LOGINนาฬิกาชีวิตปลุกให้ฉันตื่นขึ้นอัตโนมัติ กิจกรรมร่วมรักบนเตียงเมื่อคืนส่งผลให้ความปวดร้าว หนักหน่วงคืบคลานไปทั่วร่าง
แม้จะตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ฉันก็ยังขยับตัวลำบาก เนื่องจากสองแขนแกร่งของคนนอนข้างกายยังคงรัดแน่นไม่ยอมปล่อยราวกับกลัวว่าฉันจะหนีหายไป
พี่แทนยังคงหลับสนิท ฉันหันไปจ้องหน้าเขาชัด ๆ ยิ่งมองยิ่งรู้สึก...หล่อจนใจสั่น ไม่ใช่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่หัวใจที่เขามอบให้ฉันก็รับรู้ได้ทั้งหมด
เขานอนตะแคงหันหน้ามาทางฉัน มือหนึ่งยังพาดอยู่บนเอวฉัน
“โธ่เอ้ย...พอหลับแล้วไม่เห็นจะดูเจ้าเล่ห์เลยนะ” ฉันยิ้มพึมพำเบา ๆ ขณะใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าหล่อเขาให้เห็นเด่นชัด
ฉันเอี้ยวตัวอย่างเบามือ ให้ตัวแนบชิดกับเขามากกว่าเดิม ซบหน้าลงกับอกแกร่งฟังเสียงหัวใจของเขาที่ยังเต้นแรงอยู่
“เมื่อวานที่หนูบอกว่า...ไม่อยากแพ้พี่” ฉันกระซิบเบา ๆ กับตัวเอง “ไม่ใช่เพราะหนูอยากเอาชนะ” ฉันยิ้มพลางขยับใบหน้าเบา ๆ เพื่อรับไออุ่นมากขึ้น “แต่หนูอยากให้พี่เห็นว่า หนูก็พร้อมมอบความรักให้พี่เช่นกันค่ะ”
เขาขยับตัวเล็กน้อย มือที่กอดฉันไว้กระชับแน่นขึ้น ทำฉันสะดุ้งจนกระตุกวูบ
“แกล้งหลับอยู่ใช่ไหมคะ...” ฉันแหงนหน้ามอง ย่นจมูกใส่เขาแล้วจูบเบา ๆ “ถ้าไม่ตื่นละก็หนูจะลุกไปก่อนนะ”
ไม่ทันที่ฉันจะขยับตัวออกจากอกนั้น มือใหญ่ก็รั้งฉันไว้เต็มแรง เสียงทุ้มยังคงงัวเงียเพราะเพิ่งตื่นนอน
“ถ้าหนูลุก...พี่ไม่รับประกันนะ ว่าจะไม่ลากกลับมาทำให้ร้องครางเสียงหลงแต่เช้าน่ะ”
“พี่แทน!”
เขาหัวเราะในลำคอ พรมจูบหน้าผากฉันเบา ๆ
“เช้าแบบนี้ อยู่ในอ้อมกอดพี่ก่อนสิครับ จะรีบลุกทำไม”
“ก็เมื่อคืนมันเหนื่อยมาก ตื่นมาก็หิวเลยสิคะ” ฉันเงยหน้ามองเขา
“งั้นสักพักออกไปทานอะไรกันดี”
“อยากกินต้มยำกุ้ง อยากกินปลาหมึกผัดพริกเผา อยากกินอะไรเต็มไปหมดเลย”
“นั่นสิเนาะ เหนื่อยกันมาทั้งคืนต้องเติมพลังหน่อย” เขาส่งยิ้มให้ฉัน แต่ทำให้จู่ ๆ ฉันก็เศร้าจัง
“แต่ว่า...” ฉันทำหน้าซึมให้เขาเห็นอย่างชัดเจน
“เป็นอะไรไป”
“เราออกไปทานด้วยกันไม่ได้ก็ไม่มีความหมายสิคะ อยากมีวันที่เราได้ทานข้าวด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกันอย่างเปิดเผยบ้าง แต่คงทำไม่ได้” ฉันก้มหน้าซึม แม้ภายในห้องนี้ฉันจะมีความสุขมากแค่ไหน แต่พอย่างก้าวออกจากประตูไป ความสุขสมเหล่านี้ก็หายวับไปกับตาต้องทำเหมือนแค่คนรู้จักกับเขามันเจ็บปวดจะตายไป
