Mag-log inแต่แล้วความเจ็บปวดก็แล่นเข้ามาในหัวของนางอีกครั้ง ความทรงจำของร่างนี้ไหลทะลักเข้ามาในหัวของนางราวกับเขื่อนที่พังทลายลงมา หญิงสาวในความทรงจำนั้นคือ...นาง! แต่เป็นนางในอดีตที่นิสัยแย่
นางไม่สนใจสามีและลูก ๆ ที่ดีพร้อมทุกอย่าง นางวางแผนที่จะหนีไปกับชายชู้ที่เป็นบัณฑิตเพื่อไปใช้ชีวิตที่ดีกว่าในเมืองหลวง เงินที่สามีหามาได้จากการล่าสัตว์ นางก็แอบเก็บไว้ เตรียมจะหนีไปกับบัณฑิตหนุ่มในอีกสองวันข้างหน้า
"ไม่นะ! นี่ฉันเข้ามาอยู่ในร่างของผู้หญิงที่ฉันฝันเห็นเหรอเนี่ย?"
ซือหยาอุทานออกมาด้วยความตกใจอย่างที่สุด นางหันมองรอบกายอีกครั้ง นี่มันคือบ้านที่อยู่ในความฝันของนางมาตลอด 1 ปีหลังจากที่นางเสียลูกชายฝาแฝดกับสามีไป
พอคิดมาถึงจุดนี้นางจึงนึกขึ้นได้ว่า...
"ไม่สิ!...หลังจากนี้ไปสองเดือนกว่า ๆ จะเกิดน้ำท่วมใหญ่!"
น้ำท่วมใหญ่...เป็นเรื่องจริง! ซือหยาจำได้ว่าในความฝันหลังจากร่างนี้หนีไปราว ๆ สองสามเดือน ที่นี่จะเกิดน้ำท่วมฉับพลันครั้งใหญ่ มีผู้คนล้มตายจำนวนมาก คนในสกุลเสิ่นและสกุลหานบ้านเดิมของร่างนี้ก็ล้มหายตายจาก
ถึงเสิ่นหยางเฉิงสามีของนางจะช่วยลูก ๆ ให้ย้ายหนีได้อย่างปลอดภัย แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ติดโรคระบาดตาย ทำให้เด็กน้อยทั้งสองไร้ที่พึ่งพาจนต้องเป็นคนเร่ร่อนและถูกทำร้ายจนตายในที่สุด ส่วนร่างนี้ก็ถูกชู้รักหลอกจนหมดตัว สุดท้ายก็ถูกขายทอดเข้าหอโคมเขียว
"ไม่! ฉันมาอยู่ที่นี่แล้ว ฉันจะไม่มีวันให้ลูก ๆ กับสามีต้องพบจุดจบแบบนั้นแน่นอน"
นางพึมพำกับตัวเองด้วยความตื่นตระหนก
"ทะ..ท่านแม่ ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?"
ซือหยายื่นมือออกไปหาลูกทั้งสองช้า ๆ
"ไม่ต้องกลัวแม่นะ...แม่จะไม่ทำร้ายพวกเจ้าอีกแล้ว..."
ทันใดนั้นเองเสียงประตูที่ปิดอยู่ก็เปิดออกดัง...แอดดด! ร่างสูงใหญ่ของเสิ่นหยางเฉิงก้าวเข้ามาในห้อง ใบหน้าคมคายแต่ทว่าเต็มไปด้วยความโกรธจัด ดวงตาคมกริบจ้องมาที่นางราวกับจะกลืนกินเข้าไปทั้งตัว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยโทสะเมื่อเห็นลูกทั้งสองกำลังร้องไห้
"เจ้าทำอะไรอีกซือหยา! เจ้าจะเป็นคนใจยักษ์ใจมารไปถึงไหน!"
เขาตะคอกเสียงดังจนร่างของซือหยาและลูก ๆ สะดุ้ง ใบหน้าของเขาเย็นชาไร้ความรู้สึก แต่ความจริงก่อนที่เขาจะเป็นแบบนี้ เขาเคยผ่านการผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะใกล้จะหมดหวังเต็มทีแล้ว
"ข้าไม่ได้....."
