LOGINหลังจากที่นายอำเภอหวังได้ลากตัวบัณฑิตเฝิงและเสี่ยวชิวผู้เป็นฆาตกรตัวจริงจากไปแล้ว คืนนั้นทั้งคืนเรือนเมฆาคล้อยก็ตกอยู่ในความเงียบงันอันน่าประหลาด
ไม่มีแม้แต่เสียงกระซิบกระซาบใด ๆ มีเพียงสายลมยามค่ำคืนที่พัดหวีดหวิวราวกับกำลังขับขานเรื่องราวที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งเพิ่งเกิดขึ้น
เช้าวันรุ่งขึ้น ข่าวลือก็ได้แพร่สะพัดออกไปไกลเกินกว่าแค่ในเรือนพัก...ชาวบ้านในหมู่บ้านเมฆาคล้อยต่างร่ำลือกันปากต่อปากถึงคุณชายหลี่เหยาบัณฑิตหนุ่มปริศนาผู้ปรากฏตัวขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน
แต่กลับสามารถคลี่คลายคดีฆาตกรรมซ้อนที่ซับซ้อนได้ราวกับมีตาทิพย์ สามารถมองเห็นเรื่องราวทะลุปรุโปร่งไปเสียทุกอย่าง แต่เจ้าของตำนานคนใหม่ในยามนี้กลับกำลังนั่งขมวดคิ้วอยู่เงียบ ๆ ภายในห้องพักของตน
หลังจากจื่อเหยาพักผ่อนได้ไม่นาน ร่างโปร่งแสงสองร่างก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของนาง จึงทำให้เธอสะดุ้งตกใจเล็กน้อยก่อนจะเก็บอาการของตนให้เป็นปกติ
'ทำไมยังอยู่กันอีก' นางคิดอย่างสงสัยถึงวิญญาณทั้งสองดวงที่กำลังมองมาทางตนด้วยความซาบซึ้งใจ
และยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะได้รับคำตอบ ร่างน่าสังเวชใจทั้งสองก็ได้คุกเข่าลงและคำนับนางอย่างนอบน้อมเป็นการขอบคุณที่ช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้แก่พวกเขา
'เอาละ ข้ารับคำขอบใจของพวกเจ้าแล้ว' นางกล่าว ก่อนจะรู้สึกแปลกใจที่ยังไม่เห็นร่างวิญญาณทั้งคู่จะหายไป
'พวกท่านไปตามทางของตนเถอะ' นางกล่าวออกมาอีกครั้ง ทว่าทุกสิ่งก็ยังคงเหมือนเดิม อีกทั้งดูเหมือนว่าร่างของพวกเขากลับเด่นชัดขึ้นจากเดิมและไม่มีทีท่าว่าจะจากไปเสียด้วย
[ติ๊ง!] ในขณะที่หรงจื่อเหยายังจับต้นชนปลายไม่ได้ เสียงของระบบไขความจริงพลันดังขึ้นในหัวของเธอ
[ท่านไขคดีฆาตกรรมซ้อนและเปิดโปงแผนการที่ซับซ้อนได้สำเร็จ รางวัลพิเศษ: องครักษ์แห่งวิญญาณระดับ 1 คำอธิบาย: วิญญาณของผู้ตายที่ท่านช่วยเหลือและมีความผูกพันกับคดี จะถูกผูกติดและยอมรับท่านเป็นนายหญิง และท่านสามารถเรียกใช้เพื่อสืบข่าวสารในบริเวณที่วิญญาณสิงสู่ได้จนกว่าพวกเขาจะหมดห่วงอย่างแท้จริง]
"อะไรนะ!?" จื่อเหยาเผลอร้องออกมาเสียงดัง พร้อมกับยกมือขึ้นกุมขมับทันที (ให้ตายสิ! แค่เห็นผีก็ปวดหัวจะแย่แล้ว นี่ยังจะมีวิญญาณมาเป็นผู้ติดตามอีกอย่างนั้นเหรอ)
แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดอะไรต่อ เสี่ยวชุนก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดอาหารเช้าพอดี
