เยว่อวิ๋นมองตามหลังแม่สามีที่เดินจากไปจนลับตา จึงไม่พลาดสีหน้าท่าทางทั้งหมดของอีกฝ่าย ทว่านางไม่คิดแยแสแต่อย่างใด คนอย่างแม่เฒ่าเซี่ยยิ่งอ่อนข้อให้ก็มีแต่จะยิ่งได้ใจเท่านั้น
ร่างบางหันหลังเดินกลับมุ่งหน้าไปยังห้องนอนที่สามพ่อลูกอยู่ หากรอพวกเขาจนปรึกษากันเสร็จ เงินนี่คงถูกเรียกร้องขอคืนเป็นแน่ เพราะฉะนั้นที่ควรทำก็ควรรีบ
“ท่านแม่” พอเห็นนางเปิดประตูเดินเข้ามา ใบหน้าเล็กๆ ของเสี่ยวอวี้ก็เผยรอยยิ้มหวานออกมาทันที
เนื่องจากเยว่อวิ๋นให้นางกินอาหาร แล้วยังช่วยเหลือนางกับพี่ชายไม่ให้ถูกผู้เป็นย่าทุบตี ในใจเด็กหญิงจึงเชื่อมั่นและรู้สึกดีกับมารดาคนใหม่เป็นอย่างมาก
“ท่านแม่ ท่านย่าไม่ได้ตีท่านใช่ไหมเจ้าคะ” เสี่ยวอวี้รีบถามอย่างเป็นห่วง เด็กหญิงรู้ดีว่าท่านย่าของตนเป็นคนใจร้าย ท่านแม่ขัดใจนางเช่นนี้มีหรือนางจะไม่ทำอะไร
เด็กน้อยวิ่งมาหยุดเบื้ิองหน้าเยว่อวิ๋น พลางเอียงศีรษะมองสำรวจร่างกายเยว่อวิ๋นด้วยดวงตากลมโตแวววาวเหมือนลูกแมว
“ข้าไม่เป็นอะไร” เยว่อวิ๋นชะงักเล็กน้อยกับคำเรียกขานอันสนิทสนม นางเป็นคนความรู้สึกไว จึงรับรู้ได้ว่าความห่วงใยที่เจ้าตัวเล็กแสดงออกมานั้นเป็นของจริงแท้แน่นอน นี่เป็นสิ่งที่นางไม่เคยได้รับมาก่อน จึงบังเกิดความรู้สึกว่าไม่ค่อยคุ้นชินนัก
“ต้าเป่า ในหมู่บ้านของเรามีหมอหรือไม่” นางจำได้ว่าตอนลงเกวียน นางมองเห็นภูเขาอยู่ไม่ห่างจากที่นี่มากนัก รอให้จัดการธุระเรื่องแยกบ้านเรียบร้อย ค่อยขึ้นไปหาเก็บสมุนไพรมารักษาเซี่ยฉงอวิ๋นภายหลังแล้วกัน
ในเมื่อการรักษาของนางยังไม่อาจทำได้ และเพื่อไม่ให้คนบ้านเซี่ยมาเรียกร้องขอเงินคืน เยว่อวิ๋นจึงวางแผนให้ต้าเป่าไปตามหมอมาจ่ายยารักษาเซี่ยฉงอวิ๋นไปพลางๆ ก่อน
“มีขอรับ ท่านหมอจางที่อยู่ที่อยู่ตีนเขาท้ายหมู่บ้าน เคยมารักษาให้ท่านพ่อขอรับ” ต้าเป่ารีบตอบ
เดิมทีตอนที่บิดาได้รับบาดเจ็บใหม่ๆ ท่านหมอจางก็ถูกตามตัวมารักษา ทว่าเพราะอาการหนักยาที่ใช้หลายตัวมีราคาแพง ท่านย่าไม่อยากเสียเงินเยอะจึงจงใจเอะอะโวยวายหาเรื่องว่าท่านหมอจางต้องการขูดรีดนาง สุดท้ายท่านหมอจางถูกท่านย่ากับป้าใภ้ใหญ่ทำให้มีโทสะจนสะบัดชายเสื้อเดินจากไป
หลังจากนั้นบาดแผลของท่านพ่อก็ไม่เคยได้รับการรักษาอีกเลย…
แม่เลี้ยงถามเช่นนี้หมายความว่าต้องการรักษาบิดาเขาใช่หรือไม่ ดวงตาต้าเป่ากลมโตไม่ต่างจากเสี่ยวอวี้นัก ยามเบิกมองมาที่คนนั้นฉ่ำวาวราวกับลูกสัตว์ตัวน้อยขี้สงสัย
เยว่อวิ๋นมองสบตาอีกฝ่าย แล้วได้แต่นึกในใจว่า แม้จะผอมแห้งไปสักหน่อย แต่เจ้าไชเท้าน้อยก็น่ารักน่าเอ็นดูอยู่นะนี่
“เจ้ารีบไปเชิญหมอจางผู้นั้นมาดูบาดแผลให้บิดาเจ้าเถอะ” เยว่อวิ๋นกล่าวพลางหยิบตำลึงเงินในแขนเสื้อออกมาส่งให้ “รีบไปเร็วๆ ประเดี๋ยวท่านย่ากับครอบครัวนางจะมา”
เยว่อวิ๋นไม่จำเป็นต้องพูดมากความ ต้าเป่าก็เข้าใจในทันที เด็กชายขานรับคำเสียงดัง ขณะวิ่งออกจากห้องไปด้วยความไว
อันที่จริงก่อนหน้านี้ ต้าเป่าได้ยินถ้อยคำที่เยว่อวิ๋นตอบโต้กับย่าตนเองแล้ว ทว่าในใจเขายังคงมีความไม่เชื่อมั่นอยู่ จึงคิดว่ามารดาเลี้ยงเพียงแค่หาข้ออ้างไปส่งๆ เพื่อที่จะเก็บเงินส่วนนี้ไว้เอง
เด็กชายยิ่งคิดก็อดรู้สึกผิดในใจไม่ได้ ใบหน้าน้อยๆ ยับยู่ ขณะที่ดวงตาแดงก่ำขึ้นมาด้วยความละอายปนซาบซึ้ง แม่เลี้ยงดีกับพวกเขายิ่งนัก อนาคตเขาจะกตัญญูและทำดีต่อนางให้มากๆ
“เสี่ยวอวี้” หลังต้าเป่าจากไป เยว่อวิ๋นก็หันมาเรียกเสี่ยวอวี้
“เจ้าค่ะ” ในสายตาเสี่ยวอวี้เวลานี้ มารดาคนใหม่คือเทพธิดาผู้แสนดีที่ตกลงมาจากฟ้า ในดวงตาคู่เล็กๆ นั้นเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีจนไม่อาจปกปิด
เยว่อวิ๋นมุมปากกระตุกเล็กน้อย เจ้าเด็กน้อยนี่เขียนความชื่นชอบนางเอาไว้บนหน้าเสียขนาดนี้ทำเอานางแทบไม่กล้ามองอีกฝ่าย “ข้าต้มน้ำร้อนไว้เช็ดตัวให้ท่านพ่อเจ้า เจ้าช่วยไปดูไฟให้หน่อยได้หรือไม่”
“เจ้าค่ะ” เสียงใสรับคำยังไม่ทันจบดี ร่างเล็กก็วิ่งปรื๋อจากไปแล้ว เยว่อวิ๋นมองตามหลังอีกฝ่ายใบหน้าเผยรอยยิ้มเอ็นดู นางกล่าวกับคนบนเตียงยิ้มๆ
“ต้าเป่ากับเสี่ยวอวี้เป็นเด็กดียิ่ง” ถึงแม้เจ้าตัวจะโชคร้ายไปบ้าง ทว่าสวรรค์ก็ยังปรานีให้เขาได้มีบุตรธิดาที่เฉลียวฉลาดและกตัญญูแบบเจ้าไชเท้าน้อยทั้งสอง
เซี่ยฉงอวิ๋นรับคำเบาๆ ในวันคืนมืดมนที่ผ่านมาของเขา ผ่านมาได้ด้วยบุตรฝาแฝดจริงๆ หาไม่คงสิ้นชีพในบ้านเซี่ยไปนานแล้ว
“ข้าได้ยื่นข้อเสนอกับมารดาของเจ้าไปแล้ว ว่าต้องการแยกครอบครัว” ถึงอย่างไรเซี่ยซื่อก็เป็นมารดาแท้ๆ ของคนตรงหน้า เยว่อวิ๋นจึงต้องบอกกับอีกเขาก่อน ที่สำคัญก็คือนางต้องการรู้ทัศนคติของอีกฝ่ายด้วย “เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร”
ถ้าหากเซี่ยฉงอวิ๋นเป็นเพียงถุงฟางข้าว [1] แล้วยังทำตัวเป็นลูกหนังให้คนเตะกลิ้งเล่นแบบไร้หัวคิด นางก็พร้อมละทิ้งอีกฝ่ายแล้ววางแผนอนาคตแค่ของตนเองกับเจ้าหัวไชเท้าทั้งสองแทน
เซี่ยฉงอวิ๋นคล้ายเข้าใจความคิดของเยว่อวิ๋นได้ ริมฝีปากใต้หนวดเครารุงรังกระตุกยิ้มหยันขึ้นคราหนึ่ง ยามหวนคิดถึงการกระทำที่เซี่ยซื่อปฏิบัติต่อตนที่ผ่านมา
“ถึงตอนนั้นเจ้าก็ให้ต้าเป่าไปตามผู้อาวุโสมาเป็นพยานด้วย จะให้ดีให้พวกเขาร่างหนังสือประทับตะ… รอยนิ้วมือเป็นหลักฐานไว้จะดีที่สุด” เซี่ยฉงอวิ๋นกล่าว ดวงตาสีเข้มอ่อนแสงลงชั่วขณะ ในอดีตหนังสือรายงานของคนผู้นั้นล้วนเป็นเขาที่คอยตรวจประทับตรา จึงเกิดเป็นความเคยชินนี้ขึ้นมา
เยว่อวิ๋นสะดุดใจเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าสามีที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาของนาง จะมีความละเอียดอ่อนรอบรู้ไม่ต่างจากบัณฑิตเช่นนี้ พอเห็นแบบนี้ ก็ทำให้รู้สึกว่าท่าทางของอีกฝ่ายนั้นช่างคุ้นเคย คล้ายกับใครบางคนในความทรงจำของนางเสียเหลือเกิน
“เข้าใจแล้ว ท่านไม่ต้องห่วง” เมื่อรู้ว่าเซี่ยฉงอวิ๋นไม่ใช่คนที่หลับหูหลับตากตัญญู เยว่อวิ๋นจึงค่อยโล่งอกขึ้นมาในที่สุด นางเห็นสภาพเขากับลูกๆ แล้วยังอดห่วงไม่ได้ว่าที่อีกฝ่ายมีชะตากรรมแบบนี้ จะเป็นเพราะโง่งมจนแยกแยะอะไรไม่ออกหรือเปล่า
จบเรื่องที่จะพูด เยว่อวิ๋นก็เดินไปห้องครัวทันที ไม่นานกะละมังใส่น้ำร้อนที่ถูกผสมจนอุ่นดีแล้ว ก็ถูกนางยกเข้ามา แรงกดยวบยาบข้างกายทำให้คนบนเตียงขมวดคิ้วแน่น
“ต้าเป่าไปตามหมอแล้ว ถือโอกาสที่ท่านหมอยังมาไม่ถึง เช็ดตัวท่านรอเลยก็แล้วกัน”
นางเอ่ยเป็นประโยคบอกเล่า แสดงออกชัดเจนว่าไม่ได้ต้องการความคิดเห็นจากเขา เซี่ยฉงอวิ๋นพลันรู้สึกได้ถึงความเย็นจากปลายนิ้วที่สัมผัสแผ่นอกตน จากนั้นไม่นานเสื้อผ้าบนร่างกายก็คลายหลุดออกจากร่างไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มพลันเกิความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาทันที
ภรรยาที่เพิ่งแต่งเข้ามาของตนเองนั้น ดูจะถอดเสื้อผ้าบุรุษได้ชำนาญเกินไปแล้วกระมัง!
[1] เปรียบเปรยถึงคนไร้ประโยชน์ ไม่เอาไหน ไม่เป็นโล้เป็นพาย