"ไม่ได้อะไร! เห็น ๆ อยู่ว่าเจ้าทำอี้หมิงกับอันหมิงร้องไห้ ยังไงพวกเขาทั้งสองก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้า ถ้าเจ้าอยากไปกับชู้รักของเจ้าก็รีบไสหัวไป นี่คือใบหย่าที่เจ้าต้องการ ลงชื่อซะแล้วไปจากบ้านหลังนี้ซะ!"
เขาขว้างกระดาษแผ่นหนึ่งมาตรงหน้านาง เดิมทีเขาคิดทบทวนเรื่องการหย่าร้างมานาน ยังไงเขาก็อยากรักษาครอบครัวเอาไว้ อย่างน้อยลูก ๆ ก็จะได้มีแม่ แต่ถ้าจะมีแม่แล้วต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดทางกายและจิตใจ มันย่อมไม่คุ้มค่าแน่นอน
ซือหยาน้ำตาร่วงอีกครั้งเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่คิดถึงมานาน แต่เหตุไฉนเพียงพบหน้าก็ขอหย่ากับนางทันที นางไม่ยอมแน่นอน!
"ท่านพี่...ข้า...ข้าไม่หย่า...ที่ผ่านมาข้าขอโทษ...เราเริ่มต้นกันใหม่ได้หรือไม่"
หยางเฉิงมองนางอย่างพินิจพิจารณาว่านางจะมาไม้ไหนกันแน่ สีหน้าของเขาเรียบเฉยจนยากที่จะคาดเดา
"หึ! เจ้าต้องการอะไรถึงจะยอมไปจากที่นี่?"
คำพูดของสามีที่บาดลึกเข้าไปในใจทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีด นางรีบเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้นมาพูดกับเขาอย่างจริงจัง
"ข้าไม่ต้องการอะไรนอกจากให้พวกเราอยู่ด้วยกัน ท่านพี่ให้โอกาสข้าได้หรือไม่?"
หยางเฉิงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม
"หึ! เจ้าจะให้ข้าเชื่อในคำพูดของเจ้าอย่างนั้นเหรอ?"
"ข้า...ข้าขอเวลา 3 เดือน ถ้าข้าเปลี่ยนใจท่านพี่ไม่ได้จริง ๆ ข้าจะยอมลงชื่อในหนังสือหย่าฉบับนี้ ข้าจะปล่อยให้ท่านพี่กับลูก ๆ เป็นอิสระ อี้หมิง อันหมิง เจ้าให้โอกาสแม่ได้หรือไม่? แม่สัญญาว่าจะไม่ทำร้ายพวกเจ้าอีก..."
ซือหยาหันไปมองลูกชายทั้งสองที่ยังคงตัวสั่นด้วยความกลัว อี้หมิงกับอันหมิงหันมองหน้ากัน ก่อนที่อันหมิง...เด็กน้อยที่อ่อนไหวที่สุดจะส่งสายตาเว้าวอนผู้เป็นบิดา
"ท่านพ่อ ข้าอยากมีแม่ ท่านพ่ออย่าไล่ท่านแม่ไปเลยนะขอรับ"
หยางเฉิงมองหน้าลูกชายคนเล็กแล้วก็ใจอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เขาถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง
"เห็นแก่อันหมิง นี่จะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของเจ้า แต่อย่าได้ลืมสิ่งที่รับปากเอาไว้ เมื่อถึงเวลาเจ้าต้องยอมรับการตัดสินใจของข้า เจ้าจะต้องลงชื่อในหนังสือหย่าโดยไม่มีข้อกังขาใด ๆ"
"เจ้าค่ะ ข้าตกลง!"
