Share

บทที่ 4 บ้านใหม่ดีนัก

last update Last Updated: 2025-12-15 23:24:40

นางกางกระดาษเซวียนจื่อสำหรับใช้ในราชสำนัก

ที่เป็นโฉนดที่ดินอันเป็นที่ตั้งของบ้าน ซึ่งนางเพิ่งซื้อมาด้วยเงินสิบตำลึงอย่างแปลกใจ พร้อมทบทวนจากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่

         ‘บ้านเก่าแล้ว เจ้าของเดิมมีหลายหลังอยากขายมันออกบ้างเพราะดูแลไม่ไหว จึงขายเพียงสิบตำลึง เจ้าอย่าคิดมากในสภาพบ้านทั้งหมด ที่นี่ราคาดีที่สุดและบ้านโครงสร้างแข็งแรง’

         นางไม่ใช่เชื่อคนง่าย แต่คิดในหัวว่าราคาบ้านแค่นี้

น่าจะต้องซ่อมแซมอีกมาก ไม่เช่นนั้นคงไม่ขายราคาถูกราวกับร้อนเงินเช่นนี้ แต่สิ่งที่ตาเห็นกับสิ่งที่คิดไว้สวนทางกันอย่างสิ้นเชิง

         “นะ...นี่บ้านเราหรือขอรับ” หลิงเผิงตกตะลึง

เขาไม่เคยอยู่บ้านหลังใหญ่ และไม่เคยเห็นบ้านหลังใหญ่กับตาตนเองด้วย แต่นี่เขากำลังจะเป็นเจ้าของบ้านที่หลังใหญ่ขนาดนี้ นี่เขากำลังฝันไปหรือไม่

         “ใช่แล้วลูกไม่ผิดแน่” จากตอนแรกที่คิดว่ามาบ้านผิดหรือไม่ แต่เจ้าหน้าที่ก็ยืนยันหนักแน่นว่าบ้านของนางอยู่เขตชานเมือง เป็นบ้านตรงกลางระหว่างเรือนอีกสองหลังที่ห่างออกไป ทั้งเป็นส่วนตัวและเงียบสงบเหมาะกับการพักผ่อนอย่างมาก และนั่นคือสิ่งที่นางชอบ ไม่วุ่นวายและเงียบสงบ เหมาะกับการใช้พักผ่อนเลี้ยงบุตรชายและบุตรสาวทั้งสองนัก

         “บ้านใหญ่มากขอรับท่านแม่ และก็เหมือนเรือนใหม่อีกด้วย ด้านหลังยังมีเล่าไก่อยู่อีกด้วย ไม่รู้ว่าเจ้าของเดิมก็ชอบเลี้ยงไก่เช่นกัน ข้ามีเล้าไก่ให้อิงเอ๋อร์ อิงหลิว และอิงผิงแล้ว”

         เสียงตะโกนพร้อมวิ่งรอบบ้านอย่างดีใจของลูกชายทำให้นางประหลาดใจ กระทั่งเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ก็มีด้วย ราวกับเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ในใจนาง รับรู้ว่านางต้องการบ้านแบบไหน

         บ้านนี้เป็นเรือนแบบสี่ประสาน มีประตูถึงสองชั้นราวกับบ้านขุนนางใหญ่ เพียงแต่ขนาดเล็กกว่า กลางบ้านมีบ่อน้ำเล็ก ๆ สำหรับเลี้ยงปลา มีที่นั่งจิบชาผ่อนคลาย

มีห้องครัวที่เหมือนทำเสร็จใหม่ไม่กี่วัน แต่ที่ต้องตกใจคืออาหารแห้งเครื่องปรุงทุกอย่างครบครัน โดยเจ้าหน้าที่บอกว่าของพวกนี้ถือเป็นของขวัญขึ้นบ้านใหม่ของคนที่มาซื้อ

ไม่คิดตำลึงเพิ่ม

         “นี่บ้านที่สวรรค์ประทานให้ข้าหรืออย่างไร เหตุใดครบถ้วนเช่นนี้”

         หลังจากขนของเข้าบ้านนาง โดยมีเพียงหีบหนึ่งหีบ กับเล้าไก่สามตัวของลูกชาย นางจึงจ่ายตำลึงค่าจ้างให้กับท่านลุงกู่และบอกลากันที่หน้าบ้าน

