“ท่านยังไม่รู้กระมัง คุณหนูใหญ่ก็คือคู่หมั้นของแม่ทัพหวัง”“เมื่อวานคุณหนูใหญ่กลับมา กลับพูดว่าไม่ใช่หวายหนานอ๋องก็ไม่แต่ง!”กู้หว่านเยว่ตกตะลึง คิดไม่ถึงคู่หมั้นที่หวังปี้คะนึงถึง ถึงขั้นเป็นฟู่เยียนหราน?!ไม่รอให้นางใคร่ครวญอย่างละเอียด ทหารร้องไห้พลางพูด “แม่นางกู้ ท่านรีบช่วยท่านแม่ทัพดีหรือไม่ ข้าเห็นเขาใกล้หมดลมหายใจแล้ว”กู้หว่านเยว่ค้อมเอวลงช่วยดูอาการหวังปี้ยังดี แม้ลมหายใจรวยริน แต่ชีพจรยังอยู่คาดว่าแช่แข็งตลอดทั้งคืน คนก็ถูกแช่แข็งไปแล้วรีบบอกทหาร “แบกแม่ทัพของเจ้ากลับไป วางไว้ในห้อง เพิ่มถ่านสองเตาดีที่สุดหาสักคนหนึ่ง เปลื้องผ้า ใช้อุณหภูมิของร่างกายทำให้ตัวเขาอุ่น”“เปลื้องผ้า?”ทหารหน้าดำในทันใด ไม่หรอกกระมัง?“อืม เปลื้องผ้า” กู้หว่านเยว่พยักหน้า สายตาเห็นใจอยู่บ้าง “รอแม่ทัพของเจ้าฟื้นแล้ว เกลี้ยกล่อมเขาดีๆ ความรักเป็นเรื่องก้นสุนัข ร่างกายต่างหากคือเงินทุนของชีวิต”ฟู่เยียนหรานปีนขึ้นหามู่หรงอวี้แล้ว ต้องไม่มีวันปล่อยมือแน่นอนมิหนำซ้ำคนเฉกเช่นนาง ไม่แต่งกับหวังปี้ สำหรับหวังปี้แล้วนับเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ?“ขอบคุณแม่นางกู้ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะแบกท่านแ
“พี่ใหญ่ซุน ท่านดูเถอะว่าเสื้อบุนวมนี้อุ่นกว่าที่พวกท่านกำลังสวมไม่น้อยใช่หรือไม่?”นุ่นยังไม่เป็นที่นิยมในต้าฉี ทุกคนไม่รู้ว่านุ่นสามารถป้องกันความหนาวได้ ทั้งยังไม่มีเครื่องทอผ้า เพราะเหตุนี้บนตัวจึงสวมใส่เพียงผ้าป่านและผ้าฝ้ายภายในสามชั้นภายนอกสามชั้น ย่อมไม่สามารถทนต่อความหนาวเหน็บในวันหนาวเช่นนี้ได้ซุนอู่หยิบเสื้อบุนวมไป ทีแรกยังมองไม่เห็นความพิเศษอะไร ของสิ่งนี้บ้านสามสกุลซูล้วนสวมไว้บนร่างกาย ทุกคนจึงมิได้ใส่ใจจนกระทั่งวางลงบนขาครึ่งหนึ่ง พบว่าขาที่กำลังหนาวเหน็บถึงขั้นอุ่นขึ้นมา ไม่รู้สึกถึงลมหนาวที่ภายนอก นี่ถึงรู้ว่าของเล่นนี้ช่างอัศจรรย์โดยแท้“จริงเสียด้วย เสื้อบุนวมนี้ช่างเป็นของดีโดยแท้!” ดวงตาซุนอู่ทอประกาย “เสื้อบุนวมนี้เป็นนางหยางทำด้วยตนเองกระนั้นรึ?”กู้หว่านเยว่พูดยิ้มๆ “เจ้าค่ะ”“หากพวกเรานำเสื้อบุนวมนี้ไปขาย จะต้องได้ราคาดีเป็นแน่!แต่ปัญหาในตอนนี้คือพวกเราจะไปนำวัสดุเหล่านี้มาจากที่ใด?”ซุนอู่เป็นคนหยาบคนหนึ่ง ย่อมไม่มีความรู้ในเรื่องเสื้อผ้าเหล่านี้กู้หว่านเยว่คิดหาทางไว้ดีแล้ว พูดเนิบๆ “พี่ใหญ่ซุนยังจำอวิ๋นมู่ที่เดินทางพร้อมพวกเราก่อนหน้านี้ได้หรือไ