ซือหยารับปากด้วยความดีใจ นางรู้ดีว่านี่เป็นโอกาสที่นางจะได้พิชิตหัวใจของสามีและดวงใจน้อย ๆ ของเจ้าก้อนแป้งทั้งสอง นางย่อมต้องทำอย่างเต็มที่ รักษาโอกาสนี้ไว้ให้ดี
"ดี!" พูดจบหยางเฉิงก็หันไปจูงมือลูกชายทั้งสองคน เดินออกจากโถงเรือนมุ่งหน้าไปที่แปลงนา โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองนางอีกเลย
บนเกวียนวัวที่หยางเฉิงเป็นคนบังคับ มีซือเหอ ซือหลิง หยวนอี อาเซียว เจาตี้ อี้หมิงและอันหมิง นั่งเบียดเสียดกันอย่างสนุกสนาน ส่วนในรถม้าที่นั่งสบายกว่า มีแม่เฒ่าหาน แม่เฒ่าเสิ่น และแม่เฒ่าฮัว นั่งอยู่พร้อมกับซือหยา"ท่านพ่อ ข้าจะซื้อของมาฝากนะเจ้าคะ" เสียงเล็ก ๆ ของเจาตี้ดังลอดออกมาระหว่างที่นางกำลังโบกมือให้หยางรุ่ยผู้เป็นบิดา ดวงตาของเด็กน้อยเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น"เด็กดี อย่าเดินห่างท่านป้าสะใภ้กับพี่ ๆ นะลูก อยากกินอะไรเจ้าก็ซื้อได้เลย"หยางรุ่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าของเขาแสดงความรักใคร่ในตัวบุตรสาว"เจ้าค่ะ"เจาตี้รับคำเสียงใสหยางเฟิงกับหยางรุ่ยยืนมองเกวียนวัวกับรถม้าที่เคลื่อนตัวห่างออกไปเรื่อย ๆ พวกเขาถอนหายใจยาว หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินขึ้นเขาไปขุดหัวมันสำปะหลังต่อ ส่วนพ่อเฒ่าเสิ่นกับพ่อเฒ่าหานก็เดินไปไถนาหว่านข้าวต่อตามหน้าที่กระทั่งเกวียนวัวกับรถม้าเคลื่อนตัวมาถึงกลางตลาด ความวุ่นวายและเสียงตะโกนขายสินค้าเข้าปะทะโสตประสาททันที รถม้าและเกวียนหลายเล่มจอดเรียงราย ผู้คนสัญจรไปมาอย่างคับคั่ง ฮัวเจิ้งหรงจึงไปส่งมารดาและอาหญิงที่กลางตลาดก่อน ถนนหนทางเต็มไปด้วยร้านขาย
เช้ามืดวันต่อมา ยามอิ่น (03.00-05.00 น.) ท้องฟ้ายังคงเป็นสีเทาเข้ม อากาศเย็นยะเยือกจนไอน้ำค้างเกาะตามหลังคาเรือน เสียงไก่ขันดังแว่ว ๆ มาจากท้ายหมู่บ้าน แสงตะเกียงน้ำมันส่องสว่างเรืองรองออกมาจากหน้าต่างห้องครัวซือหยาและหยวนอีตื่นแต่เช้ามืด พวกนางเดินเข้ามาในลานเรือนที่เต็มไปด้วยอ่างดินเผาขนาดใหญ่ที่บรรจุน้ำแป้งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน"น้องสะใภ้! แป้งคงจะตกตะกอนดีแล้วกระมัง"หยวนอีกล่าวเบา ๆ เสียงของนางแหบพร่าเล็กน้อยเพราะความเย็น นางจุดเทียนเล็ก ๆ วางไว้ข้างอ่าง เพื่อให้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงภายในได้ชัดเจนซือหยาคุกย่อตัวลงข้างอ่าง นางใช้ปลายนิ้วเคาะขอบอ่างเบา ๆ น้ำที่อยู่ด้านบนใสจนมองเห็นเงาเลือนราง แป้งสีขาวบริสุทธิ์จมตัวอยู่ก้นอ่างอย่างหนาแน่น"ได้แล้วเจ้าค่ะพี่สะใภ้! น้ำแยกตัวออกจากเนื้อแป้งอย่างสมบูรณ์แล้ว" ซือหยาตอบด้วยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ"มา ๆ เดี๋ยวข้าจะเทน้ำออกเอง ยังมีอีกหลายอ่าง รีบทำรีบเสร็จ" พูดจบหยวนอีก็ลงมืออย่างคล่องแคล่ว"ข้าจะจัดการกับถังพวกนี้เองเจ้าค่ะ พี่สะใภ้ก็จัดการทางนั้นเถอะ"ระหว่างนั้นเองหยางเฉิงกับหยางเฟิงก็รีบมาช่วยภรรยาของตนทำงาน เมื่อเทน้ำใสจนหมดแล้ว สิ่งท
