“ข้าตั้งใจจะสร้างถนนสายหนึ่ง ตัดผ่านป่าซิงโต้ว”กู้หว่านเยว่กล่าวถึงความมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่ของนาง “เช่นนี้แล้ว ต้าฉีกับที่ราบแห่งความโกลาหลก็จะสามารถไปมาหาสู่แลกเปลี่ยนกันได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วขัดขวางความคิดของนาง“ป่าซิงโต้วมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล เกรงว่าสามปีห้าปีก็ยังไม่สามารถสร้างถนนสายหนึ่งออกมาได้”“สามปีห้าปีไม่ได้ เช่นนั้นก็ใช้เวลาแปดปีสิบปีท หากยังไม่ได้อีก ก็สร้างมันยี่สิบปีไปเลย”กู้หว่านเยว่ไม่ใช่คนที่พอเจอความยากลำบากแล้วจะถอดใจ“ผู้เฒ่าโง่ย้ายภูเขา จิงเว่ยถมทะเล หว่านเยว่บุกเบิกเส้นทาง ก็คงจะเป็นเรื่องเล่าที่ดีงามเช่นกัน”ซูจิ่งสิงหัวเราะเบา ๆ พลางใช้นิ้วจิ้มจมูกของนางอย่างเอ็นดูทำเอากู้หว่านเยว่หน้าแดงระเรื่อ“หว่านเยว่บุกเบิกเส้นทางอะไรกัน ท่านพี่ ท่านก็เอาแต่ล้อข้า!”ทั้งสองคนพูดคุยหัวเราะกันตลอดทางที่กลับตำหนักบรรทมวันรุ่งขึ้น กู้หว่านเยว่นำเรื่องที่จะบุกเบิกเส้นทางไปบอกจงหลี่เรื่องนี้ได้ปรึกษากับจงหลี่มานานแล้ว แม้ว่าตอนนี้จงหลี่จะยังคงดำรงตำแหน่งหลี่อ๋องอยู่ แต่อำนาจทางการเมืองส่วนใหญ่ก็ได้ถูกส่งมอบให้กู้หว่านเยว่แล้ว“น้องหญิง หากเ
เป็นจังหวะพอดีกับที่จงเอ้ากำลังสืบสวนอยู่ว่าเหตุใดท่านอาถึงได้กลับมา กู้หว่านเยว่จึงรีบนำเรื่องที่จงเถียนเล่าไปบอกเขาทันที“เสด็จพ่อ ลูกคิดว่าจงเถียนไม่น่าจะโกหกนะเพคะ”กู้หว่านเยว่กล่าวการวิเคราะห์ของตนเองออกไป ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเสด็จพ่อก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก“ยังดีที่เขาเป็นแค่คนขี้ขลาดกลัวตาย ยังไม่ถึงกับเลวร้ายจนสิ้นสติ”มองออกได้ว่า จงเอ้าเองก็ไม่ได้อยากให้เรื่องราวต้องดำเนินไปจนถึงขั้นฆ่าล้างบางเช่นกันหากหากฉงอ๋องกลับมาพร้อมกับแผนการร้ายใด ๆ ก็คงยากที่จะรอดพ้นจากความตาย แต่ตอนนี้ เขาเพียงแค่หนีเอาชีวิตรอดกลับมาจริง ๆ บางทีอาจจะพอไว้ชีวิตเขาสักครั้งได้หลังจากที่จงเอ้าถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นมองกู้หว่านเยว่พลางยิ้ม “เยว่เอ๋อร์ เจ้ารู้สึกว่าพ่ออ่อนแอเกินไปหรือไม่?”เขาจูงมือกู้หว่านเยว่ไปนั่งลงข้าง ๆ “ตอนนั้น ตอนที่แม่ของเจ้าเพิ่งคลอดเจ้าออกมา พี่ใหญ่ของเจ้าอุ้มเจ้าไปขอให้พวกเขาช่วยรับเลี้ยง แต่เขากลับใจร้ายไม่สนใจไยดี”กู้หว่านเยว่มองริ้วรอยที่หางตาของจงเอ้าแล้วส่ายหน้า “ลูกไม่เคยรู้สึกว่าเสด็จพ่ออ่อนแอเลยแม้แต่น้อย”เรื่องในครอบครัวเป็นเรื่องที่ตัดสินได้