“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าก็อยากทำเสื้อฝ้ายเหมือนกัน ท่านให้ข้าเรียนทำเสื้อฝ้ายกับท่านด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ?”ซูหรานหร่านเดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงกู้หว่านเยว่ มือจับนกชายกระโปรงขึ้น เตรียมจะคุกเข่าลงแต่ถูกกู้หว่านเยว่หยุดเอาไว้ก่อน“ไม่ต้องทำถึงเช่นนี้หรอก”ซูหรานหร่านมีพ่อเช่นนี้ โง่เขลาทั้งยังหน้าบาง รักชอบเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง ก็น่าสงสารไม่น้อยหากนางกับตระกูลซูเก่าไม่ใช่น้ำบ่อเหมือนกัน นางอาจพิจารณาช่วยเหลือสักหน่อยได้ท้ายสุด กู้หว่านเยว่ก็ตัดสินใจให้โอกาสนาง นางจะคว้ามันไว้ได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับตัวนางเองแล้ว“เจ้าไปหานักการซุน รับอุปกรณ์และแม่แบบมาเถอะ”“จริงหรือ?” ซูหรานหร่านดีใจมาก “ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ ความเมตตาของท่านข้าจะเก็บไว้ในใจให้ดีเจ้าค่ะ”หลังจากเช็ดน้ำตาแล้ว นางก็หันหลังกลับ วิ่งไปที่ซุนอู่เพื่อรับของ“ซูหรานหร่าน เจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้นะ!”ซูหัวหยางที่อยู่ด้านข้างรู้สึกว่าอำนาจของผู้เป็นบิดาถูกท้าทาย ดึงเดินมาลากนางกลับไป แต่ก็ถูกซุนอู่เฆี่ยนตีเสียก่อน“ทำอะไรน่ะ? สร้างปัญหาต่อหน้าข้า? อยากอู้งานหรือไร?”กู้หว่านเยว่พูดเอาไว้แล้ว เสื้อผ้าทุกชิ้นเหล่านักการก็จะ
เงินหนึ่งตำลึงเพียงพอสำหรับครอบครัวธรรมดาให้อยู่ได้ครึ่งเดือนอย่าเห็นว่าซาลาเปาที่นักการมักขายให้กับนักโทษจะมีราคาสูง แต่เมื่อเทียบกับราคาข้างนอกแล้วก็ยังต่ำกว่าอยู่มากไม่คิดว่า เสื้อหนึ่งตัวจะสามารถขายได้หนึ่งตำลึง ดังนั้นจางเอ้อร์จึงพยักหน้ายอมรับทันทีแต่กู้หว่านเยว่ไม่ใช่คนหัวอ่อนว่ากันว่าของหายากมีค่า ในเมืองชิงหนิวแห่งนี้หรือแม้แต่เมืองใกล้เคียงอีกหลายแห่ง นางเป็นเจ้าเดียวที่ขายเสื้อผ้าฝ้าย หากขายให้กับตระกูลสูงศักดิ์ เสื้อชิ้นหนึ่งอาจมีราคาได้มากกว่ายี่สิบตำลึงเงินหนึ่งตำลึง น้อยเกินไปแล้ว“เจ้าของร้าน ขอเพิ่มราคาอีกหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ?”“ก็ได้ ห้าตำลึงเล่า? ข้าซื้อเสื้อเจ้าห้าตำลึงเงินต่อหนึ่งตัว”กู้หว่านเยว่ส่ายหัว“เสื้อผ้าฝ้ายนี้เป็นของใหม่ ในเมืองชิงหนิวไม่อาจหาซื้อได้ หากถูกผู้สูงศักดิ์ชอบเข้า ยี่สิบตำลึงเงินก็ยังขายออกได้หากเจ้าของร้านอยากได้จริงๆ ละก็ ให้ข้าจำนวนเท่านี้”พูดจบ นางก็ทำสัญลักษณ์เลยย “แปด” เมื่อเห็นว่าเขายังลังเลอยู่ นางก็ยกเท้าขึ้น เตรียมเดินจากไปโดยไม่ลังเลใจ“เดี๋ยวก่อน แม่นางน้อย เดี๋ยวก่อน!” เจ้าของร้านพยายามกดราคาไว้ แต่เมื่อเห็นกู
