Masukแสงอรุณของวันใหม่สาดส่องผ่านรอยแตกของประตูไม้เข้ามา ปลุกให้เสี่ยวชุนที่หลับใหลอยู่บนพื้นฟางลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย
ร่างกายของนางยังคงปวดเมื่อย แต่ความหิวโหยที่เคยทรมานได้ทุเลาลงไปมากแล้ว สิ่งแรกที่นางเห็นคือคุณหนูของตนกำลังนั่งขัดสมาธินิ่งสงบอยู่บนแคร่ไม้
แววตาคู่นั้นที่จ้องมองมายังนางไม่มีความสับสนหรือเกรี้ยวกราดหลงเหลืออยู่เลย มีเพียงความนิ่งลึกที่ยากจะหยั่งถึง
"ตื่นแล้วหรือ" จื่อเหยาเอ่ยทัก
"เจ้าค่ะคุณหนู" เสี่ยวชุนรีบลุกขึ้นนั่งอย่างเรียบร้อย
"ดี" จื่อเหยาพยักหน้า "กินหมั่นโถวที่เหลือเสีย จะได้มีแรงทำงาน"
หลังจากที่ทั้งสองแบ่งปันอาหารมื้อเช้าอันน้อยนิดกันเรียบร้อยแล้ว จื่อเหยาก็เริ่มเข้าเรื่องทันที
"เสี่ยวชุน ข้ามีเรื่องสำคัญยิ่งยวดต้องการให้เจ้าช่วย"
"ขอเพียงเป็นเรื่องของคุณหนู บ่าวยินดีทำทุกอย่างเจ้าค่ะ!" เสี่ยวชุนตอบรับอย่างหนักแน่น
"ขอบใจเจ้า" จื่อเหยากล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
พร้อมกับหยิบเศษถ่านไม้ที่หาได้จากมุมห้องขึ้นมา ก่อนจะเริ่มวาดภาพของพืชสามชนิดลงบนแผ่นกระดานปูพื้นที่ค่อนข้างเรียบ แม้ลายเส้นจะเรียบง่ายแต่กลับเก็บรายละเอียดสำคัญไว้ได้อย่างน่าทึ่ง
"ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงมาดูรูปภาพพวกนี้" นางกล่าวและเมื่อเห็นบ่าวรับใช้ตัวน้อยขยับเข้ามาใกล้แล้ว นางจึงได้อธิบายออกมาเพิ่มเติม
"ท่านแม่ของข้าเคยทิ้งตำรับยาบำรุงไว้ให้ข้าหนึ่งตำรับและสมุนไพรพวกนี้ก็เป็นหนึ่งในตำรานั้น...ซึ่งเป็นยาสำหรับขับพิษร้อนและเสริมกำลัง แต่การจะปรุงยาขนานนี้ได้ จำเป็นต้องใช้สมุนไพรสดสามชนิดนี้เป็นส่วนประกอบ"
กล่าวจบ นางก็ชี้นิ้วไปยังภาพวาดทีละภาพ "นี่คือ...ใบหญ้าลิ้นงู...มันชอบขึ้นตามที่ชื้นแฉะ...ส่วนนี่คือดอกสายน้ำผึ้งเป็นไม้เลื้อยมีกลิ่นหอมเย็น...และสมุนไพรสุดท้ายสิ่งนี้เรียกว่ารากชะเอมเทศ...อันนี้อาจจะหายากสักหน่อย"
หลังกล่าวจบนางจึงได้เงยหน้ามองบ่าวรับใช้ของตนที่กำลังตั้งใจมองภาพวาดในกระดานปูพื้นอย่างจดจำ "วันนี้ข้าอยากให้เจ้าลองไปสืบดูว่า ในเรือนเมฆาคล้อยแห่งนี้หรือในหมู่บ้านใกล้เคียง...พอจะหาสมุนไพรสามอย่างนี้ได้หรือไม่"
"เจ้าค่ะคุณหนู!" เสี่ยวชุนรับคำสั่งอย่างกระตือรือร้น หลังจากทบทวนรูปพรรณของสมุนไพรจนขึ้นใจดีแล้ว นางก็รีบออกไปปฏิบัติภารกิจทันที
ตลอดทั้งวันนั้น บรรยากาศในเรือนเมฆาคล้อยดูเหมือนจะกลับสู่สภาวะปกติ ไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายใด ๆ เกิดขึ้น บ่าวไพร่ต่างทำงานของตนไปอย่างเงียบ ๆ แม้จะมีสายตาบางคู่ที่ลอบมองมาทางห้องพักของจื่อเหยาด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวโดยตรง
จนกระทั่ง...ลำแสงสุดท้ายของวันย้อมท้องฟ้าเป็นสีส้มอมม่วง จื่อเหยาที่นั่งนิ่งอยู่ในห้องมาตลอดทั้งวัน จึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยเดินมาหยุดอยู่หน้าประตู
บานประตูไม้เก่าแง้มเปิดออกอย่างเงียบเชียบ ร่างผอมบางของเสี่ยวชุนก้าวเข้ามาในห้อง ก่อนจะรีบปิดประตูลงกลอนอย่างรวดเร็ว สภาพของเด็กสาวในยามนี้ดูอิดโรยอย่างยิ่ง ใบหน้าเล็ก ๆ มีคราบเหงื่อไคลและฝุ่นดินเกาะอยู่ประปราย ริมฝีปากแห้งแตกเป็นขุย
แต่ทว่า...ดวงตาคู่นั้นกลับทอประกายแห่งความสำเร็จและความดีใจอย่างปิดไม่มิด
"คุณหนูเจ้าคะ บ่าวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!" น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสดใสแม้ว่าร่างกายจะดูเหนื่อยล้าอย่างเห็น ได้ชัด
จื่อเหยามองสำรวจสภาพของสาวใช้คนสนิทแล้วคลี่ยิ้มบางออกมา ซึ่งนับได้ว่าเป็นรอยยิ้มที่จริงใจอย่างแท้จริง "เหนื่อยมากหรือไม่? มานั่งพักดื่มน้ำก่อน" นางกล่าวพลางพยักพเยิดไปยังกระบอกไม้ไผ่ที่ยังมีน้ำสะอาดเหลืออยู่
"บ่าวไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ!" เสี่ยวชุนปฏิเสธอย่างกระตือรือร้น ความตื่นเต้นของนางมีมากกว่าความเหนื่อยล้า นางรีบคุกเข่าลงตรงหน้าจื่อเหยา แล้วค่อย ๆ คลี่ห่อผ้าขี้ริ้วในมือออกอย่าง ทะนุถนอมราวกับมันเป็นของล้ำค่ามากที่สุดในโลก
ภายในห่อผ้านั้นปรากฏสมุนไพรสามชนิดวางอยู่เคียงกัน...ใบหญ้าลิ้นงูที่ยังมีเศษดินชื้น ๆ ติดอยู่ตามราก ตามมาด้วยดอกสายน้ำผึ้งที่ส่งกลิ่นหอมเย็นจางออกมา และสุดท้ายรากชะเอมเทศท่อนเล็กที่มีกลิ่นหอมของเนื้อไม้
"บ่าวหามาได้ครบแล้วเจ้าค่ะ!" เสี่ยวชุนรายงานอย่างภาคภูมิใจ "ใบหญ้าลิ้นงูอยู่ที่บ่อน้ำร้างหลังเรือนฟืน ส่วนดอกสายน้ำผึ้งอยู่บนกำแพงทิศตะวันออก...แต่ว่ารากชะเอมเทศหายากมากเจ้าค่ะ บ่าวต้องแอบออกไปหาจนถึงในหมู่บ้านจึงจะได้มา"
จื่อเหยาไม่ได้พูดอะไรในทันที นางหยิบสมุนไพรแต่ละชนิดขึ้นมาพิจารณาด้วยสายตาของผู้เชี่ยวชาญ นางดมกลิ่นของมัน ใช้ปลายนิ้วสัมผัสพื้นผิวของใบและราก...ทุกอย่างถูกต้องสมบูรณ์แบบ
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเสี่ยวชุน ดวงตาที่เคยนิ่งสงบของนางในยามนี้ฉายแววอ่อนโยนและซาบซึ้งใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ เด็กสาวตัวเล็ก ๆ คนนี้...ยอมเสี่ยงอันตรายและเหนื่อยยากเพื่อทำภารกิจที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้นี้ให้สำเร็จ...เพื่อนาง
"ขอบใจเจ้ามาก...เสี่ยวชุน" จื่อเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล "เจ้าทำได้ดีมากจริง ๆ"
เพียงคำชมแสนสั้นนั้น ก็ทำให้ความเหนื่อยล้าทั้งหมดของเสี่ยวชุนมลายหายไปสิ้น นางยิ้มกว้างอย่างมีความสุข "เพื่อคุณหนู บ่าวยอมทำทุกอย่างเจ้าค่ะ!"
