Masuk"อึก..."
เธอกระอักเลือดออกมาอย่างยากลำบาก เลือดสีแดงสดไหลอาบลงมาที่คางของซือหยา เธอพยายามขยับตัวอีกครั้งเพื่อเอื้อมมือไปหยิบรูปนั้นให้ได้ ในที่สุดเธอก็ทำสำเร็จ ภาพถ่ายของลูกและสามีปรากฏขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง ดวงตาของเธอมองภาพถ่ายนั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ ซือหยายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
"พี่หยางเฉิง...อี้หมิง...อันหมิง...แม่จะไปหาแล้วนะ...มารับแม่ด้วยนะลูก"
เสียงของเธอแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน ซือหยาจูบลงบนภาพถ่ายนั้นเบา ๆ ก่อนจะแนบมันเข้ากับอก ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นคือใบหน้าของคนที่เธอรัก ก่อนที่เปลือกตาจะปิดลงช้า ๆ ...พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าที่มีความสุขอย่างแท้จริง ราวกับว่า...ในที่สุดเธอก็จะได้ไปหาดวงใจทั้งสามของเธอเสียที ดวงใจที่จากไปเมื่อหนึ่งปีก่อน...
ในห้วงแห่งกาลเวลาที่ทับซ้อน ย้อนไปนับพันปีก่อน..
ความเจ็บปวดแล่นแปลบไปทั่วทั้งร่างกายอีกครั้งราวกับถูกรถบรรทุกทับซ้ำแล้วซ้ำเล่า หานซือหยาขมวดคิ้วแน่นด้วยความรู้สึกทรมานที่ทวีคูณขึ้นกว่าเดิม นางพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก เปลือกตาที่หนักอึ้งค่อย ๆ เผยอออกช้า ๆ
แสงสว่างที่สาดเข้ามาแยงตา ภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏขึ้นทำให้นางชะงักไปชั่วครู่ มันไม่ใช่เพดานห้องเพนท์เฮ้าส์สุดหรูของนาง... แต่เป็นเพดานไม้สีซีดที่มีคราบดำเกาะอยู่เป็นหย่อม ๆ
กลิ่นหอมชื้นของดินและกลิ่นสาบของไม้ที่ขึ้นราอ่อน ๆ โชยเข้ามาในจมูก นางรับรู้ได้ถึงความเย็นจากแผ่นหลังที่แนบอยู่กับพื้นไม้ที่แข็งกระด้าง
ดวงตาที่พร่ามัวค่อย ๆ กะพริบถี่ ๆ เพื่อปรับสายตาเลื่อนไปมองรอบ ๆ ห้อง สิ่งที่เห็นทำให้นางรู้สึกงุนงงยิ่งกว่าเดิม นางนอนกองอยู่กับพื้นห้องโถงเรือนที่มีโครงสร้างเหมือนเรือนในสมัยโบบราณ
"ที่นี่...ที่ไหน?" นางพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแหบพร่าอย่างไม่เชื่อสายตา
"อึก..."
เสียงสะอื้นแผ่วเบาที่คุ้นเคยดังแว่วเข้ามาในหู นางหันขวับไปมองที่มุมห้อง ร่างเล็ก ๆ สองร่างกำลังนั่งกอดกันอยู่ ไม่ไกลนักมีเศษเปลือกกล้วยตกอยู่
ใบหน้าเล็ก ๆ ทั้งสองซีดเผือด ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยน้ำตาที่คลออยู่เต็มเบ้า ใบหน้าเหมือนกันราวกับแกะ แต่บุคลิกกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หัวใจของซือหยาเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของนางเบิกกว้างเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยเหล่านั้น อี้หมิง...อันหมิง...ลูกชายของนาง! คนที่นางคิดถึงมาตลอด!
"อี้หมิง! อันหมิง! เป็นลูกจริง ๆ ด้วย!"