         “ท่านลุงกู่ ข้ามีเรื่องอยากขอร้องท่านลุงสักเรื่อง”

         คนขับรถม้ารับเงินแล้วเงยหน้าขึ้น พร้อมกับกำลังรอว่านางจะขอร้องเขาเรื่องอะไร

         “เรื่องที่ส่งข้าวันนี้รบกวนปิดเป็นความลับ หากผู้ใดถามให้บอกว่าส่งข้ากับลูกร่วมไปกับขบวนสินค้าจากพ่อค้าต่างแคว้น ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ใดแล้ว”

         แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่ต้องขอร้องกันหนักสักหน่อย เพราะไม่รู้ว่าภายหน้าหากตระกูลเยียนต้องการตามหานาง เขาจะมาทำให้นางกับลูกลำบากอีกหรือไม่

         “อย่าห่วงไป ข้าไม่บอกใครแน่นอน หลังจากส่งเจ้าข้ายังต้องไปรับจ้างส่งคนที่อื่นต่อ ไม่กลับไปที่บ้านเดิมภายในสองสามเดือนนี้แน่นอน” ลุงกู่บอก ในขณะที่กำลังจะก้าวขึ้นรถม้าเพื่อออกเดินทางต่อไปนั่น เขาก็หันกลับมาพูดเรื่องบางอย่างกับนาง

         “หากเจ้าอยากอยู่ที่นี่อย่างปลอดภัย ลองขอความช่วยเหลือแม่ทัพเหอดู ข้าได้ฟังเรื่องของเขามาตลอดทาง เหล่าทหารต่างพูดว่า หากมีคนที่ต้องการจะซ่อนตัว ขอแค่เอ่ยปากแม่ทัพเหอก็ไม่ให้คนหาเจอตลอดชีวิตได้”

         “อ้อ...เป็นเช่นนั้นหรือ” หยางหยู่เฟยรับคำ ก่อนจะโค้งให้กับท่านลุงกู่แล้วลาจากกันไป แต่ภายในใจก็ยังคิดถึงคำพูดท่านลุงกู่

         “แม่ทัพเหออีกแล้วเหรอ” นางพึมพำเบา ๆ แล้วหันตัวเข้าบ้านพร้อมปิดประตูลงดาลทั้งสองประตูให้เรียบร้อยก่อนเดินเข้าไปในเรือน คิดเรื่องที่กำลังเผชิญหลังตื่นขึ้นจากอาการป่วยที่เหมือนเกิดใหม่ในร่างเดิมอีกครั้ง และพบว่าตนเองมีชีวิตราบรื่นเสียจนคิดว่าชีวิตเดิมของนางจะไม่หวนคืนกลับมาอีกแล้ว การเลือกเส้นทางชีวิตใหม่ของนางเหมือนกับมีมือที่มองไม่เห็นช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไป

ทำให้นางเดินสบายมากขึ้น

         เอาเถอะ จะเป็นมือของใครก็ช่าง แต่ตอนนี้นางต้องจัดการดูแลบ้านให้ดี

         เรือนซื่อจื่อตระกูลเยียน ยามอู่หนึ่งเค่อ

         “พวกเจ้าว่าอะไรนะ นางไปแล้ว ไปไหน” เสียง

เยียนอ๋องซื่อจื่อดังขึ้น หลังจากเยว่ตงรายงานเรื่องที่ให้ไปทำ

         “เรียนซื่อจื่อ ชาวบ้านเล่าว่าองค์หญิงจ้างรถม้าออกไปจากสุสานตระกูลเยียน เดิมคิดว่าจะเพียงไปซื้อของแต่หลังจากนั้นก็ไม่กลับมาอีกเลย นี่ก็ผ่านมาห้าวันแล้วขอรับ”

         ปัง!

