าคดีนี้ให้ชินอ๋อง เป็นผู้รับผิดชอบจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะเพราะการที่ไม่มีฎีการ้องเรียนส่งมายังเมืองหลวงก็คิดได้สองอย่าง อย่างแรกคือไม่เคยมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นที่อำเภอหนาน ส่วนจดหมายเลือดที่คนร้ายทำขึ้นเพราะอยากใส่ร้ายกู้เทียนเฮ่า ส่วนข้อสองตระกูลกู้ใช้อำนาจพระญาติข่มขู่ขุนนางจริงตามที่จดหมายเลือดเขียนเอาไว้ นายอำเภอหนานจึงมิกล้าร้องเรียน หากเป็นอย่างแรกก็แล้วไปแต่หากเป็นอย่างหลังกระหม่อมคิดว่าขุนนางทั่วไปคงไม่น่าจะทำคดีนี้ให้กระจ่างชัดเจนได้ดีนักพ่ะย่ะค่ะ” ราชครูตู้เสนอขึ้น เมื่อเห็นว่าหลัวเผิงก่วงส่งสายตาให้คนของตนออกหน้าอาสาทำคดี“แล้วพวกท่านมีความคิดเห็นเช่นไร” เฉิงเฟิงฮ่องเต้เอ่ยเสียงราบเรียบ พร้อมกวาดสายตามองไปโดยรอบท้องพระโรง เพื่อดูปฏิกิริยาของเหล่าขุนนางถึงในใจเจ้าของวังจะคิดเช่นเดียวกับอาจารย์ แต่ก็ต้องถามความคิดเห็นของเหล่าขุนนาง เพื่อไม่ให้เขาดูลำเอียงมากจนเกินไป ไม่เช่นนั้นเหล่าขุนนางอาจครหาเขาได้ว่า เขาเข้าข้างราชครูตู้ไปเสียทุกเรื่อง“กระหม่อมเห็นด้วยกับราชครูตู้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เหล่าขุนนางที่สนับสนุนเหยาหวังเหว่ยรีบเอ่ยตอ
ณ.วังหลวงเหยาซีฮันรู้ดีว่าหากเขาเดินเข้าไปรอประชุมเช้าในตอนนี้คงต้องโดยท่านตาเรียกไปคุยเพื่อหาทางช่วยญาติผู้น้องอย่างแน่นอน เขาจึงสั่งให้องครักษ์ที่อยู่ในตำหนักบูรพาไปคอยดูน้องชายทั้งสอง หากทั้งสองคนมาแล้วให้รีบมารายงานเขาในทันทีในระหว่างนั้นเหยาซีฮันก็นั่งกินบะหมี่อายุยืนที่สวีจื้อซานอุตส่าห์ตื่นแต่เช้าไปซื้อที่ภัตตาคารเหินห่าวชือมาให้เขา หลังจากตงฮองเฮาเสียชีวิตไปก็มีแต่สวีจื้อซานที่เป็นคนนำบะหมี่อายุยืนมาให้เขาในวันเกิด แต่ไม่ใช่ว่าน้องทั้งสามคนจะไม่สนใจ เพียงแต่เพื่อความเท่าเทียมกัน เขาจึงไม่ให้น้องคนใดนำบะหมี่อายุยืนมาให้เขา เพราะกลัวว่ามารดาของเขาจะเอาบะหมี่อายุยืนที่เหยาหวังเหว่ยและเหยาซิงอีมอบให้มาใช้ในการใส่ร้ายว่าพวกเขาวางยาพิษสวีจื้อซานนั่งมองเหยาซีฮันกินบะหมี่อายุยืน ดวงตาของเขารู้สึกร้อนขึ้นมาเมื่อหวนคิดว่าชาติก่อนนั้น เขามิได้อยู่เคียงข้างคอยปลอบประโลม จึงทำให้สหายของเขาผู้นี้คิดสั้นฆ่าตัวตาย เขาหวังว่าชาตินี้จะเปลี่ยนไป ปีหน้าเขาจะได้นำบะหมี่อายุยืนมาให้สหายผู้นี้อีกเมื่อเหยาซีฮันได้ยินองครักษ์มารายงานการมาของน้องชายต่า