นางตะโกนเรียกชื่อลูกชายทั้งสองด้วยความดีใจสุดขีด นางพยายามจะลุกขึ้นจากพื้นเพื่อเข้าไปหาพวกเขา แต่ความเจ็บปวดก็แล่นไปทั่วทั้งร่างจนทำให้ต้องนิ่วหน้าด้วยความทรมาน
นางกัดฟันแน่นแล้วพยายามลุกขึ้นยืนอีกครั้ง คราวนี้ทำสำเร็จแต่ก็ต้องเซไปเล็กน้อยเพราะอาการปวดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ นางรีบถลาเข้าไปหาลูกชายทั้งสองทันที
แต่สิ่งที่นางได้รับกลับมาไม่ใช่การโผเข้ากอดที่อบอุ่นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เด็กน้อยทั้งสองหันมามองนางด้วยใบหน้าที่หวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะรีบถอยหนีไปกอดกันแน่น
อี้หมิงผู้เป็นพี่ชายรีบกางแขนออกเพื่อปกป้องน้องชายเอาไว้ ราวกับว่านางเป็นสัตว์ร้ายที่น่ากลัวที่สุดในโลกใบนี้ ส่วนอันหมิง...แฝดน้อง..รีบไปหลบหลังพี่ชายพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาเม็ดเล็ก ๆ ที่ไหลอาบแก้มใส
"พี่ชายช่วยด้วย! อึก! อันหมิงกลัว ฮึก อันหมิงไม่ได้ตั้งใจทำร้ายท่านแม่"
เสียงสะอื้นของอันหมิงดังขึ้นทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดราวกับหัวใจกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ นางหยุดชะงักฝีเท้าเอาไว้ มองลูกชายทั้งสองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสน
"ตีข้า อย่าทำอะไรอันหมิง! น้องไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านแม่บาดเจ็บ เปลือกกล้วยนั่นแค่หล่นลงจากโต๊ะ น้องชายไม่รู้ว่าท่านแม่จะเดินมาเหยียบ ท่านแม่ให้อภัยน้องชายเถอะ น้องไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ..."
เสียงของอี้หมิงสั่นเครือไปด้วยความหวาดกลัว เขาพูดประโยคเหล่านั้นออกมาด้วยความกล้าหาญ นางมองใบหน้าของลูกชายทั้งสองที่กำลังหวาดกลัวนางด้วยความเจ็บปวด
"ไม่เป็นไร...แม่ไม่ว่าอะไรลูกทั้งสองแน่นอน ไม่ต้องกลัวแม่นะ"
ซือหยาพูดเสียงแผ่วเบา พยายามที่จะทำให้เสียงของนางอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้ นางย่อตัวลงนั่งกับพื้นเพื่อไม่ให้ดูน่ากลัวจนเกินไป
ทว่า....