"ข้ารู้" จื่อเหยาพยักหน้า "แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามานั่งชื่นชมกัน เราต้องรีบปรุงยาก่อนที่ใครจะผิดสังเกต" นางกล่าวพลางมองไปรอบ ๆ ห้องที่คับแคบและอับชื้นก่อนจะพูดต่อ "กลิ่นยาจะรุนแรงเกินไปหากปรุงในนี้...ที่บ่อน้ำร้างตรงนั้นเปลี่ยวคนหรือไม่?"
"เปลี่ยวมากเจ้าค่ะ ไม่มีใครอยากเข้าไปแถวนั้น"
"ดี...ถ้าเช่นนั้นเราจะไปปรุงยากันที่นั่น"
ทั้งสองรอจนกระทั่งความมืดโรยตัวลงมาพร้อมกับสรรพสำเนียงรอบด้านเริ่มเงียบลง จึงแอบลอบออกจากห้องพัก โดยนำเตาอั้งโล่เก่าขนาดเล็กและหม้อดินใบที่แอบไปหยิบยืมมาได้ก่อนหน้านี้ติดมือไปด้วย
บรรยากาศรอบเรือนเก็บฟืนยามค่ำคืนนั้นเงียบสงัดและวังเวง มีเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไรและแสงจันทร์สีเงินที่ส่องลอดลงมาตามกิ่งไม้ จื่อเหยาและเสี่ยวชุนช่วยกันก่อไฟในเตาอั้งโล่อย่างเงียบเชียบอย่างที่สุด แสงไฟสีส้มที่ลุกโชนขึ้นมาขับไล่ความมืดและความหนาวเย็นออกไป เผยให้เห็นใบหน้าที่มุ่งมั่นของเด็กสาวทั้งสอง
จื่อเหยาเริ่มขั้นตอนการเตรียมยาอย่างคล่องแคล่ว นางล้างสมุนไพรด้วยน้ำสะอาดที่เหลืออยู่ แล้วใช้ก้อนหินแบนสองก้อนที่เตรียมไว้เป็นครกและสากชั่วคราว ค่อย ๆ บดรากชะเอมเทศและใบหญ้าลิ้นงูอย่างใจเย็น เสียงทุบหินดังเป็นจังหวะเบา ๆ กลมกลืนไปกับเสียงแมลงกลางคืน
เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว นางจึงบรรจงใส่สมุนไพรลงในหม้อดินตามลำดับความแข็งของตัวยา เติมน้ำสะอาดลงไปพอท่วม แล้วยกขึ้นตั้งบนเตาไฟที่ลุกโชนพอดี
ไม่นานนัก กลิ่นหอมขมอันเป็นเอกลักษณ์ของยาจีนก็เริ่มลอยอบอวลไปทั่วบริเวณนั้น ทั้งสองนั่งเฝ้าหม้อยาอยู่ข้างกันในความเงียบ มีเพียงแสงไฟจากเตาที่ส่องกระทบใบหน้าของพวกนางให้เห็นเป็นเงาวูบวาบ
ในยามนี้ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างคุณหนูและบ่าวรับใช้อีกต่อไป มีเพียงสตรีสองคนที่กำลังต่อสู้เพื่อความอยู่รอดเคียงข้างกัน
เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนยาในหม้องวดลงเหลือเพียงหนึ่งถ้วยเข้มข้น จื่อเหยาจึงยกหม้อลงจากเตาแล้วดับไฟอย่างรวดเร็ว ทั้งสองรีบเก็บข้าวของแล้วลอบกลับมายังห้องพักโดยไม่ให้ใครเห็น
หลังจากดื่มยาถอนพิษสีดำสนิทรสขมปร่าเข้าไปจนหมดถ้วย จื่อเหยาก็รู้สึกถึงกระแสความร้อนที่ค่อย ๆ แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายขับไล่ความเฉื่อยชาที่เกาะกุมนางมาหลายวันให้ทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์
ความอ่อนเพลียที่สะสมมาตลอดทั้งวัน ประกอบกับฤทธิ์ยาที่เพิ่งดื่มเข้าไป ทำให้เปลือกตาของนางหนักอึ้งเกินกว่าจะต้านทานไหว เด็กหญิงเอนกายลงบนแคร่ไม้แข็ง ๆ แล้วผล็อยหลับไปในภวังค์ที่ไม่สนิทนัก...