เมื่อหัวมันถูกขูดจนเป็นชิ้นเล็ก ๆ ได้ปริมาณมากพอ ซือหยาก็เริ่มเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป ซือหยาเริ่มบีบน้ำออกจากเนื้อมัน จากนั้นก็นำไปตำในครกหินขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างเรือน จนกระทั่งเนื้อมันแหลกละเอียด น้ำสีขาวขุ่นเริ่มไหลซึมออกมามากขึ้น นางจึงตักส่วนที่ตำแล้วลงไปผสมน้ำในกะละมังตลอดช่วงเช้าสองสาวทำงานกันอย่างขะมักเขม้น "เราพักสักหน่อยเถอะพี่สะใภ้ ข้าว่าคืนนี้เนื้อตัวของข้าต้องระบมแน่ ๆ" ร่างบางนั่งลงอย่างเหนื่อยหอบ หลังจากเพิ่งบดและตำเนื้อมันจนละเอียดไปหลายตะกร้า"เจ้านั่งพักเถอะ เจ้าไม่ค่อยได้ทำงานในแปลงนา ร่างกายรับไม่ไหวก็เป็นเรื่องปกติ งานแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก"พูดจบหยวนอีก็นำผ้าขาวบางผืนใหญ่แขวนไว้เหนืออ่างดินเผาขนาดใหญ่ นางตักเนื้อหัวมันที่บดละเอียดผสมกับน้ำแล้วใส่ลงบนผ้า จากนั้นค่อย ๆ โยกเบา ๆ ให้น้ำขาวขุ่นไหลลงไปในอ่างซือหยาเข้ามาช่วยบีบเนื้อมันช้า ๆ จากนั้นก็นำกากใยที่หมดน้ำแล้วออกมาใส่กะละมังไว้ แล้วทำแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนเสร็จ"กากใยพวกนี้... หากตากแห้งก็เป็นอาหารเสริมชั้นดีให้สัตว์เลี้ยงได้อีกเช่นกันเจ้าค่ะ! มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าเปลือกมันนัก! เราต้องใช้ทุกส่วนของมันให้คุ้มค่
เช้าวันต่อมา แสงแดดยามอรุณเบาบางสาดส่องเข้ามาในลานเรือนที่ว่างเปล่า อากาศยังคงเย็นจัด เสียงกระดูกไม้ดัง 'เอี๊ยดอ๊าด' เมื่อแม่เฒ่าหานและแม่เฒ่าเสิ่นนำเด็ก ๆ และหยางเฟิงเดินออกจากเรือนไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างนัก เพื่อมุ่งหน้าไปยังแปลงนาช่วยกันไถหว่านข้าวเปลือกวันนี้ซือหยาและหยวนอีได้รับมอบหมายให้อยู่ดูแลเรือนและเริ่มต้นภารกิจที่สำคัญที่สุดคือ การแปรรูปมันสำปะหลังหยวนอีสวมผ้ากันเปื้อนเนื้อหยาบสีขาวทับชุดของนาง นางจัดเตรียมอุปกรณ์อย่างพิถีพิถันบนโต๊ะไม้เก่า ๆ ที่ตั้งอยู่ใต้ชายคา อุปกรณ์เหล่านั้นประกอบด้วยมีดเหล็กหลายเล่ม ครกหินขนาดใหญ่ และแผ่นหินหยาบ"น้องสะใภ้! หัวมันที่เอามาจากลำธารน่าจะพร้อมแล้ว น้องรองกับน้องสามไปขนมาตั้งแต่ต้นยามเหม่าแล้วกระมัง"หยวนอีกล่าวอย่างกระฉับกระเฉง แววตาของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ "ตามเวลาแล้วพิษน่าจะถูกชะล้างออกไปมากแล้ว วันนี้เป็นงานหนักของเราสองคนแล้วเจ้าค่ะ ขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลาแถมยังลำบากกว่าขั้นตอนอื่น ๆ"ซือหยาตอบรับ นางกำลังจัดเตรียมผ้าขาวบางผืนใหญ่สำหรับใช้ในการกรอง ผ้าผืนนั้นเป็นผ้าเนื้อดีที่นางแอบเอาออกมาจากมิติ "เอาเถอ