บนเกวียนวัวที่หยางเฉิงเป็นคนบังคับ มีซือเหอ ซือหลิง หยวนอี อาเซียว เจาตี้ อี้หมิงและอันหมิง นั่งเบียดเสียดกันอย่างสนุกสนาน ส่วนในรถม้าที่นั่งสบายกว่า มีแม่เฒ่าหาน แม่เฒ่าเสิ่น และแม่เฒ่าฮัว นั่งอยู่พร้อมกับซือหยา"ท่านพ่อ ข้าจะซื้อของมาฝากนะเจ้าคะ" เสียงเล็ก ๆ ของเจาตี้ดังลอดออกมาระหว่างที่นางกำลังโบกมือให้หยางรุ่ยผู้เป็นบิดา ดวงตาของเด็กน้อยเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น"เด็กดี อย่าเดินห่างท่านป้าสะใภ้กับพี่ ๆ นะลูก อยากกินอะไรเจ้าก็ซื้อได้เลย"หยางรุ่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าของเขาแสดงความรักใคร่ในตัวบุตรสาว"เจ้าค่ะ"เจาตี้รับคำเสียงใสหยางเฟิงกับหยางรุ่ยยืนมองเกวียนวัวกับรถม้าที่เคลื่อนตัวห่างออกไปเรื่อย ๆ พวกเขาถอนหายใจยาว หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินขึ้นเขาไปขุดหัวมันสำปะหลังต่อ ส่วนพ่อเฒ่าเสิ่นกับพ่อเฒ่าหานก็เดินไปไถนาหว่านข้าวต่อตามหน้าที่กระทั่งเกวียนวัวกับรถม้าเคลื่อนตัวมาถึงกลางตลาด ความวุ่นวายและเสียงตะโกนขายสินค้าเข้าปะทะโสตประสาททันที รถม้าและเกวียนหลายเล่มจอดเรียงราย ผู้คนสัญจรไปมาอย่างคับคั่ง ฮัวเจิ้งหรงจึงไปส่งมารดาและอาหญิงที่กลางตลาดก่อน ถนนหนทางเต็มไปด้วยร้านขาย
เช้ามืดวันต่อมา ยามอิ่น (03.00-05.00 น.) ท้องฟ้ายังคงเป็นสีเทาเข้ม อากาศเย็นยะเยือกจนไอน้ำค้างเกาะตามหลังคาเรือน เสียงไก่ขันดังแว่ว ๆ มาจากท้ายหมู่บ้าน แสงตะเกียงน้ำมันส่องสว่างเรืองรองออกมาจากหน้าต่างห้องครัวซือหยาและหยวนอีตื่นแต่เช้ามืด พวกนางเดินเข้ามาในลานเรือนที่เต็มไปด้วยอ่างดินเผาขนาดใหญ่ที่บรรจุน้ำแป้งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน"น้องสะใภ้! แป้งคงจะตกตะกอนดีแล้วกระมัง"หยวนอีกล่าวเบา ๆ เสียงของนางแหบพร่าเล็กน้อยเพราะความเย็น นางจุดเทียนเล็ก ๆ วางไว้ข้างอ่าง เพื่อให้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงภายในได้ชัดเจนซือหยาคุกย่อตัวลงข้างอ่าง นางใช้ปลายนิ้วเคาะขอบอ่างเบา ๆ น้ำที่อยู่ด้านบนใสจนมองเห็นเงาเลือนราง แป้งสีขาวบริสุทธิ์จมตัวอยู่ก้นอ่างอย่างหนาแน่น"ได้แล้วเจ้าค่ะพี่สะใภ้! น้ำแยกตัวออกจากเนื้อแป้งอย่างสมบูรณ์แล้ว" ซือหยาตอบด้วยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ"มา ๆ เดี๋ยวข้าจะเทน้ำออกเอง ยังมีอีกหลายอ่าง รีบทำรีบเสร็จ" พูดจบหยวนอีก็ลงมืออย่างคล่องแคล่ว"ข้าจะจัดการกับถังพวกนี้เองเจ้าค่ะ พี่สะใภ้ก็จัดการทางนั้นเถอะ"ระหว่างนั้นเองหยางเฉิงกับหยางเฟิงก็รีบมาช่วยภรรยาของตนทำงาน เมื่อเทน้ำใสจนหมดแล้ว สิ่งท