วูบ!
นางสะดุ้งสุดตัว ลืมตาโพลงขึ้นมากลางความมืด!
ไม่ใช่เพราะเสียง...แต่เป็นเพราะความรู้สึกเย็นเยียบที่แผ่ซ่านไปทั่วห้องอย่างรวดเร็วราวกับถูกโยนลงไปในถ้ำน้ำแข็ง ลมหายใจของนางกลายเป็นไอสีขาวจาง ๆ ในอากาศที่หนาวเหน็บผิดปกติ
และที่ปลายเตียงของนางได้มีร่างของใครบางคนยืนอยู่!...ซึ่งเป็นร่างโปร่งแสงของสตรีร่างท้วมที่จื่อเหยาจำได้ทันทีว่าคือ "ป้าจาง"! นางพึมพำเสียงเบาราวคนละเมอ
สภาพของหญิงวัยกลางคนในยามนี้ช่างน่าสังเวชระคนน่าสยดสยองอย่างยิ่ง ทั่วทั้งร่างของนางเปียกโชกราวกับเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ น้ำหยดจากปลายผมและชายเสื้อของนางลงสู่พื้น
แต่ทว่าพื้นไม้เก่า ๆ กลับไม่เปียกเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของนางเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัวสุดขีด ไม่มีความเกรี้ยวกราดหรือร้ายกาจหลงเหลืออยู่เลย มีเพียงความสับสนและไม่เชื่อในชะตากรรมของตนเอง
ปากของวิญญาณนางจางพะงาบ ๆ พยายามจะกรีดร้องหรือพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับมีเพียงเสียงฟองอากาศดัง "บุ๋ง...บุ๋ง..." หลุดออกมาจากลำคอ
มือโปร่งแสงข้างหนึ่งของนางสั่นเทา...ค่อย ๆ ยกขึ้นชี้มาที่ลำคอของตัวเอง ขยุ้มทึ้งอากาศราวกับกำลังทุกข์ทรมานจากการขาดลมหายใจ...ส่วนมืออีกข้างก็ชี้ไปทางทิศของบ่อน้ำเก่าท้ายเรือนอย่างลนลาน...