“เสด็จพ่อจนปัญญา ทำได้เพียงพาพวกเราหนี”“คนที่ไล่ล่าพวกเรา ก็คือคนในค่ายโจร”หลังจากได้ฟังเรื่องราวที่ซับซ้อนนี้ กู้หว่านเยว่ถึงกับตกตะลึงนางพิจารณาหญิงสาวผู้อ่อนแอตรงหน้าใหม่อีกครั้ง“เจ้าฆ่าหัวหน้าโจรหรือ?”นี่เป็นคนโหดเหี้ยมจริง ๆ แต่เมื่อกู้หว่านเยว่ลองคิดดูให้ดีแล้ว หากเปลี่ยนเป็นนางที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน นางก็คงจะฆ่าหัวหน้าโจรคนนั้นเช่นกัน ไม่มีทางยอมจำนนต่อโชคชะตาเด็ดขาดจงเถียนกัดฟัน “สิ่งที่ข้าอยากจะพูดก็ได้พูดไปหมดแล้ว นี่คือความจริงว่าเหตุใดพวกเราถึงได้หนีกลับมา”“ข้าไม่ขอที่จะได้กลับไปเป็นคนในราชวงศ์อีก ขอเพียงพวกท่านไว้ชีวิตข้ากับอี๋เหนียงของข้า ให้พวกเราออกจากวังไปเป็นสามัญชนธรรมดา ได้โปรดเถอะ!”อาจจะเป็นเพราะนางมองออกว่าอำนาจของกู้หว่านเยว่ในวังแห่งนี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่าจงหลี่เลยแม้แต่น้อยเยว่อ๋องผู้นี้มีอำนาจที่แท้จริง จงเถียนจึงเอาแต่โขกศีรษะขอความเมตตาจากกู้หว่านเยว่อย่างสุดชีวิต“เยว่อ๋อง ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด ข้ายินดีจะเป็นวัวเป็นม้าคอยรับใช้ท่านเพื่อตอบแทนท่าน”กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้ตอบรับในทันทีนางกำลังคิดว่า แม้คำพูดของจงเ
กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า “อย่ามาอ้างความเป็นญาติส่งเดช ตามหลักแล้ว เสด็จพ่อของเจ้าได้ทรยศต่อตงโจวไปแล้ว ไม่ใช่คนในราชวงศ์อีกต่อไป”จงเถียนกัดฟันอย่างไม่ยอมแพ้ “นั่นเป็นสิ่งที่เสด็จพ่อของข้าทำ ไม่เกี่ยวกับข้า ตอนนั้นข้าเองก็ไม่อยากจากไป แต่ในฐานะลูกสาวของเขา ข้าจะทำอะไรได้เล่า? พวกท่านจะมาโทษข้าไม่ได้นะ” “เท้าก็อยู่บนตัวของเจ้าเอง หากเจ้าไม่เต็มใจ ใครจะบังคับให้เจ้าจากไปได้?” กู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย ทิ่มแทงอย่างไม่เกรงใจนางทำเช่นนี้ก็เพื่อระบายความโกรธแทนพี่ใหญ่เมื่อนึกถึงตอนที่พี่ใหญ่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง นางก็รู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่าเลยเหตุใดตอนที่ศัตรูจากภายนอกบุกเข้ามา พวกเขาถึงได้ทิ้งให้พี่ใหญ่ต่อสู้อย่างยากลำบากเพียงลำพัง ส่วนตัวเองกลับไปหลบซ่อนกินหรูอยู่สบายพอตงโจวแข็งแกร่งขึ้น ก็กลับมาขอความคุ้มครอง ใต้หล้านี้จะมีเรื่องง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร“ข้า...” จงเถียนอ้ำอึ้ง พูดอะไรไม่ออกจริง ๆ กู้หว่านเยว่กล่าวต่อ “องครักษ์ได้กักบริเวณเจ้าไว้ที่ตำหนักข้างฝั่งตะวันตกแล้ว เจ้าออกมาได้อย่างไร?”ดวงตาของจงเถียนสั่นไหว ทำให้กู้หว่านเยว่ที่กำลังมองสีแ