         เยว่ตงสะดุ้ง แม้ว่ารายงานอย่างระมัดระวังเพียงใด แต่ทว่าก็ไม่อาจลดไฟโทสะของเยียนอ๋องซื่อจื่อได้ เรื่องนี้นับว่าเขาสะเพร่านักทั้งที่ควรจะให้คนจับตาเอาไว้ แต่นั่นเป็นคำสั่งเดิมของเยียนอ๋องซื่อจื่อ ก่อนจะมีคำสั่งใหม่

หลังรับรู้ว่าองค์หญิงมีคุณชายและคุณหนูตัวน้อย ๆ ที่ใบหน้าถอดจากซื่อจื่อราวกับวาดออกมา

         “เรื่องตั้งห้าวันแล้ว พวกเจ้ายังหานางกับลูกไม่พบ พวกเจ้าใช้ตาหาหรือไม่”

         ไม่บ่อยที่ซื่อจื่อผู้เงียบขรึมและสุขุมจะระเบิดโทสะออกมา ดังนั้นเหล่าองครักษ์จึงก้มหัวแทบแนบกับกระดานบนพื้นเพื่อให้ซื่อจื่อใจเย็นลง

         “หานางให้พบ หากไม่พบไม่ต้องกลับมาหาข้า”

         เยียนเหรินไม่เคยร้อนใจเท่านี้มาก่อน เขาเริ่มสืบเรื่องราวเมื่อห้าปีก่อนนี้อีกครั้ง แต่รู้สึกเหมือนกำลังจะสายไป เรื่องจดหมายเล่นชู้นั้นยังหาที่มาไม่เจอ แต่นางกับลูกหายไปแล้ว เขาคิดอยากชดใช้คืนให้พวกนางแต่นางก็ไม่รออีกต่อไปแล้ว

         ตอนนี้สาวใช้ของนางหวงตานตานไม่รู้ไปอยู่ที่ใด เพราะหลังจากที่นางขอร้องให้ซื่อจื่อรับนางเป็นสตรีข้างเตียงให้อยู่ในเรือนซื่อจื่อต่อไปเพราะไร้ทางไป แต่คนขี้ระแวงอย่างเขากลับเลือกไล่คนที่ทรยศนายออกไป เพราะเชื่อถือและไว้วางใจไม่ได้ ขนาดผู้เป็นนางยังทรยศได้ลงคอ

         มาคิดได้เอาตอนนี้ก็สายไปแล้วจริง ๆ

         จวนแม่ทัพเหอเมืองเสี้ยนหยาง

         โจวฝานเดินลิ่วเข้ามาในห้องพักผ่อนส่วนของท่านแม่ทัพ เมื่อเห็นท่านแม่ทัพกำลังยืนเอามือไผล่หลังมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างจึงหยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะมีเสียงสั่งให้รายงาน

         “ว่ามาเถอะมีอะไร”

         “องค์หญิงเข้าไปที่เรือนที่ท่านแม่ทัพจัดไว้ให้แล้วขอรับ ท่าทางไม่ได้สงสัยสิ่งใดเพียงแปลกใจอยู่บ้างเล็กน้อยขอรับ”

         “อื้ม!” เหอจื่อหยางรับคำแต่ไม่ได้หันกลับ ในใจเพียงคิดถึงรอยยิ้มของนางตอนที่ลมพัดผ้าม่านปลิวออกมา รอยยิ้มนี้พิมพ์ใจนัก ทำให้คนที่ไม่เคยมอบดวงใจให้ใครมาก่อนอย่างเขาถึงกับหลงใหล

         หรืออาจจะเป็นสิ่งที่สวรรค์ลิขิตมาแล้วว่าต้องเป็นนาง เดิมที่เขาก็ไม่ได้สนใจจนคนของเขาสืบทราบมาว่าเยียนอ๋องซื่อจื่อมีปัญหาเกี่ยวข้องกับตน จึงวางคนไว้ใกล้ ๆ และได้รู้เรื่องโง่เขลาในเรือนเยียนอ๋องซื่อจื่อ เดิมคิดจะสอดมือไปช่วย แต่คิดอีกที่ก็ไม่ควรยุ่งจะดีกว่า จึงมองดูอยู่ห่าง ๆ

         “ให้ทำอย่างไรต่อขอรับ” โจวฝ่านถามและรอรับคำสั่งต่อไป

         “จัดคนคุ้มกันให้ดี สั่งคนทั้งหมดหากมีผู้ใดส่งคนมาถามหานางห้ามบอกว่ารู้เห็น ทำให้เหมือนนางและลูก ๆ ไม่มีตัวตนบนโลกนี้แล้วก็พอ มันยังไม่ถึงเวลา”