ระบบแนะนำอย่างภาคภูมิใจว่า “นี่คือความสามารถเฉพาะของระบบสภาพอากาศในมิติ สามารถทำให้พืชผลสุกงอมเร็วขึ้น อีกทั้งรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการก็ไม่ด้อยไปกว่าด้านนอก”กู้หว่านเยว่หยิบพวงองุ่นมาแล้วโยนเข้าปาก ดวงตาเป็นประกายทันที“จริงด้วย องุ่นพวกนี้ หวานกว่าองุ่นธรรมดาเสียอีก!”นางรีบเก็บผลผิงกั่ว[footnoteRef:1]และหลี่จือ[footnoteRef:2]แล้วมอบให้คนในครอบครัว รวมถึงเหล่านักการ [1: แอปเปิล] [2: ลูกแพร์] “พี่สะใภ้ใหญ่ ผลไม้พวกนี้หวานมากเลย ข้าไม่เคยได้ลิ้มรสผลไม้ที่หวานขนาดนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ!”ซู่จิ่นเอ๋อร์ได้กัดเพียงครั้งเดียวก็รู้สึกราวกับตกหลุมรักซุนอู่เองก็ยังรู้สึกว่า หลังจากกินผลไม้นี้ ตนเองมีกำลังวังชาเพิ่มมากขึ้น“แม่นางน้อยกู้ ผลไม้พวกนี้ท่านซื้อมาจากที่ไหนหรือ? ข้าจะให้พี่น้องไปซื้อมาเพิ่ม”กู้หว่านเยว่อธิบายแบบสบายๆ ว่า “ซื้อมาจากพ่อค้าหน้าโรงเตี๊ยมน่ะ เห็นบอกว่าเก็บมาจากริมบ่อน้ำพุร้อน มันจึงหวานอร่อยกว่าผลไม้ทั่วไปตอนที่ข้าไปถึงก็เหลืออยู่ไม่กี่จิน[footnoteRef:3]แล้ว พ่อค้าก็คงจะกลับไปแล้ว พี่ใหญ่ซุนอย่าออกไปให้เสียเวลาเลยเจ้าค่ะ” [3: ห้าร้อยกรัม] ซุนอู่ทำได้เพ
ในใจลึกๆ รู้ดีว่าฟู่เยียนหรานไม่รู้ความ ดังนั้นจึงไม่สนใจมากนัก เดินตรงไปดังฟู่เยียนหรานกลับมา“ลุงหลี่ ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ? ปล่อยข้าไป ข้าไม่ยอมให้นางแตะต้องพ่อข้า”“มานี่ พาคุณหนูออกไปก่อน”แม่ทัพหลี่ไม่สนใจนาง ก่อนจะเทน้ำให้กู้หว่านเยว่ กล่าวขอโทษนางไปอีกประโยค“แม่นางกู้ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ท่านเป็นผู้มีเมตตาไม่เอาความผู้น้อย ดูอาการท่านอ๋องผู้เฒ่าก่อนเถอะขอรับ”“เจ้าค่ะ” กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางย่อมไม่ใช่เพราะฟู่เยียนหรานและไม่ชอบใจท่านอ๋องผู้เฒ่าหยิบน้ำมาแล้วป้อนยาสงบจิตแก่ท่านอ๋องผู้เฒ่า แล้วฉีดยาให้ท่านอ๋องผู้เฒ่าอีกเข็มหลังจากนั้นไม่นาน หนานหยางอ๋องก็ตื่นขึ้นมาอย่างมึนงง“ข้า ข้าเป็นอะไรไปหรือ?”“ท่านอ๋อง ท่านมีโทสะมากเกินไป จึงอาเจียนเป็นเลือดแล้วสลบไปเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่หยิบเข็มเงินออกมาปักระบายความตึงเครียด อธิบายเสียงเรียบรื่น“ปล่อยข้านะ!”ฟู่เยียนหรานรีบผลักคนที่อยู่รอบตัวนางออกไปอย่างเร็ว เดินมาที่เตียง “ท่านพ่อ ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?ท่านอย่ามีโทสะเลยเจ้าค่ะ ข้ากับมู่หรงรักกันจริงๆ นะเจ้าคะ ขอร้องท่านพ่อสนับสนุนพวกเราด้วย”หนานหยางอ๋องโกรธจนเส้นเลือดบนหน้าผ
