LOGINสนามบินปักกิ่ง ปี ค.ศ.2025
เสียงประกาศจากเครื่องขยายในสนามบินนานาชาติของปักกิ่ง ดังแทรกผ่านคลื่นผู้คนที่เดินขวักไขว่ เสียงรองเท้าหนัง เสียงลากกระเป๋าเดินทาง เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบต่างประสานกันราวกับบทเพลงอันวุ่นวาย
หลังม่านกระจกบานใหญ่ ฝนโปรยเม็ดแรกลงมาจากท้องฟ้าเหมือนผืนผ้าสีเทาถูกฉีกจนขาด สายฟ้าผ่าลงมาไกล ๆ เสียงก้องสะท้อนทั่วพื้นดิน
หานซือหยาหญิงสาวในชุดสูทกระโปรงเข้ารูปสีเทาเข้ม ผมยาวถูกรวบขึ้นเรียบตึงด้วยกิ๊บแบรนด์ดัง เธอเดินออกจากอาคารสนามบินอย่างมั่นคง แม้รองเท้าส้นสูงสีดำมันปลาบจะกระแทกพื้นหินอ่อนดัง...
ตึก ตึก ตึก
แต่ฝีเท้ากลับไม่สะดุดสักครา ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างพิถีพิถันเผยให้เห็นโครงหน้าเรียวสมส่วน ดวงตาคมกริบเจือแววเศร้าลึก ๆ ที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มบางเบา
เม็ดฝนที่แรกเริ่มเป็นเพียงละอองค่อย ๆ หนักขึ้น ราวกับฟ้าทั้งผืนตั้งใจเปิดฉากต้อนรับการกลับมาของเธอด้วยพายุ ซือหยาเร่งฝีเท้าผ่านชายหนุ่มหญิงสาวที่วิ่งหาที่หลบฝน กระโปรงปลิวสะบัดติดต้นขา เสื้อสูทถูกละอองฝนกระหน่ำจนเห็นรอยเปียกชื้นเป็นปื้น
รถยนต์สีดำรุ่นใหม่เอี่ยมจอดอยู่ตรงลานจอดรถด้านนอกอาคาร หยาดฝนกระแทกกระจกหน้ารถดัง เปาะแปะ เหมือนใครบางคนกำลังดีดนิ้วอย่างไม่หยุดหย่อน
เธอไขกุญแจแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างในอย่างรีบร้อน กลิ่นหนังใหม่ของเบาะผสมเข้ากับกลิ่นฝนสดชื่นภายนอกจนเกิดเป็นกลิ่นอันเย็นเฉียบที่พาให้ใจหาย
มือเรียวของซือหยาหยิบรูปเล็ก ๆ จากกระเป๋าถือ ในนั้นเป็นภาพถ่ายครอบครัว ชายหนุ่มในชุดทหารเต็มยศ ใบหน้าคมสัน ดวงตาเข้มลึก เสิ่นหยางเฉิง สามีผู้ล่วงลับยืนเคียงข้างเธอ และระหว่างกลางคือเด็กชายฝาแฝดสองคน
เสิ่นอี้หมิงที่ทำหน้านิ่งราวกับผู้ใหญ่ตัวเล็ก กับเสิ่นอันหมิงที่ยิ้มจนเห็นลักยิ้มตื้น ๆ อย่างน่าเอ็นดู
ซือหยาก้มลงจรดริมฝีปากแตะเบา ๆ บนรูปนั้น ราวกับต้องการถ่ายทอดลมหายใจของตนให้กับเงาภาพเหล่านั้น