"คุณหนู ท่านดูสิเจ้าคะ พวกเขาใช่กลั่นแกล้งเราหรือไม่" เสี่ยวชุนฟ้องผู้เป็นนายทันทีด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
จื่อเหยามองสิ่งที่วางอยู่บนถาดนั้นแล้วก็ทำให้นางต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่...เพราะมันคือข้าวต้มถ้วยเล็ก ๆ ที่เหลวใสจนแทบจะไม่มีเมล็ดข้าวให้เห็น
ทว่า...ในวินาทีนั้นเอง จื่อเหยาก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา นางเหลือบมองชามข้าวต้มในถาดสลับกับวิญญาณสองตนที่ยืนนิ่งอย่างนอบน้อมอยู่ห่าง ๆ
(หึ หึ ในวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ) นางคิด ก่อนจะหันไปทางดวงวิญญาณทั้งสองตน 'ข้ายอมรับพวกเจ้าเป็นองครักษ์วิญญาณก็ได้ แต่มีเงื่อนไข'
วิญญาณทั้งสองพยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียง
'พวกเจ้าต้องทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของข้าในเรือนนี้ดีขึ้นข้าต้องการรู้ความลับของทุกคนที่นี่ ใครก็ตามที่สามารถทำให้ข้าอยู่ดีกินดีและจัดการบ่าวไพร่พวกนี้ให้อยู่หมัดได้ ข้าจะยอมรับพวกเจ้าเป็นองครักษ์'
อาเฉียงซึ่งเป็นวิญญาณบุรุษดูจะมีโทสะมากกว่านางจาง 'นายหญิงโปรดบัญชามาเถิด หรือจะให้ข้าน้อยไปหลอกหลอนพวกมันให้จับไข้หัวโกร๋น พวกมันจะได้ไม่กล้าหือกับนายหญิงอีก' แม้น้ำเสียงของเขาจะยานคางกระนั้นใบหน้าแทบจะฉีกคนให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้เลยทีเดียว
"ไร้ประโยชน์" จื่อเหยาเผลอแย้งขึ้นอย่างลืมตัว
"คุณหนู ท่านหมายถึงบ่าวหรือเจ้าคะ" เสี่ยวชุนทำหน้าตาจะร้องไห้หลังได้ยินคำพูดของผู้เป็นนาย
"ไม่ใช่ ข้าไม่ได้ว่าเจ้าข้ากำลัง..." จื่อเหยารู้สึกอับจนหนทางยิ่งนัก เพราะหากจะให้นางพูดความจริงก็กลัวบ่าวตัวน้อยจะหวาดกลัว "ข้าว่าบ่าวพวกนั้นต่างหาก" จื่อเหยารีบแก้ตัว
"จริงนะเจ้าคะ" แววตาของเสี่ยวชุนในตอนนี้ช่างเหมือนลูกสุนัขตัวน้อยไม่มีผิด มันทั้งดูใสซื่อและบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก
"จริงสิ" จื่อเหยายืนยัน ก่อนจะแสร้งหลับตาและสื่อสารกับวิญญาณตรงหน้าต่อไป 'หากพวกมันป่วยกันหมด แล้วใครจะทำงานให้ข้าเล่า? ข้าไม่ต้องการความวุ่นวาย ข้าต้องการการควบคุมและการควบคุมที่ดีที่สุด...มาจากข้อมูล เข้าใจหรือไม่'
เมื่อได้ยินเช่นนั้น วิญญาณของนางจางซึ่งเคยเป็นหัวหน้าแม่ครัวและรู้เรื่องชาวบ้านดีที่สุดก็ตาโตเป็นประกาย นางรีบรายงานทันที
'นายหญิงเจ้าคะ! นางหลิน...คนที่ขึ้นมาเป็นแม่ครัวแทนบ่าว มันชอบยักยอกของดี ๆ ในครัวไปให้บ้านสามีของมันเสมอเจ้าค่ะ! แล้วก็เอาของเน่าเสียมาทำอาหารให้บ่าวไพร่กิน!'