ใช้เวลาเดินไม่นานก็มาถึงที่นาผืนใหม่ ก็พบว่า พ่อเฒ่าหาน พ่อเฒ่าเสิ่น กับอาเซียว และซือเหอกำลังช่วยกันใช้วัวไถนาอยู่ วัวตัวผู้สีน้ำตาลเข้มกำลังเดินลากไถอย่างเชื่องช้า ดินสีดำที่ถูกพลิกขึ้นมาใหม่มีกลิ่นหอมของความอุดมสมบูรณ์ ส่วนเด็ก ๆ ก็ทำแปลงผักช่วยท่านย่าท่านยายอยู่บนเดินดินข้างศาลาพัก"ท่านแม่มาแล้ว! หู้ว! นี่หรือขอรับคือหัวมันสำปะหลัง!"อันหมิงกับอี้หมิงรีบวิ่งมาหาพ่อแม่ทันทีที่เห็นว่าทุกคนเข็นรถเข็นเลี้ยวลงมาตามคันนาใหญ่ ฝุ่นดินติดเต็มเสื้อผ้าของพวกเขา แต่ใบหน้าเล็ก ๆ สองใบนั้นเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาและความตื่นเต้น"แม่มาแล้วลูกรัก นี่คือหัวมันสำปะหลังที่ปอกเปลือกแล้ว ว่าแต่..พวกเจ้าทั้งสองเป็นเด็กดีหรือไม่"ซือหยาวางตะกร้าลงแล้วเดินเข้าไปหาลูกชายฝาแฝด นางยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางก้มตัวลงบีบแก้มนิ่ม ๆ ของลูกชายอย่างรักใคร่"เด็กดีขอรับ! พวกเราเป็นเด็กดีที่สุดเลยท่านแม่!" อันหมิงทำตาแป๋ว รีบตอบเสียงดังฉะฉาน "เก่งมาก ไว้เย็นนี้แม่จะทำของอร่อยให้กิน อยากกินอะไรก็บอกมาได้เลย"ซือหยากล่าวอย่างใจดี"เย้ ๆ ๆ ของอร่อยมาแล้ว!"เด็กแฝดร้องขึ้นพร้อมกันอย่างดีใจระหว่างนั้นเองเสียงน้ำลำธารไหลดัง ซู
ช่วงสายกลางยามซื่อ (ยามซื่อ 09.00-11.00 น.) แสงแดดเริ่มทอประกายเจิดจ้าเหนือหลังคาเรือน เงาของทุกคนทอดยาวเป็นรูปทรงบิดเบี้ยวบนพื้นดินเสียงหายใจหอบและเสียงรองเท้ากระทบพื้นดินดังขึ้นเมื่อ หยางเฉิง หยางเฟิง และ หยางรุ่ย แบกกระสอบหัวมันสำปะหลังขนาดมหึมา และตะกร้าสานขนาดใหญ่เดินเข้ามาในลานหน้าเรือน หัวมันที่เพิ่งขุดมายังติดดินและรากฝอยอยู่เล็กน้อย เหงื่อกาฬไหลซึมไปตามแผ่นหลังของบุรุษทั้งสาม หยวนอีและซือหยาสะพายตะกร้าตามมาติด ๆ แม้จะเหนื่อยล้าแต่ใบหน้าของพวกนางก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเมื่อวางหัวมันทั้งหมดลงกลางลานเรือน หยวนอีก็เอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น นางมองกองหัวมันที่สูงท่วมหัวอย่างไม่เข้าใจ"เราต้องทำยังไงกับมันพวกนี้ต่อล่ะน้องสะใภ้?"ซือหยาจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ แล้วเดินเข้าไปตรวจดูหัวมันกองใหญ่ ใบหน้าของนางเปื้อนรอยยิ้ม"เราต้องเร่งจัดการเสียแต่ตอนนี้เจ้าค่ะพี่สะใภ้ หัวมันสำปะหลังหากเก็บไว้นานเนื้อจะแข็งและเน่าเสียได้ง่าย"นางเริ่มต้นอธิบายขั้นตอนการแปรรูปที่ซับซ้อนอย่างละเอียดถี่ถ้วน"อันดับแรก เราต้องตัดหัวท้ายแล้วปอกเปลือกหนา ๆ ออก เปลือกมันหยาบและมีรสขมต้องปอกออกให้หมด เสร็จแล้วค่อยนำไ