ก่อนที่ร่างนั้นจะสลายหายไปในความมืดพร้อมกับความหนาวเย็นที่ผิดปกติ
หลายเดือนผ่านไปนับตั้งแต่วิกฤตการณ์ที่เมืองเหยียนสุ่ย...ผ่านพ้น ในตอนนี้ฤดูร้อนที่ร้อนระอุได้ผ่านไปนานแล้วและถูกแทนที่ด้วยสายลมเย็นสบายแห่งต้นฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้รอบเรือนเมฆาคล้อยเริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวชอุ่มเป็นสีเหลืองทองอร่าม บรรยากาศที่เคยเต็มไปด้วยความตึงเครียด บัดนี้กลับสงบสุขและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา จื่อเหยาได้ใช้ช่วงเวลาหลายเดือนนี้ในการฟื้นฟูร่างกายและสร้างฐานอำนาจเล็ก ๆ ของนางขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ โดยอาศัยชื่อเสียงของคุณชายหลี่เหยาที่ตอนนี้ได้กลายมาเป็นตำนานที่เล่าขานกันไปทั่วทั้งอำเภอ แต่กลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาเลยแม้แต่คนเดียว บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่จื่อเหยากำลังนั่งอ่านตำราแพทย์ที่พ่อบ้านสวีอุตส่าห์ไปหามาให้อย่างใจเย็น โดยมีเหลิ่งเยว่ยืนเฝ้าอารักขาอยู่ไม่ห่างนั้นเองที่ตัวตนของนางถูกจื่อเหยารู้แล้วจากอาการบาดเจ็บในครั้งก่อน...เสียงฝีเท้าที่รีบร้อนของพ่อบ้านสวีก็ดังขึ้นจากทางเดินหน้าห้องพัก&nb
เหลิ่งเยว่เตรียมจะรับคำ ทว่าได้มีเสียงของเสี่ยวชุนดังแทรกขึ้นมาอย่างสั่นกลัว "คะ...คุณหนูเราต้องฆ่าพวกเขาเลยหรือเจ้าคะ" คำถามที่เต็มไปด้วยความไร้เดียงสาและหวาดกลัวของเสี่ยวชุน ทำให้หรงจื่อเหยาที่กำลังจะออกคำสั่งต่อไปถึงกับชะงักงันพร้อมกับคิดว่าโชคดีที่นางได้ให้นางจางกับอาเฉียงหลอกล่อเสี่ยวเฉินออกไป ก่อนที่นางจะหันไปมองบ่าวรับใช้คนสนิทที่อยู่กับนางมาตั้งแต่ต้น...ใบหน้าของเสี่ยวชุนซีดเผือด ดวงตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำใส ร่างกายของนางสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม...ที่ไม่ใช่เกิดจากการแสดงอีกต่อไปแล้ว จื่อเหยารู้สึกราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจของตน...นางเกือบลืมไปแล้ว...ว่าเด็กสาวตรงหน้า...ก็เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น นางเดินเข้าไปหาเสี่ยวชุนช้า ๆ แววตาที่เคยเย็นเยียบพลันอ่อนแสงลงเล็กน้อย "
ช่วงเย็นจนถึงช่วงหัวค่ำภายในโรงเตี๊ยมจิ่นซิ่วของเมืองอันคังผ่านไปอย่างเงียบสงัด...แต่สำหรับหรงจื่อเหยาแล้ว นางรู้ดีว่านี่เป็นเพียงความเงียบที่ซ่อนเร้นไว้ซึ่งกระแสคลื่นใต้น้ำอันรุนแรง ทั้งนี้เป็นเพราะนางรู้เรื่องแผนการบางอย่างมาจากสายลับพิเศษนั่นเอง หากจะเป็นเรื่องอันใดนั้น คงต้องย้อนกลับไปก่อนหน้าในตอนที่นางสั่งให้วิญญาณของนางจางไปตามติดอยู่กับจ้าวมามา 'นายหญิงเจ้าคะ...' เสียงกระซิบที่เย็นเยียบของวิญญาณป้าจางดังขึ้นในหัวของนางตั้งแต่ตอนที่ขบวนรถม้าเพิ่งผ่านเข้าประตูเมืองอันคังมาได้ไม่นานนัก 'เมื่อครู่...ข้าน้อยได้ยินนางพูดคุยกับบ่าวรับใช้ที่ชื่อเสี่ยวถัง...นางกำชับนังเด็กนั่นว่าเมื่อไปถึงเมืองอันคัง ให้รีบไปติดต่อญาติห่าง ๆ ของนางที่ชื่อจิ่วกุ่ยหวัง ฉายาหวังขี้เมา...ดูเหมือนว่าพวกมันจะวางแผนใช้ชายผู้นี้ให้มาสร้างเรื่องอื้อฉาวเพื่อทำลายชื่อเสียงของนายหญิงในคืนนี้เจ้าค่ะ!'