         “ขอรับ” โจวฝานรับคำ

         เสี้ยนหยางเหมือนเขตปกครองของท่านแม่ทัพ

เหลือเพียงฝ่าบาทพระราชทานอย่างเป็นทางการเท่านั้น

จะซ่อนใครย่อมได้

         “อ้อ...หลานชายของข้าชอบเลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะไก่ จัดคนของเราคอยจับตาดูให้ดี หากมันหลุดมาด้านนอกใครทำร้ายแม้แต่ปลายขน ฆ่า!”

         โจวฝานผงะพร้อมกับตกใจ ออกรบเคียงคู่แม่ทัพมาหลายปี ยังไม่เคยอารักขาไก่เลยสักครั้ง ไม่รู้นี่เป็นกรรมแต่ชาติปางใด ต้องส่งคนไปอารักขาไก่ของคุณชายน้อย

         “สั่งแล้วก็ไปสิ ยืนงงอันใดอยู่หรือเจ้าจะขัดคำสั่งข้า”

         “มิได้ขอรับ...ขะ...ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

         โจวฝานกำชับคนรอบ ๆ บ้านขององค์หญิงหยางหยู่-เฟยว่าห้ามจับไก่กินเด็ดขาด แม้จะเป็นบ้านเรือนของท่านแม่ทัพทั้งหมด ที่จริงสร้างไว้รอองค์หญิงนานแล้ว เพียงแต่องค์หญิงยังไม่ตัดสินใจจะจากมา ท่านแม่ทัพก็ยื่นมือไปช่วยเหลือไม่ได้ เรื่องที่มีการใส่ความท่านแม่ทัพกับองค์หญิงนั้น ท่านแม่ทัพก็รับรู้มานานแล้ว เพียงแต่ซื่อจื่อ

ไม่โวยวายท่านแม่ทัพก็เพียงนิ่งเฉย ทั้งแอบสืบอยู่เงียบ ๆ

ว่าผู้ใดกันที่ปองร้ายและสืบทราบตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว

         ตลอดเวลาที่อยู่สุสาน คนของท่านแม่ทัพปะปนในหมู่บ้านและแอบช่วยเหลืออยู่เงียบ ๆ กระทั่งตอนที่องค์หญิงป่วยชาวบ้านที่หายาไปให้คุณชายน้อยก็เป็นคนของท่านแม่ทัพ แต่เมื่อหายดีองค์หญิงก็เปลี่ยนไปทันที

         ในเรือนมีเครื่องเรือนครบครัน ทั้งชุดเครื่องนอนที่มีครบสามห้อง มีห้องอาบน้ำด้วยกันทุกห้องนอน โดยห้องนอนใหญ่ยังมีสระสำหรับแช่อีกด้วย หากนางไม่ได้จ่ายตำลึงซื้อมาด้วยตนเอง คงคิดว่าบ้านนี้เป็นบ้านขุนนางที่ร่ำรวย ปลูกไว้พักผ่อนสูดอากาศบริสุทธิ์ชานเมืองด้วยซ้ำไป

         “ท่านแม่บ้านของพวกเราดีนักขอรับ” หลิงเผิงจับแม่ไก่ของตนเองใส่เล้าไก่ขนาดใหญ่ แล้วพวกมันก็ไข่ออกมาอีกแล้ววันนี้ เขามีไข่ถึงหกฟองราวกับพวกมันดีใจที่ได้อยู่บ้านหลังใหม่เหมือนเขาเช่นกัน

         “พวกเจ้าชอบแม่ก็ดีใจ ว่าแต่หลิงหลงล่ะ”

นางปล่อยให้ลูก ๆ วิ่งเล่นกันรอบ ๆ บ้านไปก่อน นางจะจัดข้าวของให้เรียบร้อย แบ่งห้องของลูกชายลูกสาวและห้องของนาง พวกเขาจะได้มีห้องส่วนตัวนอนอย่างสบาย

         “เล่นกับปลาในบ่อน้ำหน้าบ้านขอรับ” หลิงเผิง

เห็นน้องสาวเอามือลงไปจุ่มในน้ำหยอกล้อกับปลาในบ่อ จากตอนแรกคิดว่าไม่มีปลา แต่สักพักมันก็แหวกว่ายมาหาพวกเขาราวกับเสกออกมาได้อย่างนั้น

         บ้านหลังนี้น่าอัศจรรย์จริง ๆ

         “เช่นนั้นเจ้าก็ไปเล่นกับน้องเถิด แม่จะหุงข้าวให้เจ้าเอง” หยางหยู่เฟยไม่เคยโล่งใจเท่านี้มาก่อน ต่อไปนี้นางกับตระกูลเยียนตัดขาดกันสิ้นเชิงแล้ว นางคือสตรีแซ่หยางที่ท้องไร้สามี มีบุตรชายบุตรสาวอย่างละคนไว้ดูต่างหน้า

ต่อให้โดนนินทาบ้างนางก็ยอม เป็นสตรีหม้ายไม่ได้ฆ่าใครตาย แต่เป็นสตรีคบชู้สิมีแต่คนจะประณาม แม้นางจะบริสุทธิ์ใจก็ตาม

         สองเด็กตัวอวบแก้มป่องวิ่งเล่นกันจนเลือดฝาดขึ้นบนใบหน้า ชวนให้คนที่แอบมาดูบ้านของนางอมยิ้ม ในมือของเขาจับพ่อไก่ตัวอวบหนึ่งตัว หวังจะนำมาเชื่อมสัมพันธ์

         “เจ้าหนูเพิ่งมาอยู่ใหม่หรือ” เสียงเรียกที่นอกกำแพงทำให้ทั้งสองแสบมองหน้ากัน แล้วด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้ทั้งคู่ปีนขึ้นไปบนกำแพง จากนั้นเห็นบุรุษองอาจคล้ายทหารใบหน้าหล่อเหลา ในมือของเขาถือไก่ตัวใหญ่หนึ่งตัวแล้วก็อดจะแปลกใจไม่ได้ บุรุษผู้นี้ไม่พกกระบี่หรือพัด แต่กลับอุ้มไก่!

         “ท่าน....ลุง...ท่านเป็นใคร”

         “ข้านะหรือ...ข้าก็คือ....” เหอจื่อหยางยังไม่ทันตอบเด็กทั้งสอง ก็ได้ยินเสียงหวานของอีกคนดังขึ้น ภายในใจของเขาเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ

         “เด็ก ๆ ปีนขึ้นไปได้อย่างไร ลงมาเดี๋ยวนี้”

         “ท่านแม่ มีท่านลุงสุดหล่อมาคุยกับข้า”

         คำว่าท่านลุงสุดหล่อทำให้ในใจของหยางหยู่เฟยเต้น นางเพิ่งมาถึงวันแรกก็มีคนมาหา แบบนี้ไม่น่าไว้ใจใช่หรือไม่ ขณะที่นางกำลังจะวิ่งมาอุ้มลูกลงจากกำแพง อีกคนก็กระโดดขึ้นมาบนกำแพง ใบหน้าของเขาทำให้นางขยับก้าวขาไม่ออก

         “ทะ...ท่าน!”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ช่างมารดามันเถอะใครเฝ้าก็เฝ้า   ตอนพิเศษ 3 รับคนหอสุราเหอเหมยลู่

    เสี้ยนหยางอ๋องหลบหน้าลูกสาวออกมา จนเมื่อได้เวลารับรางวัล เขาจึงต้องกลับมาประทานรางวัลให้ โดยผู้ชนะมีสุราชั้นดีสิบไห ไข่ไก่อีกหนึ่งร้อยฟอง เงินรางวัลยี่สิบตำลึง และได้รับขึ้นทะเบียนเป็นทหารสังกัดกองทัพรักษาเมืองเสี้ยนหยางทันที “เก่งมาก นี่โจวอวิ๋นจือเป็นรองแม่ทัพ ให้เขาช่วยชี้แนะเจ้าเถิด” เด็กหนุ่มยืนปาดน้ำตา ในที่สุดก็มีหนทางรอดแล้ว บิดาของเขาเพิ่งเสียชีวิตไม่นาน มารดาต้องลำบากหาเลี้ยงพี่น้องห้าคน เขาเป็นบุตรชายคนโต ไม่ค่อยรู้หนังสือไปค้าขายโดนหลอกเป็นประจำ ดังนั้นจึงอยากมารับราชการทหาร อย่างน้อยได้เรียนอักษรหาเงินให้ท่านแม่ก็ยังดี เขาคุกเข่าโขกศีรษะให้เสี้ยนหยางอ๋องสามครั้ง จากนั้นรับรางวัลแล้วรีบกลับบ้าน “โจวฝาน ให้ทหารพาเขากลับบ้าน มีตำลึงมาก ของเยอะเขาอาจจะถูกปล้นกลางทาง” หยางหยู่เฟยกำชับนั่นจึงทำให้เหอจื่อหยางมองเด็กหนุ่มผู้นี้ดี ๆ อีกหน และพบว่าเป็นจริงดังภรรยาว่า เขาแต่งตัวไม่ดีนัก แน่นอนว่าวันนี้มีผู้มาชมการแข่งขันมาก อาจมีคนอิจฉาและไม่หวังดีกับเขาอยู่บ้าง ดังนั้นมีคนไปส่งยอมจัดการได้ดี แต่ทว่าการประทานรางวัลทั้งหมดยังไม่จบเท่านั้

  • ช่างมารดามันเถอะใครเฝ้าก็เฝ้า   ตอนพิเศษ 2 เขาควรชนะ

    หลังจากนางรั้งสามีให้อยู่กับตัวเอง ก็คิดถึงอยากจ้างขอทานเหล่านั้นให้มาทำงานที่ในสวนปศุสัตว์ของหลิงเผิง และนางก็จะเปิดหอสุราเหอเหมยลู่และรับแรงงานอีกทาง “ท่านอ๋องเจ้าค่ะ ข้าจะเปิดหอสุรา รับคนงานพวกขอทาน พวกเขาจะได้ลืมตาอ้าปากได้” เสี้ยนหยางอ๋องที่กอดประคองภรรยาอยู่ในอ้อมกอด กดจมูกที่ขมับของนาง จากนั้นค่อยกล่าว “ชายาข้าช่างเป็นคนดีเสียจริง” “ใช่ข้าที่ไหนเจ้าคะ ลูกสาวท่านต่างหา เห็นอกเห็นใจขอทาน จนจะลงแข่งขี่ม้ายิงธนู ที่แอบไปให้รองแม่ทัพฝึกให้” ร้อยก็ไม่เชื่อพันก็ไม่เชื่อ ยอดฝีมืออยู่กับนางแล้ว ยังจะไปหาโจวอวิ๋นจือด้วยเหตุอันใด หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าเขารูปงาม “ลูกสาวเจ้าร้ายกาจ รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองยิงธนูไม่เป็นก็ยังจะลงแข่ง คิดว่าข้าอย่างไรก็ต้องให้รางวัลนางสินะ” “ของเช่นนี้ย่อมตรึกตรองมาดีแล้วเจ้าค่ะ” นางรู้สึกว่าสามีโดนสองแสบไถ่เงินจนครึ่งท้องแล้วกระมัง แต่ทว่าไม่มีสิ่งใดไม่ดี อีกสองวันก็ถึงวันงานแข่งแล้ว นางสั่งให้เอาไหสุราหมักขึ้นมาขายเป็นของที่ระลึก นอกจากนี้ขนนกยูงบุรุษชายยังไปหาช่างนำมาทำต่างหูสวยงามขายในร้านเ

  • ช่างมารดามันเถอะใครเฝ้าก็เฝ้า   ตอนพิเศษ 1 สวนปศุสัตว์เหอหลิงเผิง

    ฤดูหนาวผ่านไปสวนปศุสัตว์ของหลิงเผิงเป็นรูปเป็นร่าง สองแฝดได้นำชื่อเข้าผังตระกูลเหอ และเป็นลูกชายและลูกสาวลำดับที่หนึ่งและสองของเขาอีกด้วย ทุกวันหลิงเผิงมักจะออกไปตรวจสวนปศุสัตว์เลี้ยงตระกูลเหอ ที่มีสัตว์แปลก ๆ มากมายพื้นที่ของปศุสัตว์แห่งนี้มีถึงหนึ่งร้อยหมู่ นอกจากไก่ไข่ที่เป็นของขึ้นชื่อจากปศุสัตว์ตระกูลเหอนี้ที่ผู้คนต่างแวะเวียนมาชื่นชม และซื้อกลับโดยสวนปศุสัตว์ของหลิงเผิง สามารถทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำเพราะต้นทุนบิดาจ่าย “ท่านพ่อ...ท่านพ่อ นกกระจอกเทศมีไข่อีกแล้ว ข้าจะได้ลูกนกกระจอกเทศเพิ่มแล้ว” เหอจื่อหยางที่กำลังกอดรัดภรรยาต้องขยับออก เมื่อลูกชายวิ่งมาเล่าเรื่องราวจากปศุสัตว์ที่เลี้ยงเอาไว้ของเขา “เก่ง เจ้าเก่งที่สุด” ถ้อยคำชื่นชมแบบขอไปทีหลุดออกจากปาก โดยผู้ที่เป็นภรรยามองอย่างขบขัน “ข้าว่าพวกมันควรจะจัดแข่งขันกันดีหรือไม่” หลิงเผิงสังเกตมาสักพักแล้ว เขาเห็นว่ามันวิ่งรวดเร็วนัก หากจัดแข่งขันและให้ผู้ชมเสียตำลึงเข้ามานั่งดู ทั้งจัดที่สำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว มีสุราและอาหารย่อมทำให้เกิดความสำราญ หยางหยู่เฟยเห็นว่าความคิดนี้

  • ช่างมารดามันเถอะใครเฝ้าก็เฝ้า   บทที่ 32 บทส่งท้าย

    คฑาหรูอี้หนึ่งคู่ทำจากทองคำประดับด้วยหยกสีเขียวมรกตสว่างยามต้องแสง วางประดับอยู่ในเรือนของทั้งคู่ แน่นอนว่าเป็นของขวัญล้ำค่าจากเหอฮองเฮาที่อยากอวยพรให้ทั้งคู่สมความปรารถนา เหอจื่อหยางและหยาง-หยู่เฟยยืนมองของขวัญที่ทั้งคู่ชื่นชอบและเก็บเอาไว้ใกล้ ๆ วันนี้ครบสามวันแล้วหลังจากแต่งงานงาน การเดินทางกลับเสี้ยนหยางจึงเริ่มต้นขึ้น ข้าวของในจวนของเสี้ยนหยางอ๋องถูกคลุมเอาไว้ ส่วนที่จะเอาไปชายแดนก็ทยอยนำขึ้นรถม้าล่วงหน้าไปแล้วเป็นขบวนยาว ทหารของกองทัพเหอเข้ามาช่วยขนของจากเรือนเสี้ยนหยางอ๋อง และคุ้มกันออกจากเมืองหลวงอีกด้วย เพราะหีบสมบัติของพระชายาเสี้ยนหยางอ๋องมีมากมายนัก ทั้งยังเป็นของจากเยียนอ๋องที่มอบให้บุตรชายและบุตรสาวก็ไม่น้อยสักนิด เมื่อเวลาของการจากลามาถึง พวกเขาจึงต้องเตรียมตัวร่ำลาญาติหนึ่งเดียวของเหอจื่อหยาง นั่นก็คือฮองเฮา เพราะคนอื่นเขาไม่นับเป็นญาติเท่าใดนัก เนื่องจากไม่ใช่คนที่สนิทชิดเชื้อ “เสด็จป้าดูแลสุขภาพด้วย ข้าจะกลับมาเยี่ยมท่านบ่อย ๆ” เหอฮองเฮาเลี้ยงเขามาตั้งแต่ตนเองยังไม่ได้ขึ้นเป็นฮองเฮา ย่อมมีความผูกพันเป็นอันมาก วันนี้เขามาลานา

  • ช่างมารดามันเถอะใครเฝ้าก็เฝ้า   บทที่ 31 เป็นของข้าตลอดไป

    หลังจากเทศกาลจงหยวนผ่านไป มีการจัดงานเทศกาลโคมไฟเป็นพิเศษในปีนี้ เนื่องจากฮองเฮามีรับสั่งเพราะว่าอยากอยู่ชมโคมไฟกับหลานรัก ก่อนที่พวกเขาจะย้ายไปอยู่เสี้ยนหยาง เนื่องจากกรมพิธีการรับหน้าที่จัดงาน คล้ายกับเฉลิมฉลองที่บ้านเมืองปลอดภัยจากกบฏอีกด้วยจึงคึกคักมาก ทุกที่ตั้งแต่หน้าด่านตรวจคนเข้าเมืองจนถึงในวังล้วนประดับประดาโคมไฟสีต่าง ๆ ไว้จนเต็มท้องถนน สร้างความตื่นตาตื่นใจให้เด็ก ๆ ส่วนสองแฝดพี่น้องนั้น เหอจื่อหยางที่อยู่ในช่วงพักผ่อนก่อนแต่งงานพานางและลูก ๆ เที่ยวชมการจัดงานเทศกาลโคมไฟ สองสามีภรรยาเดินจับมือกัน พร้อมกับที่พวกเขาจูงมือลูก ๆ คนละฝั่ง ผู้คนออกมาเดินเล่นคึกคัก แม้วันนี้จะเป็นวันก่อนเทศกาล เพราะว่าพรุ่งนี้ต้องเข้าไปชมโคมไฟร่วมกับฮองเฮาในวัง จึงถือโอกาสพานางกับลูกทั้งสองมาดูด้วยกัน “สวยหรือไม่” เขาหันมาถามนางด้วยรอยยิ้ม “สวยเจ้าค่ะ” หยางหยู่เฟยตอบกลับเขา ตอนเด็กนางมาเที่ยวเทศกาลโคมไฟได้สองปีเท่านั้นก็ถูกจับแต่งงานแล้ว ก่อนหน้านั้นเป็นองค์หญิงที่ถูกขังอยู่แต่ในวังไม่มีอิสรเสรี หากไม่ได้หนีออกมาเที่ยวเล่นเอง วันนี้ได้มีสามีอีกครั้งแล

  • ช่างมารดามันเถอะใครเฝ้าก็เฝ้า   บทที่ 30 ข้ายอมแพ้แล้ว

    “สาบานได้ว่าข้าไม่เคย ไม่เคยจริง ๆ เจ้าคือคนแรก” นางใบหน้าง้ำงอ แม้ว่าจะอธิบายหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่ทว่ายังยืนยันคำเดิม คือไม่เชื่อเพราะเขาดันปากสว่างรู้ตื้นลึกหนาบาง “บุรุษในกองทัพยากนักเชื่อถือ” อยู่ดี ๆ นางก็คิดไปถึงตอนที่ยังอยู่เสี้ยนหยาง นางไปหาเขาที่กองทัพแล้วพบว่าองค์หญิงตานชิงกำลังยั่วยวนเขา ทำให้นางพาลมาโกรธเอาตอนนี้ด้วย “ตอนข้าเห็นท่านในกองทัพ มีสตรีเข้าไปยั่วยวนท่านถึงในกระโจม ยกแข้งแหกขาขึ้นสูง ท่านมองไม่กะพริบตา” เหอจื่อหยางสาบานว่าชาตินี้มองเพียงแต่หยางหยู่-เฟยผู้เดียว ไม่เคยคิดเกินเลยกับสตรีอื่นเลยสักนิด แล้วสตรีที่ไปยั่วยวนเขา...เห็นจะมีคนเดียวกระมัง “นั่นเป็นตานชิง นางดื้อมาที่ด่านปาต้าหลิ่ง แถมยังเอาเรื่องในกองทัพไปพูด ข้าให้ข้อหากบฏนางไปแล้ว เจ้าพอใจหรือยัง” เขาเร่งร้อนอธิบายเพราะไม่อยากให้นางโกรธด้วยไม่อยากนอนคนเดียว อีกอย่างตานชิงที่จริงเหมือนสำคัญ แต่เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งก็เท่านั้น ไม่ได้สลักสำคัญอะไร ฝ่าบาทเพียงอยากมีเชื้อพระวงศ์อยู่ในวัง จึงอุปโลกน์นางขึ้นเป็นองค์หญิงเท่านั้น “แล้วก่อนหน้านี้เล่า ไม่เห็นใช่

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status