อาเฉียงรีบเสริมเพราะกลัวจะไม่ได้รับการยอมรับ 'ถ้าเรื่องเช่นนี้ ข้าน้อยก็พอรู้เรื่องของพ่อบ้านสวีมาเหมือนกันขอรับ ชายคนนี้แม้เขากลัวภรรยาของตนเองยิ่งกว่าอะไรดี แต่กลับแอบเลี้ยงดูแม่นางไป๋หลี่นักแสดงจากโรงงิ้วในอำเภอไว้เป็นบ้านเล็ก ซ่อนไว้ที่กระท่อมท้ายหมู่บ้านขอรับ!'
หลังจากนั้นเรื่องราวซุบซิบและความลับสกปรกของคนในเรือนก็พรั่งพรูออกมาจากปากของวิญญาณทั้งสองไม่หยุด จนจื่อเหยามองเห็นช่องทางที่จะพลิกสถานการณ์ของตนเองได้อย่างชัดเจน
นางยิ้มมุมปาก 'ดี...ดีมาก' สิ้นคำกล่าวนี้นางก็พลันลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมกับหันไปสั่งบ่าวรับใช้ผู้ซื่อสัตย์
"เสี่ยวชุน เจ้าจงไปที่โรงครัว บอกนางหลินว่าข้าวต้มถ้วยนี้ไม่ใช่อาหารสำหรับคุณหนูใหญ่ ให้ทำสำรับใหม่มาให้ข้าเดี๋ยวนี้ต้องเป็นข้าวสวยร้อน ๆ กับข้าวสามอย่างที่ดีที่สุด"
"แต่ว่า...นางหลินคงไม่ยอมแน่เจ้าค่ะ" เสี่ยวชุนกล่าวอย่างกังวล
"ถ้าเช่นนั้นก็ดี...ข้าจะได้มีเหตุผลไปเยี่ยมเยียนโรงครัวด้วยตนเองสักครา"
และก็เป็นดังคาด ไม่นานนักเสี่ยวชุนก็วิ่งหน้าตื่นกลับมารายงานว่านางหลินไม่ยอมทำตาม แถมยังอ้างว่าเป็นคำสั่งของพ่อบ้านสวีที่ให้ประหยัด
จื่อเหยาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง นางเดินออกจากห้องพักเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่คดีคลี่คลาย การปรากฏตัวของนางทำให้เหล่าบ่าวไพร่ที่อยู่บริเวณนั้นต่างพากันหยุดชะงักและหลีกทางให้โดยอัตโนมัติ พร้อมกับทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่นางด้วยความยำเกรงอย่างไม่รู้ตัว
นางเดินตรงไปยังหน้าโรงครัว ที่ซึ่งพ่อบ้านสวียืนกอดอกรออยู่ด้วยสีหน้าไม่พอใจหลังจากได้ยินคำขอของคุณหนูผู้ถูกเนรเทศ
"คุณหนูใหญ่ ท่านมีธุระอะไรกับโรงครัวเช่นนั้นรึ?" เขาถามเสียงแข็ง จื่อเหยาไม่ตอบคำถามนั้น แต่นางก้าวเข้าไปใกล้แล้วกระซิบด้วยเสียงที่เบาพอให้ได้ยินกันแค่สองคน
"พ่อบ้านสวี...ข้าไม่ทราบว่าการประหยัดของท่าน จะรวมถึงค่าใช้จ่ายที่ท่านมอบให้...แม่นางไป๋หลี่ด้วยหรือไม่ ข้าอยากรู้ยิ่งนัก หากฮูหยินของท่านที่อยู่ในเมืองหลวงทราบเรื่องนี้เข้านางจะว่ากระไร?"