"แม่กลับมาแล้ว… เรากลับบ้านกันนะ อี้หมิง อันหมิง… สามี…" เสียงกระซิบของเธอสั่นเครือ แต่ยังคงอ่อนโยนและเด็ดเดี่ยว
เครื่องยนต์คำรามต่ำ ๆ เมื่อนิ้วชี้ของเธอกดปุ่มสตาร์ทรถ รถค่อย ๆ เคลื่อนออกจากลานจอด ฝนภายนอกยิ่งโหมแรง กระจกหน้ารถเต็มไปด้วยม่านฝนจนที่ปัดน้ำฝนแทบตามไม่ทัน ไฟถนนสะท้อนละอองฝนเป็นเส้นยาวพร่าเลือนเหมือนภาพสีน้ำ
ถนนใหญ่ที่ทอดยาวส่องแสงไฟเหลืองสลัว รถราในยามฝนตกดูบางตา ผู้คนหลบอยู่ในที่ปลอดภัย แต่ซือหยากลับพาตัวเองเข้าสู่ความว่างเปล่า เธอขับผ่านป้ายไฟข้างทางที่เปียกฝนจนส่องแสงระยิบระยับเหมือนหยดน้ำตา
สองมือของเธอกำพวงมาลัยแน่น แม้ปลายนิ้วจะแดงช้ำจากความเย็น ดวงตายังคงหันไปมองรูปถ่ายที่วางอยู่ตรงเบาะข้าง ๆ ราวกับกลัวว่าถ้าเธอเผลอกะพริบตา รูปนั้นจะเลือนหายไปพร้อมสายฝน
โรงงานเครื่องสำอางของเธออยู่ชานเมืองปักกิ่ง บนที่ดินกว่า 30 ไร่ที่สร้างขึ้นอย่างโอ่อ่า ทั้งออฟฟิศ โรงงาน และเพนเฮ้าส์บนตึกสูงรวมอยู่ในที่เดียวกัน
ซือหยาเคยภาคภูมิใจกับสิ่งเหล่านั้น เพราะมันคือความสำเร็จที่เธอสร้างขึ้นจากศูนย์ แต่ในค่ำคืนนี้ ความสำเร็จใด ๆ กลับเล็กน้อยจนไม่อาจกลบเสียงหัวใจที่เต้นแรงด้วยความคิดถึง
ฝนยังคงตกแรงขึ้นจนแทบมองไม่เห็นเส้นถนน ที่ปัดน้ำฝนเสียดสีไปมาอย่างไม่หยุด เสียงดัง กรืด กรืด คล้ายเสียงเตือนชะตากรรม
โคร้มมม!
เสียงดังลั่นขึ้นเมื่อรถอีกคันหนึ่งที่เลี้ยวเข้ามาในบริเวณเดียวกันด้วยความเร็วสูง เสียหลักพุ่งเข้ามาชนกับรถของเธอเข้าอย่างจัง! แรงกระแทกส่งให้รถของหานซือหยาหมุนเคว้งไปไกลกว่าสิบเมตร
ร่างของเธอกระแทกเข้ากับพวงมาลัยอย่างแรงจนได้ยินเสียงกระดูกซี่โครงหักอย่างชัดเจน เลือดสีแดงสดไหลซึมจากหน้าผากลงมาอาบใบหน้าเรียวสวยของเธอ ก่อนจะหยุดนิ่งพร้อมกับร่างกายที่แทบจะขยับไม่ได้
ลมหายใจของเธอติดขัด เธอพยายามจะเอื้อมมือไปหยิบรูปที่ตกอยู่บนเบาะรถข้างคนขับแต่ก็ไม่สำเร็จ เสียงอู้อี้ดังขึ้นในลำคอ ใบหน้าของเธอซีดเผือดลงเรื่อย ๆ
ร่างกายเริ่มชาหนาวจนไม่รับรู้ความรู้สึกใด ๆ อีกต่อไป สายตาพร่ามัวลงอย่างช้า ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงมองเห็นรูปนั้น เธอ...กำลังจะตายใช่ไหม?