หลังจากนั่งไตร่ตรองถึงผลได้ผลเสียแล้วในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ เหยาหวังเหว่ยจึงจูบหน้าผากของสตรีที่อยู่ในอ้อมแขนแทนคำบอกลา เพราะเขาต้องออกจากจวนหลังนี้ก่อนที่ฟ้าจะสาง มิเช่นนั้นคงไม่มีมุมมืดใดในจวนให้เขาหลบซ่อนเพื่อแอบออกไปได้เป็นแน่ในระหว่างทางกลับตำหนักนอกวัง เหยาหวังเหว่ยบังเอิญเห็นรถม้าของสวีจื้อซานวิ่งไปคนละทางกับจวนตระกูลสวีจึงนึกแปลกใจ ด้วยความสงสัยเขาจึงได้แอบตามไปอย่างลับ ๆ แน่นอนว่าในยามนี้มิใช่ใครจะมาเพ่นพ่านไปมาได้ตามใจ แต่เมื่อทหารเวรยามเห็นรถม้าของหัวหน้าองครักษ์ตำหนักบูรพาย่อมต้องรู้สึกเกร็งกลัวอยู่บ้าง จึงได้ปล่อยผ่านไปแต่โดยดีเหยาหวังเหว่ยตามไปถึงจวนตระกูลเจียงจึงรู้ว่าคนที่อยู่ในรถม้านั้นมิใช่สหายร่วมเรียนของเขาแต่เป็นคุณหนูตระกูลเจียง ถึงยามที่นางเดินออกมาจากรถม้าจะใช้เสื้อคลุมตัวใหญ่ที่ลายดูคุ้นตาคลุมศีรษะเอาไว้ แต่กำไลหยกที่ข้อมือของนางก็ทำให้เขาจำได้ทันทีบุรุษชุดดำที่ซ่อนเร้นกายอยู่นั้นถึงกับขมวดคิ้วสงสัยว่าเหตุใดเจียงเจียวซินถึงได้นั่งรถม้าของสวีจื้อซานกลับมา อีกทั้งยังเอาผ้าคลุมขององครักษ์สวีคลุมอำพรางตัวมาอีกด้วย เพราะที่เขารู้มาในบรรด
“เช่นนั้นก็ดี แค่ครั้งเดียวก็หวังว่าจะเป็นบทเรียนให้เจ้าได้ เพียงแต่ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้หน่อย หากวันหน้าเจ้าคิดแค้นอยากเอาคืนมาคิดบัญชีที่ข้า แต่อย่าได้คิดจะไปลงกับหลินเอ๋อร์ เพราะอย่างไรเสียหากเจ้าไม่คิดใช้แผนการชั่วช้าเช่นวันนี้ เจ้าก็คงไม่ลงเอ่ยเช่นนี้อย่างแน่นอน” สวีจื้อซานกล่าวเสียงแข็ง สีหน้าจริงจังถึงส่วนล่างของเขาจะยังต้องการเชยชมกลีบบุปผางาม แต่เขาก็มิอาจเสียหน้ารั้งสตรีตัวน้อยเอาไว้ จึงต้องกล่าวกับนางให้ชัดเจนก่อนที่จะแยกย้ายกันไป“อย่าเป็นห่วงเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านหัวหน้าองครักษ์กุมความลับของข้าน้อยเอาไว้ ไหนเลยข้าน้อยจะกล้าลองดี” หญิงสาวซ่อนแววตาโศกไว้ใต้ใบหน้าเปื้อนยิ้มหากเป็นแต่ก่อนนางคงโมโหเลือดขึ้นหน้าที่ได้ยินคนเอ่ยปกป้องฟางหนิงหลิน และรู้สึกอิจฉานางที่ไม่ว่าผู้ใดก็มักชอบสหายของนางผู้นี้มากกว่านางเสมอ แต่ตอนนี้นางกลับไม่รู้สึกอิจฉาแต่กลับเสียใจที่นางมัวแต่อยากเอาชนะฟางหนิงหลินจนทำลายชีวิตตนเอง หากนางคบฟางหนิงหลินอย่างจริงใจ ป่านี้นางคงมองคุณชายตระกูลใหญ่ที่มาตามจีบและเลือกสักคนมาเป็นคู่ชีวิตไปนานแล้วเมื่อได้ยินคำ