เมื่อหัวมันถูกขูดจนเป็นชิ้นเล็ก ๆ ได้ปริมาณมากพอ ซือหยาก็เริ่มเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป ซือหยาเริ่มบีบน้ำออกจากเนื้อมัน จากนั้นก็นำไปตำในครกหินขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างเรือน จนกระทั่งเนื้อมันแหลกละเอียด น้ำสีขาวขุ่นเริ่มไหลซึมออกมามากขึ้น นางจึงตักส่วนที่ตำแล้วลงไปผสมน้ำในกะละมังตลอดช่วงเช้าสองสาวทำงานกันอย่างขะมักเขม้น "เราพักสักหน่อยเถอะพี่สะใภ้ ข้าว่าคืนนี้เนื้อตัวของข้าต้องระบมแน่ ๆ" ร่างบางนั่งลงอย่างเหนื่อยหอบ หลังจากเพิ่งบดและตำเนื้อมันจนละเอียดไปหลายตะกร้า"เจ้านั่งพักเถอะ เจ้าไม่ค่อยได้ทำงานในแปลงนา ร่างกายรับไม่ไหวก็เป็นเรื่องปกติ งานแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก"พูดจบหยวนอีก็นำผ้าขาวบางผืนใหญ่แขวนไว้เหนืออ่างดินเผาขนาดใหญ่ นางตักเนื้อหัวมันที่บดละเอียดผสมกับน้ำแล้วใส่ลงบนผ้า จากนั้นค่อย ๆ โยกเบา ๆ ให้น้ำขาวขุ่นไหลลงไปในอ่างซือหยาเข้ามาช่วยบีบเนื้อมันช้า ๆ จากนั้นก็นำกากใยที่หมดน้ำแล้วออกมาใส่กะละมังไว้ แล้วทำแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนเสร็จ"กากใยพวกนี้... หากตากแห้งก็เป็นอาหารเสริมชั้นดีให้สัตว์เลี้ยงได้อีกเช่นกันเจ้าค่ะ! มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าเปลือกมันนัก! เราต้องใช้ทุกส่วนของมันให้คุ้มค่
เช้าวันต่อมา แสงแดดยามอรุณเบาบางสาดส่องเข้ามาในลานเรือนที่ว่างเปล่า อากาศยังคงเย็นจัด เสียงกระดูกไม้ดัง 'เอี๊ยดอ๊าด' เมื่อแม่เฒ่าหานและแม่เฒ่าเสิ่นนำเด็ก ๆ และหยางเฟิงเดินออกจากเรือนไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างนัก เพื่อมุ่งหน้าไปยังแปลงนาช่วยกันไถหว่านข้าวเปลือกวันนี้ซือหยาและหยวนอีได้รับมอบหมายให้อยู่ดูแลเรือนและเริ่มต้นภารกิจที่สำคัญที่สุดคือ การแปรรูปมันสำปะหลังหยวนอีสวมผ้ากันเปื้อนเนื้อหยาบสีขาวทับชุดของนาง นางจัดเตรียมอุปกรณ์อย่างพิถีพิถันบนโต๊ะไม้เก่า ๆ ที่ตั้งอยู่ใต้ชายคา อุปกรณ์เหล่านั้นประกอบด้วยมีดเหล็กหลายเล่ม ครกหินขนาดใหญ่ และแผ่นหินหยาบ"น้องสะใภ้! หัวมันที่เอามาจากลำธารน่าจะพร้อมแล้ว น้องรองกับน้องสามไปขนมาตั้งแต่ต้นยามเหม่าแล้วกระมัง"หยวนอีกล่าวอย่างกระฉับกระเฉง แววตาของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ "ตามเวลาแล้วพิษน่าจะถูกชะล้างออกไปมากแล้ว วันนี้เป็นงานหนักของเราสองคนแล้วเจ้าค่ะ ขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลาแถมยังลำบากกว่าขั้นตอนอื่น ๆ"ซือหยาตอบรับ นางกำลังจัดเตรียมผ้าขาวบางผืนใหญ่สำหรับใช้ในการกรอง ผ้าผืนนั้นเป็นผ้าเนื้อดีที่นางแอบเอาออกมาจากมิติ "เอาเถอ
