นี่ใช่นางเด็กบ้านเยว่ที่ตนเคยเจอจริงน่ะหรือ
แม่เฒ่าเซี่ยเบิกตากว้างมองคนตรงหน้า อีกฝ่ายไม่เหมือนเดิมเลยแม้แต่น้อย คำพูดที่ฉาดฉานแสดงออกถึงความมั่นใจ การกระทำท่าทางทุกอย่างล้วนสง่างาม แฝงด้วยไปกลิ่นอายข่มขวัญกดดันผู้คน แม้แต่ฮูหยินนายอำเภอที่นางเคยได้เห็นไกลๆ ก็ยังไม่อาจเทียบได้
“เจ้าต้องการอะไร” แม่เฒ่าเซี่ยถาม ตอนนี้นางรู้สึกเสียใจเหลือเกินที่ตัวเองยอมรับการเปลี่ยนตัวเจ้าสาว เด็กนี่เลวร้ายยิ่งกว่าย่าของมันเสียอีก
“ข้าต้องการแยกบ้านเจ้าค่ะ”
“แต่ข้าขอเตือนเจ้า อย่าได้คิดว่าจะ… อะไรนะ!” แม่เฒ่าเซี่ยเกือบจะคิดว่าตนเองหูฝาดไปแล้ว นางตกใจจนดวงตาเบิกกว้าง ประกายความยินดีแทบจะล้นปรี่ออกมาจากเบ้าตา
ที่นางกัดฟันยอมรับเงื่อนไขของยายแก่เยว่ก็เพื่อการนี้ไม่ใช่หรือ!
“สกุลเซี่ยของเราไม่เคยมีเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่เอาเถอะในเมื่อเจ้าต้องการ ข้าก็ไม่ขัดขวาง นับจากวันนี้พวกเจ้าก็อยู่ที่นี่ ส่วนเสบียงอาหารข้าได้จัดแจงไว้ให้แล้ว นี่เงินห้าตำลึงมอบให้เจ้าไว้เป็นค่าใช้จ่าย เมื่อแยกบ้านแล้วก็เก็บไว้ให้ดีๆ”
แม้แม่เฒ่าเซี่ยจะคิดแยกครอบครัวลูกชายคนรองออกไป แต่ในใจนางก็ยังคิดยึดจับพวกเขาไว้ไม่ปล่อย วันนี้ที่มาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางดี สาเหตุก็เพื่อแสดงอำนาจกดข่มลูกสะใภ้ที่เพิ่งแต่งไม่ให้โงศีรษะขึ้นได้นั่นเอง
น่าเสียดายที่เรื่องราวกลับไม่เป็นตามแผนการที่นางคิดไว้ อีกฝ่ายแค่เอ่ยคำพูดไม่กี่ประโยค ก็สามารถแย่งชิงสิทธิ์การเป็นผู้นำไปจากนางได้แล้ว แม่เฒ่าเซี่ยไม่ถูกใจสิ่งนี้เป็นอย่างยิ่ง
หญิงชรากลอกตาด้วยความหงุดหงิด ตั้งแต่แม่สามีจากไป สกุลเซี่ยก็มีแม่เฒ่าเซี่ยเป็นผู้ดูแลจัดการ แม้แต่สามีที่ล่วงลับไป ยังต้องยอมลงให้นางหลายส่วน
ยิ่งคิดแม่เฒ่าเซี่ยก็ยิ่งมีโทสะ ถ้าไม่เพราะเยว่อวิ๋นเอาอนาคตของบุตรชายนางมาขู่ มีหรือนางจะยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป เพียงแต่ปล่อยจริงหรือแกล้งหลอกผู้ใดจะรู้ได้เล่า
“หลังจากแยกบ้านกันไปแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะทำตัวให้ดีสมกับข้อเรียกร้อง ปรนนิบัติสามี ดูแลบุตรธิดา รักษาผลประโยชน์ของครอบครัวไว้ให้ดี”
ในคำพูดทั้งหมด ประโยคสุดท้ายจึงจะเป็นสิ่งที่นางต้องการสื่อจริงๆ แม้สิ่งของเงินทองที่มอบให้จะไม่ได้มากมาย ทว่าแม่เฒ่าเซี่ยก็ไม่ต้องการให้สะใภ้นำกลับเอาไปจุนเจือทางบ้านเดิม
“ข้าว่า ท่านแม่น่าจะเข้าใจคำว่าแยกบ้านของข้าผิดไปแล้วนะเจ้าคะ” เยว่อวิ๋นแย้มรอยยิ้มจนยิ้มตาหยี กล่าวต่อ “ที่ข้าบอกว่าต้องการแยกบ้านนั้น ไม่ได้หมายถึงการแยกที่อยู่ส่งๆ แบบนี้เจ้าค่ะ”