กู้หว่านเยว่นิ่งไปครู่หนึ่ง คาดคิดว่าฟู่เยียนหรานอาจได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดกันด้านในทำตัวลับๆ ล่อๆ ดูไม่เหมือนบุตรีแห่งของราชวงศ์แม้แต่น้อยกระนั้น กู้หว่านเยว่พลางคิดว่าในหนังสือต้นฉบับ ฟู่เยียนหรานเกือบจะวางยาพิษหนานหยางอ๋องตาย เป็นเพราะได้ยินว่าหนานหยางอ๋องคิดจะตามหาลูกสาวแท้ๆ กลับมา?“สามี สองสามวันนี้ท่านช่วยส่งคนมาจับตาดูฟู่เยียนหรานหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ?หากนางมีอะไรผิดปกติ ให้รีบบอกข้าทันที”กู้หว่านเยว่ไม่ได้บอกเหตุผลซูจิ่งสิงไปตรงๆ เพราะนางเองก็ไม่อาจเรียกได้ว่ารู้อนาคตล่วงหน้า“ได้”โชคดีที่ซูจิ่งสิงไม่ใช่คนช่างสงสัย เขาเรียกฉู่เฟิงเข้ามา และสั่งการด้วยเสียงทุ้มต่ำด้านนอกยังคงมีหิมะโปรยปราย ถนนหนทางปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน กองพะเนินสูงเท่ากับเข่ายามเดินผ่านกู้หว่านเยว่เดินเข้าครัวไปต้มน้ำแกงมาสามชาม เดินกลับมาก็เห็นฮูหยินผู้เฒ่าซูและซูหัวหยางวิ่งวุ่นไปมาหลังจากที่เห็นนาง ก็ถ่มน้ำลาย “ถุย เสนียด!”“หาเรื่องหรือไร? กล้าดีอย่างไรไม่เคารพแม่นางน้อยกู้เช่นนั้น?!” หวังปี้กำหมัดแน่นอยู่ข้างหลังเขา “อย่าหนีสิ มีปัญญารังแกผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่ไม่มีปัญญาสู้ตัวต่อตัวกับข
“แม่ทัพหวัง ร่างกายท่านไม่เป็นไรแล้วใช่หรือไม่?”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้ว เห็นหวังปี้วิ่งปร๋อได้เช่นนี้ คงไม่ทรมานแล้วกระมัง?หวังปี้โบกมือด้วยความเขินอาย “เห็นคุณหนูซูถูกพ่อแม่บังคับเช่นนั้น ข้าถึงได้รู้ว่ายังมีคนที่ย่ำแย่กว่าข้าอีกเนอะ สิ่งที่ข้าเจอนับเป็นอะไรได้? ในเมื่อคุณหนูฟู่ไม่ชอบข้า ข้าก็เพียงปล่อยมือเท่านั้น ฝืนบังคับกันต่อไป คงกลายเป็นความแค้นฝังแน่น”อันที่จริง หวังปี้ไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ ให้ฟู่เยียนหรานมากนัก ทั้งสองไม่เคยเจอกันมาก่อน เพียงแต่เขาไม่อยากให้ท่านอ๋องผู้เฒ่าผิดหวังเท่านั้นหลังจากที่เขาตื่นขึ้น ก็รีบไปหาท่านอ๋องผู้เฒ่า ยกเลิกการหมั้นหมายทันทีกู้หว่านเยว่มองเขาด้วยความชื่นชมหยิบขึ้นได้ วางลงเป็น สุภาพบุรุษอกสามศอก“ข้าจะไปป้อนหญ้าแห้งให้ม้าหน่อย ขอตัวก่อนนะขอรับ”พูดจบ หวังปี้ก็ยกมือประสานให้ทั้งสองคนแล้วก้าวไปที่คอกม้าเมื่อกู้หว่านเยว่กลับมาที่หอนอนรวม ทุกคนต่างกำลังยุ่งกับการตัดเย็บเสื้อผ้าฝ้าย ทำเอานางคล้ายจะว่างงานขึ้นมากู้หว่านเยว่จึงเดินเข้าครัวไปทำอาหาร ซูจิ่งสิงจึงเดินตามมาช่วยก่อฟืน หลังจากทั้งสองทำอาหารเสร็จแล้ว ก็เห็นฉู่เฟิงเดินเข้ามาพอด
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป