หมอสวีหันกลับไปมองเด็กหญิงผู้น่าสงสารที่นอนหายใจแผ่วเบาอยู่บนเตียง ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของนางแล้ว ว่านางจะพ้นวิบากกรรมในครานี้ไปได้หรือไม่ เพราะเขาเองก็จนปัญญาที่จะรักษานาง ที่เขาทำได้แค่เพียงต้มยาให้แก่นางเพื่อรักษาสัญญาณชีพของนางเอาไว้เพียงเท่านั้น
หนึ่งคืนกับการนอนที่โรงหมอของท่านหมอสวี ซุนฉีจึงขอพาหลานสาวกลับไปพักที่เรือนของนาง ร่างเล็กถูกเคลื่อนย้ายไปยังเรือนหลังเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากตลาดมากนัก ชาวบ้านฉีซานต่างมองมาที่สองยายหลานด้วยแววตาเวทนา บ้างก็ตำหนิญาติฝั่งบิดาของชิงเหมยที่ทอดทิ้งหลานแท้ๆ ให้มาตกระกำลำบากกับสตรีที่เป็นแม่หม้ายตั้งแต่ยังสาวเช่นนางซุนฉี แม้นางจะขยันขันแข็งแต่ก็มิอาจทำให้ชีวิตของหลานสาวดีขึ้นได้ “วันนี้ยายจะทำน้ำแกงที่เจ้าชอบ ตื่นขึ้นมาเถิดหลานยาย เจ้านอนไปสองวันหนึ่งคืนแล้วหนา” มือหยาบกร้านที่ทำงานหนักมาตั้งแต่ยังสาวกุมมือเล็กของหลานสาววัยเจ็ดปีเอาไว้พลางกล่าวออกมาทั้งน้ำตา “เคราะห์กรรมอันใดกัน เหตุใดถึงได้เลือกเจ้า เหตุใดถึงมิไปเลือกพวกคนใจดำตระกูลซิ่ว” ซุนฉีพึมพำออกมาทั้งน้ำตา หากโชคชะตาจะเลือกผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมาน เหตุใดถึงมิใช่พวกฝั่งพ่อของหลานสาว เหตุใดถึงให้ชีวิตของนางต้องเกิดมาอาภัพเช่นนี้ ซุนฉีบีบมือหลานสาวเบาสลับแรงเพื่อสังเกตการตอบสนอง แต่ทว่าร่างเล็กก็ยังคงนอนแน่นิ่ง ลมหายใจแม้จะแผ่วเบาแต่ก็มิได้ดับไป หลังจากคืนแรกผ่านไป ซุนฉีก็ได้ไปตามหาท่านหมอจากหลายหมู่บ้านมาช่วยรักษา หมดเงินที่นางสะสมมาเนิ่นนานไปไม่น้อย แต่ก็มิมีหมอใดรักษาหลานสาวให้ฟื้นคืนกลับมาได้ เด็กหญิงนอนแน่นิ่งราวกับว่ากำลังติดอยู่ในห้วงของนิทรารมณ์ ซุนฉีถอดถอนใจคิดจะยอมแพ้ แต่แล้วกลางดึกของคืนที่สามที่หลานสาวนอนหลับใหลไป เด็กหญิงก็ได้ตื่นขึ้นมาราวกับปาฏิหาริย์ “แค่กๆ” ร่างเล็กส่งเสียงไอออกมาก่อนที่เปลือกตาของนางจะค่อยๆ เปิดออก แสงสว่างจากตะเกียงที่หัวเตียงภายในห้องซอมซ่อทำให้ผู้ที่เพิ่งฟื้นคืนมาตระหนกตกใจ นางมองไปรอบๆ ก็พบว่าที่แห่งนี้มิใช่เรือนชานของนางในหมู่บ้านบางระกำที่อาศัยมาตั้งแต่เกิด นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้นางกำลังสู้กับพวกพม่าที่มาล้อมหมู่บ้านที่นางและสหายร่วมรบไปหาเสบียง หรือว่ามีสหายมาช่วยพวกนางและพากลับมายังหมู่บ้าน แต่พอสำรวจไปรอบๆ ก็พบว่ามิใช่เรือนชานที่นางคุ้นเคย มันแปลกตาไปหมด ดูเครื่องเรือนที่เก่าแก่และเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ก็พอจะรู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่ชุดที่ชาวสยามสวมใส่ หรือนางถูกพวกพม่าจับมาเป็นเชลย แต่สิ่งที่นางรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าคือความเจ็บปวดที่ได้รับก่อนสติดับวูบไป ยามนี้ไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด “แผล.. แผลข้าล่ะ เหตุใดข้ามิเจ็บปวดเลยสักนิด” นางสำรวจร่างกายตนเองก่อนที่จะต้องตกใจเพราะร่างกายของนางในวัยสิบแปดปีนั้นเคยมีหน้าอกที่นูนออกมาตามวัย แต่ทว่ายามนี้กลับแบนราบและแขนของนางก็เรียวเล็กราวกับตะเกียบ ต่างจากร่างกายของนาง จู่ๆ นางก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาจึงล้มตัวลงนอนไปอีกครา ภาพที่ไม่เคยได้เห็นผุดขึ้นมาในสมองเป็นฉากๆ ราวกับว่าได้เห็นเรื่องราวของใครสักคน “โอ๊ย!! ปวดหัว” นางร้องอุทานออกมา ‘แอ๊ด!!!’ เสียงประตูหน้าห้องที่เปิดออกพร้อมกับร่างอวบอิ่มของสตรีในชุดประหลาดตา เป็นภาพเดียวกับที่คำเอื้อยได้เห็นในความนึกคิดของนาง “ชิงเหมย!!! ตื่นแล้วหรือหลานยาย เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่” เสียงหวานสั่นเครือของซุนฉีดังขึ้นตามมาทันที คำเอื้อยที่ยังไม่รู้ตัวว่านางเองได้กลับมาเกิดใหม่ถึงกับตระหนกตกใจ แต่พอมองใบหน้าของสตรีสูงวัยตรงหน้าก็ดูคุ้นตา เพราะดูเหมือนภาพที่นางเห็นในความนึกคิดยามที่นางปวดศีรษะไม่มีผิด แต่ที่นางประหลาดใจนั่นก็คือนางสามารถฟังภาษาของหญิงสูงวัยตรงหน้านี้เข้าใจ ทั้งที่ไม่เคยได้ยินผู้ใดพูดจาด้วยภาษานี้กับนางมาก่อน “ชิงเหมย!!!” นางทวนชื่อที่อีกฝ่ายเรียกขานนางออกมา ร่างเล็กค่อยๆ พยุงกายลุกขึ้นนั่ง พลางสำรวจสตรีตรงหน้าที่เรียกขานตนเองว่ายาย “หลานยาย เจ้ารู้หรือไม่ว่ายายเป็นห่วงเจ้าถึงเพียงใด ยายนึกว่าชาตินี้จะไม่ได้เจอหลานอีกแล้ว ฮึก…..” ซุนฉีดึงรั้งร่างหลานสาวเข้ามาในอ้อมกอด น้ำตาไหลพรากออกมาจนเปียกชุ่มเรือนผมของหลานสาว คำเอื้อยพอจะมองเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยามนี้ออก เพราะนางเองก็ไม่ใช่คนโง่งม นางคงไม่ได้ถูกพวกข้าศึกจับมาเป็นเชลยที่เมืองประหลาดนี้ แต่ทว่านางคงจะตายแล้วมาเกิดใหม่ในโลกนี้เสียแล้ว มาเกิดในร่างของเด็กหญิงที่อ่อนแอและมีชีวิตสุดแสนอาภัพผู้นี้ เป็นเพราะภาพต่างๆ ที่ผุดเข้ามาในความนึกคิดของนางระหว่างที่ปวดศีรษะ ทำให้นางได้เห็นการใช้ชีวิตของเจ้าของร่าง เด็กหญิงผู้น่าสงสารที่สูญเสียบิดามารดาไปตั้งแต่เยาว์วัย อาศัยอยู่กับท่านยายเพียงสองคน ถูกกลั่นแกล้งรังแกจากเด็กวัยเดียวกัน ถูกญาติฝ่ายพ่อทอดทิ้งเพียงเพราะเป็นลูกที่เกิดจากหญิงสาวชาวบ้าน ‘โชคชะตาเล่นตลกอันใดกับข้ารึ เหตุใดถึงให้ข้ามาเกิดที่นี่มิใช่แผ่นดินสยามเล่า’ คำเอื้อยได้แต่คิดในใจ นางสวมกอดท่านยายของเด็กหญิงทั้งน้ำตา ไม่ได้ร้องไห้เพราะดีใจที่ได้มาเกิดใหม่ในร่างนี้ แต่ที่ร้องไห้คือนางคิดว่านางจะมีชีวิตในโลกใหม่ ชีวิตที่ได้รับมาใหม่นี้ได้เยี่ยงไรกันหลังจากเฉียวจูจ้านและซูฉีเดินทางออกจากจวนกลับไปได้ไม่นาน เยว่อู๋ชางก็กลับมาจากในวังหลวง เพราะภรรยาตั้งครรภ์อ่อนๆ เขาจึงได้รับพระกรุณาจากองค์รัชทายาทให้กลับมาค้างที่จวนในทุกค่ำคืน จนกว่าครรภ์ของนางจะมั่นคง ถึงค่อยให้เขากลับไปดูแลพระองค์อย่างใกล้ชิดอีกครา“ท่านพี่กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงหวานทักทายสามีที่กำลังเดินเข้ามาภายในศาลากลางน้ำ“อื้ม…แล้วนี่น้องหญิงกำลังทำสิ่งใดอยู่รึ”เขาเดินไปนั่งลงเคียงข้าง แล้วยกร่างบางขึ้นมานั่งบนตัก จากนั้นจึงหอมแก้มนางไปหนึ่งที สองสาวรับใช้คนสนิทและสาวรับใช้ที่อยู่คอยรับใช้นายหญิง ต้องรีบพากันหลุบตามองต่ำ“ท่านพี่!!! พวกสาวรับใช้อยู่กันเยอะแยะ ข้าอายพวกนางนะเจ้าคะ”ชิงเหมยกระซิบเสียงดุใส่สามี สองแขนเรียวโอบล้อมรอบลำคอของเขาเพราะกลัวตกเซียงซุนและหยวนเวยพากันยิ้มออกมา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเพียงใด ความรักที่นายท่านมีต่อนายหญิงหาได้ลดน้อยลงไม่ ทว่ามีแต่จะเพิ่มขึ้นในทุกวัน ยิ่งนายหญิงมีครรภ์เช่นนี้ นายท่านก็ดูจะทะนุถนอม และรักใคร่นายหญิงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ความสัมพันธ์ของสามีภรรยากลมเกล
หลังจากนอนค้างที่จวนตระกูลซิ่วได้เพียงหนึ่งคืน เช้านี้ชิงเหมยจำต้องติดตามผู้เป็นสามี เดินทางกลับเข้าเมืองหลวง ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบของเขา ทำให้นางมิอาจเอาแต่ใจตนเองได้ ก่อนเดินทางออกจากจวน นางและสามีก็ได้กินมื้อเช้าพร้อมหน้าพร้อมตา มีท่านย่า ท่านยาย และพี่น้องตระกูลซิ่วของนาง ท่านยายเล็ก ท่านลุง ท่านป้าสะใภ้และลูกๆ ทั้งสองของท่านลุงนั้น ได้เดินทางกลับจวนตระกูลซุนไปตั้งแต่พิธีแต่งงานเสร็จสิ้นแล้ว ในวันที่นางกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมจึงมิได้พบกับพวกเขา“เดินทางปลอดภัย ขอให้เจ้าจงรักษาตัวให้ดี หากมีเวลาก็กลับมาเยี่ยมยายบ้าง”ซุนฉีกล่าวในขณะที่นางออกมาส่งหลานสาวอยู่ที่ด้านหน้าจวน ยามนี้ขบวนขนสัมภาระและผู้ติดตามของหลานเขยกับหลานสาวเตรียมพร้อมหมดแล้ว รอเพียงแค่ให้ชิงเหมยได้ร่ำลาครอบครัวก่อนออกเดินทางก็เท่านั้น“เจ้าค่ะท่านยาย ท่านเองก็อย่าลืมรักษาสุขภาพให้ดี รอหลานกลับมาเยี่ยมนะเจ้าคะ”ชิงเหมยกล่าวออกมา น้ำเสียงข่มความอาลัยเอาไว้อย่างมิดชิด เพื่อไม่ให้ท่านยายเป็นห่วงนางมากนัก ครานี้เป็นคราแรกที่นางจะต้องห่างไกลจากท่านยายจริงๆ หาใช่เพียงแค่ไปไม่กี่
หลังจากที่เยว่อู๋ชางเดินออกจากห้องหอไปได้ไม่นานนัก สองสาวรับใช้คนสนิทของชิงเหมยก็เข้ามาด้านใน ร่างระหงนั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ หยวนเวยจึงรีบไปเตรียมน้ำให้นางอาบ ส่วนเซียงซุนรับหน้าที่เข้าไปปัดกวาดเตียงนอน ครั้นได้เห็นร่องรอยของการร่วมหอในค่ำคืนที่ผ่านมา ใบหน้างามของสาวรับใช้ที่ยังไม่เคยออกเรือนก็ถึงกับร้อนผ่าว ในใจพลันรู้สึกยินดี ที่ท่านเขยและคุณหนูใหญ่ ไม่ได้ปล่อยให้คืนเข้าหอผ่านไปอย่างไร้ค่า“ข้าน้อยเตรียมน้ำเสร็จแล้วเจ้าค่ะคุณหนู อุ๊ย!!! ฮูหยินเล็ก”หยวนเวยกลับเข้ามาภายในห้องพลางกล่าวรายงาน ก่อนที่นางจะปิดปากครั้นรู้ตัวว่านางเรียกขานสถานะเดิมของชิงเหมยที่เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลซิ่ว แล้วจึงเปลี่ยนคำเรียกขานคุณหนูใหญ่ของนางใหม่ ยามนี้คุณหนูใหญ่ก้าวผ่านค่ำคืนของการเป็นผู้ใหญ่มาแล้ว หมายความว่าบัดนี้ชิงเหมย นางได้กลายมาเป็นฮูหยินเล็กสกุลเยว่เต็มตัวแล้ว"ฮูหยินเล็ก อืม… ใช่แล้วล่ะ สถานะข้าในยามนี้กลายเป็นฮูหยินของพี่ชางแล้วสินะ" ใบหน้างามปรากฏคลื่นแห่งความสุขออกมา แม้จะยังคงง่วงงุนแต่ทว่าใบหน้าของนางกลับอิ่มเอิบ“เช้านี้ท่านเขยดูอารมณ์ดียิ่ง
ท่ามกลางความเงียบสงบจากภายนอก ภายในห้องหอกลับมีเสียงครางทุ้มหวานของคู่บ่าวสาว ดังสอดประสานกันขึ้นมาเป็นระยะ คราแรกที่ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มรุกล้ำเข้าไปภายในกลีบบุปผางามของนาง ชิงเหมยก็แทบจะปิดบังบังความเจ็บปวดเอาไว้ไม่อยู่ นางแสดงออกมาผ่านทางสีหน้าและแววตา ปลายหางตามีหยาดน้ำเปียกชุ่มอยู่เพียงเล็กน้อย แต่ทว่านางกลับไม่กล้าเอ่ยปากขัดขวางอารมณ์ที่เร่าร้อนของเขามือบางกอบกุมผ้าปูเตียงเอาไว้แน่น ก่อนที่นางจะค่อยๆ ผ่อนคลายลง ความรู้สึกเจ็บปวดในคราแรก จึงแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกวาบหวาม เร่าร้อน เข้ามาแทนที่ ยามนี้ผิวกายของนางและเขาต่างร้อนผ่าว ทุกคราที่เขาขยับโยกกาย ก่อให้เกิดความรู้สึกหลากหลาย สิ่งนี้น่ะหรือที่พวกผู้ใหญ่เรียกว่า หยินหยางสอดประสาน ชิงเหมยเพิ่งได้รู้ซึ้งก็ในวันนี้นี่เอง ความรู้สึกที่มีทั้งสุขและทุกข์ผสมผสานกันไป ทว่าความทุกข์นั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่หอมหวานชวนลุ่มหลง“น้องหญิง…เจ้าเจ็บหรือไม่”ชายหนุ่มเหนือร่างงามหาได้ทำตามแต่ใจตนเองผู้เดียวไม่ เขาหยุดจังหวะการรุกล้ำ แล้วเอ่ยถามความรู้สึกของผู้เป็นภรรยาออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า แม้อารมณ์ใคร่
ขบวนสินเดิมของเจ้าสาวยาวเกือบหนึ่งลี้ ถือว่าไม่น้อยหน้าสมกับเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ ผู้คนต่างพากันนึกอิจฉานางขึ้นมา ด้วยไม่คิดว่าสตรีที่เกิดจากตระกูลธรรมดาอย่างซุนฉี จะสามารถมอบสินเดิมให้กับหลานสาวมากมายถึงเพียงนี้ แม้ผู้คนจะรู้ดีว่ามิใช่ของตระกูลซุนเพียงตระกูลเดียว แต่ก็รู้สึกนับถือซุนฉี ที่อีกฝ่ายคอยเก็บสะสมทรัพย์สินมากมาย เพื่อให้หลานเป็นสินเดิมติดตัวไปยามออกเรือน“คุณหนูเจ้าคะ หิวหรือไม่เจ้าคะ ข้าน้อยเตรียมขนมมาให้ หากคุณหนูหิวก็กินรองท้องไปก่อนหนาเจ้าคะ ดูจากการเคลื่อนขบวนแล้ว ข้าน้อยคิดว่ากว่าจะถึงจวนตระกูลเยว่ก็คงอีกสองเค่อ” เซียงซุนเปิดม่านเกี้ยวแล้วบอกคุณหนูของนางด้วยความห่วงใย เพราะวันนี้คุณหนูหาได้กินสิ่งใดลงไม่ อาจจะเป็นเพราะความตื่นเต้น“อื้อ…”ชิงเหมยมองออกไปผ่านผ้าคลุมหน้าก็เห็นว่าข้างทางมีชาวบ้านมากมาย ใบหน้าทุกคนต่างยิ้มแย้มออกมาด้วยความยินดี ทำให้นางรู้สึกประทับใจยิ่งนัก ไม่คิดว่างานแต่งงานของนางจะทำให้ผู้คนสนใจมาชื่นชมมากมายถึงเพียงนี้และก็เป็นอย่างที่เซียงซุนบอก เพราะกว่าจะถึงจวนตระกูลเยว่ก็ใช้เวลานานเกือบสองเค่
หนึ่งปีต่อมาวสันตฤดูเวียนมาถึง นั่นก็หมายความว่า กำหนดการพระราชทานสมรสระหว่างคุณชายรองสกุลเยว่กับคุณหนูใหญ่สกุลซิ่วก็มาถึงเสียที ชิงเหมยต้องไปออกเรือนที่ตระกูลซิ่ว ทำให้ซุนฉี ซุนเฉียว เหลียงจง หลิวเวย และลูกๆ ทั้งสองของนาง ต้องเดินทางจากจวนตระกูลซุน ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านซานฉี เข้าเมืองถิงฮวาไปพำนักที่ตระกูลซิ่วชั่วคราว ก่อนที่จะถึงวันวิวาห์ เพื่อร่วมกันส่งหลานสาวออกเรือน“ข้ารู้สึกใจหายยิ่งนัก หลังจากเหมยเอ๋อร์ออกเรือนไปแล้ว ข้าจะทำเยี่ยงไร” ซุนฉีนึกใจหายขึ้นมา หลานสาวอาศัยอยู่กับนางมาตั้งแต่เกิด จนมาถึงวัยสิบแปดปี วัยที่เหมาะสมแก่การออกเรือน“ท่านกล่าวอันใดเยี่ยงนั้น ท่านไม่อยากเห็นเหมยเอ๋อร์มีความสุขหรอกรึ” ผิงหลันแสร้งถามออกมาทั้งๆ ที่ใจนางเองก็ไม่ต่างจากซุนฉีแม้แต่น้อยหลังจากหลานสาวกลับจากเยี่ยมบ้านเดิมตามธรรมเนียม ชิงเหมยก็ต้องออกเดินทางเข้าเมืองหลวงทันที เพราะว่าที่หลานเขยของนางต้องทำงานรับใช้ราชวงศ์ ไม่อาจลางานนานได้ และเพราะหน้าที่ของเขา ทำให้ไม่สะดวกต่อการเดินทางไกล จวนของเขาที่เตรียมไว้ยามนี้ตกแต่งไว้รอนายหญิงของจวนเรียบร้อยแล