“หมายความว่าอย่างไร” แม่เฒ่าเซี่ยไม่เข้าใจเอ่ยถาม นางมองรอยยิ้มของลูกสะใภ้หมาดๆ แล้วพลันหนาวสันหลังวูบวาบบอกไม่ถูก
“แน่นอน การแยกบ้านที่ข้าหมายถึง คือการแยกครอบครัวเจ้าค่ะ”
แม่สามีราคาถูกผู้นี้กลิ้งกลอกเจ้าเล่ห์เพทุบาย แล้วยังไร้น้ำใจอย่างที่สุด สูบเลือดสูบเนื้อสามพ่อลูกจนแทบไม่มีเหลือ พอทำประโยชน์อันใดให้ไม่ได้ก็คิดจะเขี่ยทิ้ง คนเช่นนี้หากนางแค่พาพวกเขาแยกตัวออกมาอยู่อีกบ้าน ก็จะรังแต่เป็นการสะสมปัญหาต่อไปในอนาคตเท่านั้น
“ไม่มีทาง!” แม่เฒ่าเซี่ยปฏิเสธทันที
การที่นางแยกบ้านกับพวกเขาครั้งนี้ แท้จริงเป็นแค่การแยกกันอยู่เท่านั้น ตัวแม่เฒ่าเซี่ยเองก็รู้ข้อนี้ดี ที่นางทำเช่นนี้ ก็เพื่อต่อไปในภายหน้าหากลูกรองสามารถดีขึ้น ครอบครัวนางก็ยังสามารถรับผลประโยชน์จากเขาได้ ทว่าหากแยกครอบครัวกันแล้ว นั่นหมายความว่าอนาคตพวกนางไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวใดๆ ทั้งสิ้น
ไม่มีทาง! นางไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้นเด็ดขาด!
“เช่นนั้นข้าก็จะกลับบ้านเดิม” เยว่อวิ๋นกล่าวเนิบๆ ไม่ทุกข์ร้อนแม้แต่น้อย “เดิมทีการแต่งงานนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับข้า พวกท่านเปลี่ยนตัวเจ้าสาว ปิดบังยัดเยียดสามีที่เดินไม่ได้ทั้งยังตาบอดมาให้ข้า อ่อ ยังมีลูกติดที่เป็นภาระมาอีกถึงสองคน”
เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองไม่พอใจมาก เยว่อวิ๋นจึงจำเป็นต้องแสดงท่าทีรังเกียจสามพ่อลูก นางเอ่ยประโยคจี้ใจดำแม่เฒ่าเซี่ยออกมา พลางนึกยินดีที่เจ้าไชเท้าน้อยทั้งสองไม่ได้ยินถ้อยคำโหดร้ายพวกนี้
เพราะนางรู้ดีว่าไม่ว่าเมื่อใดความรู้สึกไม่เป็นที่ต้องการก็สามารถทำให้คนรู้สึกเจ็บปวดได้เสมอ
“อย่าฝันเลย เจ้าแต่งเข้าสกุลเซี่ยเราแล้ว อยู่เป็นคนสกุลเซี่ย ตายก็ต้องเป็นผีสกุลเซี่ย” นางเสียสินสอดให้บ้านเยว่ไปแล้ว ถ้ายังต้องเสียคนอีก นั่นจะไม่เรียกขาดทุนซ้ำซ้อนรึ
ที่สำคัญนอกจากสะใภ้คนนี้ เกรงว่าต่อให้พลิกดินหาก็คงไม่พบคนที่จะยอมแต่งให้บุตรชายคนรองแล้ว หากปล่อยนางไป ใครจะมาสานต่อรับภาระนี้จากตนเล่า
“ถ้าเช่นนั้นก็ต้องแยกครอบครัวตามที่ข้าเสนอ ไม่อย่างนั้นข้าก็จะกลับบ้านเดิม และถ้าท่านคิดจะใช้กำลังบังคับ ข้าจะไปตีกลองร้องทุกข์ที่ว่าการอำเภอ ประกาศให้ทุกคนรู้กันไปทั่ว ว่าบ้านเซี่ยจงใจหลอกลวงการแต่งงาน หากเรื่องนี้แพร่ออกไปท่านว่าผู้คนจะเชื่อใคร ท่านหรือว่าข้า”
เยว่อวิ๋นกึ่งเอ่ยเงื่อนไขกึ่งข่มขู่ นางไม่กลัวเลยสักนิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ตกลง เพราะเข้าใจในความเห็นแก่ตัวของแม่เฒ่าเซี่ยเป็นอย่างดี ยายแก่นี่ไม่มีทางนำเอาอนาคตบุตรชายคนเล็กมาเสี่ยงกับตนเป็นแน่