ทันทีที่รถม้าจอดที่หน้าเรือนสกุลหาน ซือเหอก็รีบเปิดประตูรถแล้ววิ่งเข้าเรือนไปอย่างไม่คิดชีวิต ท่าทางที่เคยอิดโรยพลันกลับมามีพละกำลังอีกครั้ง เขามุ่งหน้าตรงไปยังห้องนอนใหญ่ของพี่สาว หวังจะเข้าไปกอดและหอมแก้มหลานสาวให้ชื่นใจแต่ทันทีที่เขาเดินเข้าใกล้ประตูห้อง ก็มีเสียงห้ามปรามดังขึ้นพร้อมกัน พ่อเฒ่าเสิ่น แม่เฒ่าหาน หยางเฉิง และแม้กระทั่งแม่เฒ่าฮัว ต่างก็ชี้มือมาที่เขาด้วยสีหน้าจริงจัง"หยุดเดี๋ยวนี้! ซือเหอ!" แม่เฒ่าหานกล่าวเสียงเข้ม นางทำจมูกฟุดฟิดด้วยความรังเกียจเล็กน้อย"ไปอาบน้ำให้สะอาดเสียก่อนลูก! เจ้าตัวเหม็นไปหมดแล้ว" พ่อเฒ่าหานกล่าวพลางหัวเราะอย่างขบขัน"เดี๋ยวกลิ่นเหงื่อกลิ่นควันเทียนจากตัวเจ้าจะไปติดหลานนะซือเหอ!" หยางเฉิงกล่าวอย่างเป็นห่วงซือเหอได้ยินดังนั้นก็อดที่จะยกมือขึ้นมาดมเสื้อผ้าตนเองไม่ได้ เขาหัวเราะออกมาอย่างขบขัน เพราะตอนนี้เขาตัวเหม็นจริง ๆ ราวกับแบกถังขยะมาด้วยสายตาของเขาถูกทอดมองไปยังหลานสาวตัวอ้วนที่อยู่ในอ้อมกอดของเจ้าแฝด อี้หมิงและอันหมิง ต่างพากันนั่งอยู่บนตั่งไม้ข้างเตียง อี้หมิงกำลังอุ้มประคองทารกน้อยไว้ด้วยความระมัดระวัง ส่วนอันหมิงก็นั่งเฝ้ามองน้องสาว
หลังจากการเขียนเรียงความเชิงนโยบายที่ยาวและหนักหน่วง ซือเหอและจางเหล่ยก็เริ่มเข้าสู่ข้อสอบถัดไป ซึ่งเป็น บทความแบบแปดส่วน และการตอบปัญหาบ้านเมือง ซึ่งต้องใช้ความรู้จากวรรณคดีขงจื๊อและปรัชญาโจทย์ข้อที่สอง "จงถอดความและวิจารณ์คำสอนของเมิ่งจื่อ: 'เมื่อราษฎรได้รับการดูแลอย่างดี ใครเล่าจะคิดก่อกบฏ?'"โจทย์ข้อที่สาม "ในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งขุนนางท้องถิ่น ท่านจะมีแนวทางในการควบคุมและจัดการกับปัญหาความขัดแย้งระหว่างกลุ่มพ่อค้าขนาดใหญ่และชาวบ้านในเรื่องการใช้แหล่งน้ำร่วมกันได้อย่างไร?"เมื่อซือเหอและจางเหล่ยอ่านโจทย์ทั้งสองข้อ สีหน้าของทั้งคู่ก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัดซือเหอซึ่งมีความรู้ด้านวรรณคดีที่แม่นยำ และมีประสบการณ์ตรงจากการค้าขายและการจัดสรรที่ดินของสกุลตนเอง ยกยิ้มเล็กน้อยจางเหล่ยก็พยักหน้าอย่างมั่นใจ เพราะข้อสอบเหล่านี้ไม่ได้ยากเกินความสามารถของพวกเขาเลย ความรู้ที่พวกเขาได้เรียนรู้มาจากซือหยาถูกจัดระบบและนำมาใช้ได้อย่างง่ายดายพวกเขาเริ่มเขียนตอบข้อสอบอย่างรวดเร็วและลื่นไหล พู่กันถูกตวัดลงบนกระดาษอย่างหนักแน่นและมั่นคง แต่หลังจากผ่านไปครึ่งวัน ปัญหาที่แท้จริงของการสอบก็เริ่มปรากฏชัด