ฉับพลัน! ใบหน้าที่เคยขึงขังของพ่อบ้านสวีก็ซีดขาวราวกับไก่ต้ม! เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นเต็มหน้าผาก เขามองจื่อเหยาด้วยสายตาราวกับเห็นภูตผีปีศาจ
ที่เขาหวาดกลัวนั้นย่อมมีเหตุผลหากนังแก่ที่เมืองหลวงรู้เข้า...เขาจะมีความสุขได้เช่นไรอีกทั้งไหนจะงานนี้อีก รวมถึงผลประโยชน์ที่ควรได้อีกหลายอย่างด้วย ที่สำคัญคือไป๋หลี่นางกำลังมีทายาทตัวน้อย ๆ ให้เขาเชยชม
ทว่า "คุณหนูใหญ่ท่านพูดอะไร" เขายังแสร้งทำเป็นไขสือ
"ท่านไม่รู้จริงอย่างนั้นหรือ" หรงจื่อเหยาหรี่ตามอง ซึ่งท่าทางเช่นนี้ของนางยิ่งทำให้พ่อบ้านวัยกลางคนเริ่มรู้สึกหนาวไปถึงไขสันหลัง กระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมรับ
"ถ้าเช่นนั้นเห็นทีว่า ข้าคงต้องไปเยี่ยมแม่นางไป๋หลี่ที่คณะโรงงิ้วสักหน" จบคำพูดนี้พ่อบ้านผู้ทระนงตนก็หน้าซีดเอ่ยปากสั่นทันที
"ขะ...ข้าน้อยผิดไปแล้ว!" เขากล่าวพลางค้อมตัวลงต่ำจนแทบจะติดพื้น พร้อมกับคิดว่า (นางรู้ได้อย่างไร) เจ้าตัวพยายามขบคิดและก็ได้โยงไปถึงญาติผู้น้องของคนตรงหน้า (หรือว่าคุณชายหลี่คนนั้นจะมีตาทิพย์จริง ๆ )
"ข้าน้อยผิดไปแล้วขอรับ! ข้าน้อยจะสั่งให้โรงครัวจัดสำรับที่ดีที่สุดให้คุณหนูใหญ่ทันทีขอรับ! ขอคุณหนูใหญ่โปรดเมตตาด้วย!"
"ได้สิ หากท่านดูแลข้าเป็นอย่างดี เรื่องอาหารการกินรวมถึงเบี้ยหวัดที่ควรได้ก็ต้องได้ ข้ารับรองได้ว่าลูกชายของท่านจะคลอดออกมาอย่างปลอดภัย" จบคำกล่าวนี้ของนางก็ยิ่งทำให้ใบหน้าของพ่อบ้านเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเป้ง ๆ ผุดขึ้นมามากมาย
"ขะ...ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ" พ่อบ้านสวีตอบรับเสียงสั่น และหลังจากวันนั้นเป็นต้นมาหรงจื่อเหยากับเสี่ยวชุนก็ใช้ชีวิตสุขสบายขึ้นมากภายในเรือนเมฆาคล้อยแห่งนี้อย่างแท้จริง
หลายเดือนผ่านไปนับตั้งแต่วิกฤตการณ์ที่เมืองเหยียนสุ่ย...ผ่านพ้น ในตอนนี้ฤดูร้อนที่ร้อนระอุได้ผ่านไปนานแล้วและถูกแทนที่ด้วยสายลมเย็นสบายแห่งต้นฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้รอบเรือนเมฆาคล้อยเริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวชอุ่มเป็นสีเหลืองทองอร่าม บรรยากาศที่เคยเต็มไปด้วยความตึงเครียด บัดนี้กลับสงบสุขและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา จื่อเหยาได้ใช้ช่วงเวลาหลายเดือนนี้ในการฟื้นฟูร่างกายและสร้างฐานอำนาจเล็ก ๆ ของนางขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ โดยอาศัยชื่อเสียงของคุณชายหลี่เหยาที่ตอนนี้ได้กลายมาเป็นตำนานที่เล่าขานกันไปทั่วทั้งอำเภอ แต่กลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาเลยแม้แต่คนเดียว บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่จื่อเหยากำลังนั่งอ่านตำราแพทย์ที่พ่อบ้านสวีอุตส่าห์ไปหามาให้อย่างใจเย็น โดยมีเหลิ่งเยว่ยืนเฝ้าอารักขาอยู่ไม่ห่างนั้นเองที่ตัวตนของนางถูกจื่อเหยารู้แล้วจากอาการบาดเจ็บในครั้งก่อน...เสียงฝีเท้าที่รีบร้อนของพ่อบ้านสวีก็ดังขึ้นจากทางเดินหน้าห้องพัก&nb
เหลิ่งเยว่เตรียมจะรับคำ ทว่าได้มีเสียงของเสี่ยวชุนดังแทรกขึ้นมาอย่างสั่นกลัว "คะ...คุณหนูเราต้องฆ่าพวกเขาเลยหรือเจ้าคะ" คำถามที่เต็มไปด้วยความไร้เดียงสาและหวาดกลัวของเสี่ยวชุน ทำให้หรงจื่อเหยาที่กำลังจะออกคำสั่งต่อไปถึงกับชะงักงันพร้อมกับคิดว่าโชคดีที่นางได้ให้นางจางกับอาเฉียงหลอกล่อเสี่ยวเฉินออกไป ก่อนที่นางจะหันไปมองบ่าวรับใช้คนสนิทที่อยู่กับนางมาตั้งแต่ต้น...ใบหน้าของเสี่ยวชุนซีดเผือด ดวงตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำใส ร่างกายของนางสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม...ที่ไม่ใช่เกิดจากการแสดงอีกต่อไปแล้ว จื่อเหยารู้สึกราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจของตน...นางเกือบลืมไปแล้ว...ว่าเด็กสาวตรงหน้า...ก็เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น นางเดินเข้าไปหาเสี่ยวชุนช้า ๆ แววตาที่เคยเย็นเยียบพลันอ่อนแสงลงเล็กน้อย "
ช่วงเย็นจนถึงช่วงหัวค่ำภายในโรงเตี๊ยมจิ่นซิ่วของเมืองอันคังผ่านไปอย่างเงียบสงัด...แต่สำหรับหรงจื่อเหยาแล้ว นางรู้ดีว่านี่เป็นเพียงความเงียบที่ซ่อนเร้นไว้ซึ่งกระแสคลื่นใต้น้ำอันรุนแรง ทั้งนี้เป็นเพราะนางรู้เรื่องแผนการบางอย่างมาจากสายลับพิเศษนั่นเอง หากจะเป็นเรื่องอันใดนั้น คงต้องย้อนกลับไปก่อนหน้าในตอนที่นางสั่งให้วิญญาณของนางจางไปตามติดอยู่กับจ้าวมามา 'นายหญิงเจ้าคะ...' เสียงกระซิบที่เย็นเยียบของวิญญาณป้าจางดังขึ้นในหัวของนางตั้งแต่ตอนที่ขบวนรถม้าเพิ่งผ่านเข้าประตูเมืองอันคังมาได้ไม่นานนัก 'เมื่อครู่...ข้าน้อยได้ยินนางพูดคุยกับบ่าวรับใช้ที่ชื่อเสี่ยวถัง...นางกำชับนังเด็กนั่นว่าเมื่อไปถึงเมืองอันคัง ให้รีบไปติดต่อญาติห่าง ๆ ของนางที่ชื่อจิ่วกุ่ยหวัง ฉายาหวังขี้เมา...ดูเหมือนว่าพวกมันจะวางแผนใช้ชายผู้นี้ให้มาสร้างเรื่องอื้อฉาวเพื่อทำลายชื่อเสียงของนายหญิงในคืนนี้เจ้าค่ะ!'