ใช้เวลาเดินไม่นานก็มาถึงที่นาผืนใหม่ ก็พบว่า พ่อเฒ่าหาน พ่อเฒ่าเสิ่น กับอาเซียว และซือเหอกำลังช่วยกันใช้วัวไถนาอยู่ วัวตัวผู้สีน้ำตาลเข้มกำลังเดินลากไถอย่างเชื่องช้า ดินสีดำที่ถูกพลิกขึ้นมาใหม่มีกลิ่นหอมของความอุดมสมบูรณ์ ส่วนเด็ก ๆ ก็ทำแปลงผักช่วยท่านย่าท่านยายอยู่บนเดินดินข้างศาลาพัก"ท่านแม่มาแล้ว! หู้ว! นี่หรือขอรับคือหัวมันสำปะหลัง!"อันหมิงกับอี้หมิงรีบวิ่งมาหาพ่อแม่ทันทีที่เห็นว่าทุกคนเข็นรถเข็นเลี้ยวลงมาตามคันนาใหญ่ ฝุ่นดินติดเต็มเสื้อผ้าของพวกเขา แต่ใบหน้าเล็ก ๆ สองใบนั้นเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาและความตื่นเต้น"แม่มาแล้วลูกรัก นี่คือหัวมันสำปะหลังที่ปอกเปลือกแล้ว ว่าแต่..พวกเจ้าทั้งสองเป็นเด็กดีหรือไม่"ซือหยาวางตะกร้าลงแล้วเดินเข้าไปหาลูกชายฝาแฝด นางยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางก้มตัวลงบีบแก้มนิ่ม ๆ ของลูกชายอย่างรักใคร่"เด็กดีขอรับ! พวกเราเป็นเด็กดีที่สุดเลยท่านแม่!" อันหมิงทำตาแป๋ว รีบตอบเสียงดังฉะฉาน "เก่งมาก ไว้เย็นนี้แม่จะทำของอร่อยให้กิน อยากกินอะไรก็บอกมาได้เลย"ซือหยากล่าวอย่างใจดี"เย้ ๆ ๆ ของอร่อยมาแล้ว!"เด็กแฝดร้องขึ้นพร้อมกันอย่างดีใจระหว่างนั้นเองเสียงน้ำลำธารไหลดัง ซู
ช่วงสายกลางยามซื่อ (ยามซื่อ 09.00-11.00 น.) แสงแดดเริ่มทอประกายเจิดจ้าเหนือหลังคาเรือน เงาของทุกคนทอดยาวเป็นรูปทรงบิดเบี้ยวบนพื้นดินเสียงหายใจหอบและเสียงรองเท้ากระทบพื้นดินดังขึ้นเมื่อ หยางเฉิง หยางเฟิง และ หยางรุ่ย แบกกระสอบหัวมันสำปะหลังขนาดมหึมา และตะกร้าสานขนาดใหญ่เดินเข้ามาในลานหน้าเรือน หัวมันที่เพิ่งขุดมายังติดดินและรากฝอยอยู่เล็กน้อย เหงื่อกาฬไหลซึมไปตามแผ่นหลังของบุรุษทั้งสาม หยวนอีและซือหยาสะพายตะกร้าตามมาติด ๆ แม้จะเหนื่อยล้าแต่ใบหน้าของพวกนางก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเมื่อวางหัวมันทั้งหมดลงกลางลานเรือน หยวนอีก็เอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น นางมองกองหัวมันที่สูงท่วมหัวอย่างไม่เข้าใจ"เราต้องทำยังไงกับมันพวกนี้ต่อล่ะน้องสะใภ้?"ซือหยาจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ แล้วเดินเข้าไปตรวจดูหัวมันกองใหญ่ ใบหน้าของนางเปื้อนรอยยิ้ม"เราต้องเร่งจัดการเสียแต่ตอนนี้เจ้าค่ะพี่สะใภ้ หัวมันสำปะหลังหากเก็บไว้นานเนื้อจะแข็งและเน่าเสียได้ง่าย"นางเริ่มต้นอธิบายขั้นตอนการแปรรูปที่ซับซ้อนอย่างละเอียดถี่ถ้วน"อันดับแรก เราต้องตัดหัวท้ายแล้วปอกเปลือกหนา ๆ ออก เปลือกมันหยาบและมีรสขมต้องปอกออกให้หมด เสร็จแล้วค่อยนำไ