สนามสอบหลวงซือเหอและจางเหล่ยมาถึง กงหยวน (贡院) ตามเวลาที่กำหนด พวกเขายืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มบัณฑิตหลายร้อยคนที่แต่งกายด้วยชุดซิ่วไฉอย่างเรียบร้อย ใบหน้าของบัณฑิตทุกคนเต็มไปด้วยความตึงเครียดและหวาดหวั่น ไม่ใช่เพราะความยากของข้อสอบ แต่เป็นเพราะความทรมานของการอยู่ภายในห้องสอบตลอดสามวันสองคืนก่อนจะได้รับอนุญาตให้ก้าวเข้าสู่ประตูแรกของสนามสอบ เจ้าหน้าที่สนามสอบได้เรียกบัณฑิตเข้าแถวเพื่อทำการตรวจค้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนที่เรียกว่า ซวนเซิน (悬身)"ถอดเครื่องแต่งกายออกให้หมด!" เสียงของเจ้าหน้าที่ผู้คุมสอบดังขึ้น ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมและไม่แสดงความปรานีซือเหอและจางเหล่ยมองหน้ากันด้วยความรู้สึกอับอายเล็กน้อย ถึงจะมีฉากกั้นก็ไม่ช่วยอะไร พวกเขาจำต้องถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้น เจ้าหน้าที่ใช้มือลูบไล้ไปตามทุกตะเข็บของเสื้อผ้าและชุดชั้นในอย่างไม่ละเว้น พวกเขาแม้กระทั่งตรวจค้นก้นบึ้งของพู่กัน ปลายขนของแปรง ตรวจดูด้านในของกระดานไม้ และเคาะที่ก้นหินฝนหมึก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการซุกซ่อนโพยใด ๆ"นำอาหารออกมาวางเรียงบนโต๊ะ!" เจ้าหน้าที่อีกคนสั่ง พวกเขาตรวจดูอาหารแห้งอย่างละเอียด ผงโจ๊กของซือหยาก็ถูกเจ้าหน้าที่ล
ภายในห้อง ซือหยาถูกเปลี่ยนเสื้อผ้าและนอนพักอยู่บนเตียง ใบหน้าของนางยังคงดูอ่อนเพลีย แต่ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและปีติ ร่างกายของนางถูกห่อหุ้มด้วยผ้าห่มหนาอย่างดี ข้าง ๆ เตียงมีเปลไม้ไผ่สานวางอยู่ ภายในเปลปูด้วยผ้าเนื้อดีนุ่ม ๆเด็กหญิงตัวน้อยนอนหลับตาพริ้มอยู่ในเปล ผิวของนางขาวสะอาดผุดผ่องราวกับหยก แก้มยุ้ย ๆ สีแดงระเรื่อของนางดูอวบอิ่มราวกับผลท้อแรกแย้ม เป็นทารกที่อ้วนท้วนสมบูรณ์และน่ารักน่าชังหยางเฉิงเดินไปที่เตียงเขาหยิบผ้าสะอาดที่มารดาเตรียมไว้มาเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากของภรรยาอย่างเบามือ"ลำบากเจ้าแล้ว... ซือหยา" น้ำเสียงของหยางเฉิงแหบพร่า แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความซาบซึ้งใจ"ไม่ลำบากเจ้าค่ะท่านพี่ ข้าเต็มใจ... ว่าแต่ท่านพี่ตั้งชื่อให้ลูกรึยังเจ้าคะ" ซือหยาจับมือของสามีไว้ นางตอบด้วยรอยยิ้มที่อ่อนแรงแต่จริงใจหยางเฉิงหันไปมองเด็กหญิงตัวน้อยที่นอนอยู่ในเปล เขาเดินเข้าไปใกล้อีกนิด รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าคมคายของเขา"ตั้งแล้ว ให้นางชื่อ เสิ่นเยว่หมิง คล้องกับพี่ชายของนาง... เยว่หมิงลูกพ่อ" เขายื่นมือไปเกลี่ยแก้มยุ้ยของลูกสาวเบา ๆ ด้วยความรักใคร่ "...""พ่อค
เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบของหมอตำแยพร้อมกับโฮ่วหมิงที่วิ่งตามมาดังขึ้นจากด้านนอก สัญญาณแห่งการรอคอยกำลังจะสิ้นสุดลง... อีกไม่นานชีวิตน้อย ๆ ก็จะลืมตามาดูโลก...หมอตำแยหม่า สวมชุดผ้าฝ้ายสีน้ำตาลเรียบ ๆ มือถือตะกร้าหวายสานอย่างดี ภายในบรรจุอุปกรณ์ทำคลอดที่จำเป็น ใบหน้าของนางดูเคร่งขรึมและสุขุม ไม่แสดงอาการตกใจแม้แต่น้อยเมื่อเห็นหยางเฉิงยืนรออยู่ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกนางรีบเดินตรงไปยังห้องนอนใหญ่โดยมีหยางเฉิงก้าวตามไปติด ๆ ด้วยความเป็นห่วง เมื่อหมอตำแยหม่าเห็นหยางเฉิงทำท่าจะตามเข้าไปในห้องด้วย นางก็หยุดยืนขวางประตูไว้ทันที"หยุดอยู่ตรงนั้นเถิดเจ้าหนุ่ม! นี่เป็นเรื่องของผู้หญิง! ห้องคลอดไม่ใช่ที่ที่บุรุษพึงเข้าได้ เจ้าออกไปรอข้างนอกเถอะ!" เสียงของนางดังและหนักแน่นราวกับคำสั่ง"ขะ... ข้าเป็นห่วงภรรยาข้ารับ" หยางเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงติดขัด มือใหญ่ของเขาเกือบจะแตะบานประตู แต่ก็ถูกสายตาอันเฉียบขาดของหมอตำแยยับยั้งไว้หมอตำแยหม่าไม่กล่าวอันใดอีก นางทำเพียงปิดประตูไม้บานใหญ่ลงอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด เสียงล็อกประตูตามมาเบา ๆ ทำให้หยางเฉิงได้แต่ยืนอยู่หน้าห้องด้วยความกระวนกระวายใจน้ำร้อนถูกส่งเข้าไ
ซือหยานั่งมองเห็นรถม้าทั้งสองคันที่มีน้องชายและพ่อแม่ของนางอยู่ในนั้น รถม้าวิ่งไปตามถนนใหญ่สามารถมองเห็นได้จากชานเรือน สายตาของนางเต็มไปด้วยความหวัง พลางชี้ให้ลูก ๆ ดูร้านน้ำชาและโรงเตี๊ยมที่ตั้งอยู่ในระยะไม่ไกลนัก"ท่านแม่... เท้าท่านแม่บวมอีกแล้ว ลูกจะนวดให้เองนะขอรับ"อี้หมิงเดินเข่าเข้ามาใกล้เท้าของมารดา มือเล็ก ๆ ของเขาเริ่มบีบนวดที่น่องและข้อเท้าที่บวมเล็กน้อยของซือหยาอย่างเบามืออันหมิงค่อย ๆ คลานมาซบที่หน้าท้องนูนใหญ่ของมารดา แก้มอวบ ๆ ของเขาแนบลงไปกับผ้าไหมบางเบาที่ห่อหุ้มชีวิตน้อย ๆ ไว้ เขาจุมพิตลงไปที่ท้องเบา ๆ แล้วเริ่มพูดคุยกับน้องน้อยที่อยู่ในครรภ์"น้องน้อย... พี่อันหมิงอยู่นี่นะ เป็นเด็กดี ไม่ทำให้ท่านแม่เจ็บนะ เมื่อไหร่ที่เจ้าออกมา พี่ชายจะแบ่งของอร่อยให้เจ้ากิน" เขาพูดกับท้องของมารดาเบา ๆ ราวกับกลัวว่าเสียงจะดังเกินไปจนทำให้น้องตกใจ ซือหยายกมือขึ้นลูบศีรษะของลูกชาย ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความสุขอย่างเปี่ยมล้น หยางเฉิงนั่งลงข้าง ๆ และโอบไหล่ภรรยาไว้ มองภาพลูก ๆ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น ภาพสี่คนพ่อแม่ลูกกับอีกหนึ่งชีวิตที่กำลังจะเกิด ช่