เมื่อขึ้นมานั่งภายในรถม้า...จื่อเหยาก็รู้สึกว่าความเป็นส่วนตัวของนางได้กลับคืนมาอีกครั้ง นางจึงเอนกายพิงผนังรถม้าอย่างสบายใจ...ส่วนแววตาที่แสร้งทำเป็นเลื่อนลอยนั้นมาบัดนี้กลับทอประกายแห่งความเย็นชาและมุ่งมั่นมากขึ้นกว่าเดิม (ได้เวลาทวงคืนทุกสิ่งที่เป็นของเจ้าของร่างนี้...พร้อมกับดอกเบี้ยแล้ว...เหมยลี่) ทันใดนั้นเอง...นางก็สัมผัสได้ถึงไอเย็นที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นในรถม้า...ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นวิญญาณของนางจาง อาเฉียง และเสี่ยวเฉิน ที่ลอยเข้ามานั่งอย่างเบียดเสียดอยู่ตรงข้ามกับนางด้วยท่าทีตื่นเต้น 'นายหญิง/พี่สาว...ท่านจะให้พวกเราติดตามกลับไปเมืองหลวงด้วยจริง ๆ หรือขอรับ/เจ้าคะ?' เสียงของทั้งสามดังขึ้นพร้อมกันในหัวของจื่อเหยา แววตาโปร่งแสงของพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังอย่างปิดไม่มิด จื่อเ
"พวกเจ้ารีบไป!" จ้าวมามาหันไปสั่งบ่าวรับใช้หญิงสองคนที่ติดตามมาด้วย "ช่วยกันจับตัวคุณหนูใหญ่ไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย! เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ข้าเตรียมมาให้เรียบร้อย! เราจะให้ท่านเจ้ากรมหลี่เห็นหลานสาวสุดที่รักในสภาพเช่นนี้ไม่ได้เป็นอันขาด!" บ่าวรับใช้หญิงร่างกำยำสองคนรับคำแล้วเดินตรงเข้ามาหาจื่อเหยาทันที แต่ยังไม่ทันที่มือหยาบกร้านของพวกนางจะได้แตะต้องตัวของจื่อเหยา! เสียงกรีดร้องอย่างแหลมหูของเด็กสาวที่นั่งขดอยู่เป็นก้อนกลมพลันส่งเสียงออกมา...พร้อมกันนั้นนางก็ได้ดีดตัวลุกขึ้นราวกับกระต่ายตื่นตูม! นางถอยกรูดไปจนชิดมุมห้อง แววตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและบ้าคลั่งอย่างสมจริง! ไม่เพียงแค่นั้น นางยังคว้าแจกันดินเผาที่ร้าวบิ่นใบหนึ่งขึ้นมาถือไว้ในมือเพื่อเป็นอาวุธอีกด้วย ซึ่งท่าทางของนางในยามนี้ทำให้จ้าวมามาถึงตกตะลึง&
เมื่อนางกลับมานั่งลงที่มุมเดิม เจ้าตัวก็รีบหักขนมเปี๊ยะชิ้นโตส่งให้วิญญาณของเสี่ยวเฉินที่กำลังลอยอยู่ไม่ห่างด้วยแววตาที่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ 'เอาไปสิ' 'ขอบพระคุณพี่สาว!' เสี่ยวเฉินรับของเซ่นไหว้นั้นมาด้วยความดีใจเช่นเดิม จากนั้นเขาก็รีบกินมันเข้าไปด้วยความเอร็ดอร่อยทันที เมื่อเห็นท่าทางของเด็กชายเช่นนี้จื่อเหยาก็อดที่จะยิ้มออกมาอย่างรู้สึกเอ็นดูไม่ได้ แล้วในระหว่างนี้นางก็ได้อาศัยการตรวจสอบเรื่องกับดักซ้ำกับระบบอีกครั้งแม้ว่านางจะไว้ใจต่อคำรายงานของเสี่ยวเฉินก็ตาม...ถึงกระนั้นนางคิดว่าอย่างไรเสียก็ไม่ควรจะประมาท [ระบบ ช่วยตรวจสอบเส้นทางในอุโมงค์ให้ที ว่าปลอดภัยตามคำรายงานของเสี่ยวเฉินหรือไม่] ติ๊ง!&n