“ผู้หญิงไม่ดีในสวน นางสวมชุดสีม่วง ทำท่าทางอ่อนแอพิงอยู่บนตัวท่านพ่อ ท่านแม่รีบไปเร็วเข้า”พิงอยู่บนตัวซูจิ่งสิง?เมื่อกู้หว่านเยว่ได้ยินเช่นนั้น มุมปากก็กระตุกทันที“จ้านจ้าน นำทางไป”จ้านจ้านรีบเดินนำหน้าไปทันที จงหลี่ก็อยากจะตามไปด้วย แต่ถูกกู้หว่านเยว่ห้ามไว้ ให้เขาอยู่ดูแลเฟิงเพียนอวิ๋นต่อสองแม่ลูกเดินมุ่งหน้าไปยังสวนด้วยท่าทางองอาจ ด้านนอกสวนยังมีเด็กน้อยคนหนึ่งนั่งยอง ๆ อยู่ นั่นคือจี้เยว่ที่ถูกจ้านจ้านทิ้งไว้ให้ดูต้นทาง“นี่!” เจ้าเด็กน้อยหลับไปแล้ว ทำเอาจ้านจ้านถึงกับพูดไม่ออก“เอ๊ะ? ท่านพี่องค์ชาย ท่านกลับมาแล้วหรือ”“ข้าไม่ได้ให้เจ้าดูต้นทางอยู่ที่นี่หรอกหรือ แล้วเหตุใดเจ้าถึงหลับไปได้เล่า?” จ้านจ้านพูดไม่ออก แต่ก็ไม่กล้าตำหนิจี้เยว่ จึงโบกมือเรียกนางกำนัลคนหนึ่งมาอุ้มนางกลับไปนอนจากนั้นจึงกลับมาจูงมือกู้หว่านเยว่ “ท่านแม่ ท่านพ่อกับผู้หญิงคนนั้นอยู่ในสวนนี้ พวกเราเข้าไปกันเถอะ”“ได้” กู้หว่านเยว่พยักหน้า บนใบหน้าไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรมากนักผลลัพธ์คือ ทันทีที่ทั้งสองเดินเข้าไป ก็ชนเข้ากับซูจิ่งสิงที่กำลังเดินออกมาพอดี พร้อมกับหญิงสาวในชุดสีม่วงที่ถูกนางกำนัลสองคน
นางรู้สึกวิงเวียนศีรษะขึ้นมาทันที ขาสองข้างอ่อนแรง จนเกือบจะล้มลงไปกองกับพื้นจงหลี่มือไวตาไว รีบเข้าไปประคองนางไว้“ปล่อยข้านะ!” เฟิงเพียนอวิ๋นหน้าแดงก่ำ เพราะท่าทางของนาง จึงเผยให้เห็นหัวไหล่ขาวเนียนส่วนเล็ก ๆ “อย่าขยับ เจ้าโดนยาสลบ ข้าจะพาเจ้ากลับวังไปพักผ่อนก่อน”เฟิงเพียนอวิ๋นส่ายศีรษะไปมา นางรู้สึกเวียนหัวมากจริง ๆ “ไม่ต้องมายุ่งกับข้า ข้า... ท่านจะทำอะไร ปล่อยข้านะ!”ยังไม่ทันที่นางจะพูดจบ จงหลี่ก็ก้มลงอุ้มนางขึ้นมา แล้วเดินออกไปข้างนอก“ถ้าไม่อยากตกลงมา ก็อย่าขยับ”“ท่าน...” เฟิงเพียนอวิ๋นกัดริมฝีปากแดงระเรื่อ ในที่สุดก็หมดแรงที่จะขัดขืน ทำได้เพียงปล่อยให้จงหลี่อุ้มไปกู้หว่านเยว่หัวเราะเบา ๆ แล้วก้าวเดินตามไปเมื่อทั้งสามคนออกมาจากลานบ้าน องครักษ์ลับที่ล้อมอยู่โดยรอบก็ปรากฏตัวขึ้น แล้วรีบมาอยู่เบื้องหน้าของจงหลี่อย่างรวดเร็ว“นายท่าน เมื่อครู่ชายที่อยู่ข้างในหลังจากที่ออกไปแล้ว เดินไปได้ไม่ไกลนัก ก็ไม่ทราบว่าเหตุใดถึงคิดสั้น เอาศีรษะโขกกับมุมกำแพงจนเสียชีวิตแล้วพ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์ลับเหล่านี้รู้เพียงว่านายท่านมีคำสั่งให้ปล่อยชายผู้นั้นไป แต่กลับไม่รู้ถึงความสัมพั