เมื่อขึ้นมานั่งภายในรถม้า...จื่อเหยาก็รู้สึกว่าความเป็นส่วนตัวของนางได้กลับคืนมาอีกครั้ง นางจึงเอนกายพิงผนังรถม้าอย่างสบายใจ...ส่วนแววตาที่แสร้งทำเป็นเลื่อนลอยนั้นมาบัดนี้กลับทอประกายแห่งความเย็นชาและมุ่งมั่นมากขึ้นกว่าเดิม (ได้เวลาทวงคืนทุกสิ่งที่เป็นของเจ้าของร่างนี้...พร้อมกับดอกเบี้ยแล้ว...เหมยลี่) ทันใดนั้นเอง...นางก็สัมผัสได้ถึงไอเย็นที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นในรถม้า...ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นวิญญาณของนางจาง อาเฉียง และเสี่ยวเฉิน ที่ลอยเข้ามานั่งอย่างเบียดเสียดอยู่ตรงข้ามกับนางด้วยท่าทีตื่นเต้น 'นายหญิง/พี่สาว...ท่านจะให้พวกเราติดตามกลับไปเมืองหลวงด้วยจริง ๆ หรือขอรับ/เจ้าคะ?' เสียงของทั้งสามดังขึ้นพร้อมกันในหัวของจื่อเหยา แววตาโปร่งแสงของพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังอย่างปิดไม่มิด จื่อเ
"พวกเจ้ารีบไป!" จ้าวมามาหันไปสั่งบ่าวรับใช้หญิงสองคนที่ติดตามมาด้วย "ช่วยกันจับตัวคุณหนูใหญ่ไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย! เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ข้าเตรียมมาให้เรียบร้อย! เราจะให้ท่านเจ้ากรมหลี่เห็นหลานสาวสุดที่รักในสภาพเช่นนี้ไม่ได้เป็นอันขาด!" บ่าวรับใช้หญิงร่างกำยำสองคนรับคำแล้วเดินตรงเข้ามาหาจื่อเหยาทันที แต่ยังไม่ทันที่มือหยาบกร้านของพวกนางจะได้แตะต้องตัวของจื่อเหยา! เสียงกรีดร้องอย่างแหลมหูของเด็กสาวที่นั่งขดอยู่เป็นก้อนกลมพลันส่งเสียงออกมา...พร้อมกันนั้นนางก็ได้ดีดตัวลุกขึ้นราวกับกระต่ายตื่นตูม! นางถอยกรูดไปจนชิดมุมห้อง แววตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและบ้าคลั่งอย่างสมจริง! ไม่เพียงแค่นั้น นางยังคว้าแจกันดินเผาที่ร้าวบิ่นใบหนึ่งขึ้นมาถือไว้ในมือเพื่อเป็นอาวุธอีกด้วย ซึ่งท่าทางของนางในยามนี้ทำให้จ้าวมามาถึงตกตะลึง&
เมื่อนางกลับมานั่งลงที่มุมเดิม เจ้าตัวก็รีบหักขนมเปี๊ยะชิ้นโตส่งให้วิญญาณของเสี่ยวเฉินที่กำลังลอยอยู่ไม่ห่างด้วยแววตาที่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ 'เอาไปสิ' 'ขอบพระคุณพี่สาว!' เสี่ยวเฉินรับของเซ่นไหว้นั้นมาด้วยความดีใจเช่นเดิม จากนั้นเขาก็รีบกินมันเข้าไปด้วยความเอร็ดอร่อยทันที เมื่อเห็นท่าทางของเด็กชายเช่นนี้จื่อเหยาก็อดที่จะยิ้มออกมาอย่างรู้สึกเอ็นดูไม่ได้ แล้วในระหว่างนี้นางก็ได้อาศัยการตรวจสอบเรื่องกับดักซ้ำกับระบบอีกครั้งแม้ว่านางจะไว้ใจต่อคำรายงานของเสี่ยวเฉินก็ตาม...ถึงกระนั้นนางคิดว่าอย่างไรเสียก็ไม่ควรจะประมาท [ระบบ ช่วยตรวจสอบเส้นทางในอุโมงค์ให้ที ว่าปลอดภัยตามคำรายงานของเสี่ยวเฉินหรือไม่] ติ๊ง!&n