“แยกครอบครัวที่เจ้าต้องการ หมายถึงแบ่งทรัพย์สินด้วยใช่หรือไม่” แม่เฒ่าเยว่เองก็ไม่ใช่คนหัวทึบ ถึงตอนนี้ถ้านางยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเยว่อวิ๋น ข้าวที่เคยกินมาก็นับว่าเสียเปล่าแล้ว
“ท่านแม่ฉลาดยิ่ง” เยว่อวิ๋นไม่ปฏิเสธ นางยิ้มกว้างจนดวงตากลมหยีโค้ง แม่เฒ่าเซี่ยมองรอยยิ้มนั้นอึดอัดจนหายใจไม่ออก
“เรื่องนี้ข้าคนเดียวตัดสินใจไม่ได้ ต้องไปปรึกษาพวกพี่น้องของเจ้ารองก่อน” ตอนแรกที่ตกปากรับคำยายเฒ่าเยว่เปลี่ยนคนเพราะเห็นว่าสะใภ้คนนี้เป็นคนหัวอ่อน ไม่คิดเลยว่าจะเป็นการยกหินทุ่มใส่เท้าตนเอง [1] ไปเสียได้ แม่เฒ่าเซี่ยคิดแล้วนึกเจ็บใจจนลำไส้เขียว
“ได้สิเจ้าคะ ถ้าอย่างนั้นข้าจะรอคำตอบจากท่านแม่นะเจ้าคะ” เยว่อวิ๋นไม่ดึงดัน ทว่าอาศัยความไวเอื้อมมือไปคว้าเงินตำลึงในมือแม่สามีมาถือไว้ “ส่วนเงินนี่ สามีไม่มียากิน ข้าจะนำเงินส่วนนี้ไปตามท่านหมอมาจ่ายยา ท่านแม่คงไม่ติดขัดอะไรใช่ไหม”
แม่เฒ่าเซี่ยมองตำลึงเงินที่หลุดลอยไปด้วยใบหน้าดำคล้ำ ถ้านางบอกว่าติดขัด อีกฝ่ายจะยอมคืนเงินมาให้หรือไม่เล่า
เยว่อวิ๋นสอดตำลึงใส่แขนเสื้อพลางตบอกปุๆ “ท่านแม่ท่านวางใจได้เลย ลูกสะใภ้จะใช้เงินพวกนี้อย่างคุ้มค่า เพราะการรักษาสามีสำคัญที่สุด ประเดี๋ยวข้าจะไปถามหัวหน้าหมู่บ้านว่าแถวนี้มีหมอเก่งๆ บ้างหรือไม่ จะได้ไปเชิญมา ถึงตอนนั้นค่ารักษา…”
ยังจะเอาอีกหรือ!
แม่เฒ่าเซี่ยถลึงตาโปน เงินที่ถูกชิงไปยังไม่ทันเอ่ยปากเอาคืน ลูกสะใภ้ตัวดีอ้าปากก็คิดจะเอาเพิ่มอีก ชาติก่อนนางเกิดเป็นเทาเที่ย [2] หรืออย่างไร อ้าปากทีก็กว้างซะขนาดนี้
“ข้าจะกลับไปปรึกษาพวกเจ้าใหญ่” ว่าจบแล้วก็หันหลังเดินจากไปทันที รอก่อนเถอะ นางจะไปตามสะใภ้ใหญ่ให้มาออกหน้าสั่งสอนอีกฝ่ายให้หนักเลย
เยว่อวิ๋นมองตามหลังแม่เฒ่าเซี่ยพลางโบกมือให้ด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ปรึกษาเสร็จแล้วก็รีบมานะเจ้าคะ เผื่อท่านหมอมาแล้วค่ายาไม่พอ...”
คำพูดต่อจากนั้นไม่ต้องเดาก็เข้าใจได้ แม่เฒ่าเซี่ยที่เร่งเดินออกมา ฟังแล้วถึงกับสะดุดหน้าแทบคะมำ นางกัดฟันกรอดหักใจที่จะไม่หันไปด่าอีกฝ่ายสุดชีวิต
อยู่ไม่ได้แล้ว ขืนอยู่ต่อนางต้องเจ็บใจจนตายแน่นอน!
[1] เป็นสำนวน เปรียบเปรยถึงการคิดทำร้ายผู้อื่น แต่ผลร้ายนั้นกลับย้อนมาหาตัวเอง มีความหมายตรงกับสำนวนไทยที่ว่า ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว
[2] เทาเที่ย สัตว์ในตำนานจีนที่มีมาแต่โบราณ ความหมายของชื่อคือ ความตะกละตะกลาม เป็นอสูรร้ายตัวแทนความตะกละ ละโมภ ไม่รู้จักเพียงพอ