พี่แทนหันมากุมใบหน้าฉันให้หันไปมองเขา ใบหน้าเขายังคงฉายรอยยิ้มให้ฉันไม่เครียดจนเกินไป ทั้งที่เขาเองคงอึดอัดใจไม่น้อยเช่นกัน
“ทำไมจะออกไปทานด้วยกันไม่ได้ล่ะครับ เวลาแบบนี้แหละเหมาะสมที่สุดเลยนะครับ”
“จะเป็นแบบนั้นได้ไงคะ ละครก็กำลังออนแอร์แบบนี้ มิ้นไม่อยากให้ละครที่พี่แทนเขียนต้องพังเพราะมิ้นหรอกค่ะ” ฉันเบือนหน้าหนีเพราะรู้สึกหนักใจไปหมด
“มิ้นครับ...ละครที่พี่เขียนก็คือเรื่องราวของเรา พี่ไม่ได้สนหรอกว่ามันจะดังหรือไม่ พี่แค่อยากถ่ายทอดมันออกมาโดยที่มีตัวจริงอยู่ในเรื่องที่แต่งจากเรื่องจริงเท่านั้นนะครับ”
“พี่พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ? มิ้นไม่เข้าใจ”
“พี่ก็เคยบอกแล้วไงว่าเรื่องนี้พี่เขียนมาจากเรื่องประสบการณ์จริง”
“ค่ะ...แล้ว” ฉันเลิกคิ้วหันกลับไปมองหน้าเขา
“ไม่คิดเหรอ ว่าคนคนนั้นมันหมายถึงมิ้นมาโดยตลอด”
“ก็พอรู้ค่ะ เพราะฉากหลัง ๆ พี่แทนก็เคยบอกว่ามิ้นคือคนนั้น แต่ยังไงเนื้อเรื่องมันก็เสริมแต่งโดยอิงจากเรื่องจริงไม่กี่เปอร์เซ็นต์อยู่แล้วนี่คะ” ฉันพูดไปตามเนื้อผ้า แต่พี่แทนกลับส่ายหน้าไปมา
“เปล่าเลยครับ ทุกอย่างในละครของตัวพระเอกเป็นเรื่องจริงเกือบทั้งเรื่อง มีแค่ฉากจบเท่านั้นครับที่เป็นเรื่องแต่ง แต่รอเป็นเรื่องจริงอยู่ครับ”
“ห๊า!” ฉันทำหน้าเหวอ
“หนูไม่คิดเหรอว่าฉาก มหาลัยมันดูคุ้นเคย”
“คุ้นเคยสิคะ เหมือนย้อนไปวัยเรียน แต่บทพี่มันแปลก ๆ”
“ไม่แปลกหรอกครับ เพราะพระเอกในละครตอนนั้นเป็นแบบนั้นจริง ๆ คนที่คอยดูการเติบโตของนางเอกอยู่ห่าง ๆ โดยไม่หวังให้นางเอกมองมา”
“เดี๋ยวนะ หรือว่าพี่คือ บุคคลปริศนา FriendBook คนนั้น” ฉันเบิกตาโพลงวิ่งไปค้นสมุดเก่า ๆ เล่มหนึ่ง ที่ฉันมักจะทิ้งไว้ที่โต๊ะประจำของตัวเอง ในวันที่ฉันร้องไห้วันหนึ่งฉันพบข้อความที่เขียนให้กำลังใจในนั้น และฉันก็เขียนตอบมันไปไม่ได้หวังว่าจะมีใครตอบ แต่ในวันถัดมาฉันกลับพบว่ามีลายมือเดียวกันที่เขียนโต้กลับมาเสมอ ฉันเรียกเขาคนนั้นว่า
‘FriendBooK’ เพื่อนในสมุดที่ฉันไม่รู้ว่าเป็นใคร
“พี่คือคนนั้นจริง ๆ เหรอคะ”
“...” เขาไม่เอ่ยออกมา ได้แต่ยิ้มและพยักหน้าเล็ก ๆ เท่านั้น ยิ่งพอรู้แบบนั้นก็ยิ่งทำให้ฉันรักเขามากกว่าเดิมไปอีก
“ดังนั้นอย่ากังวลเลยนะครับว่าความสัมพันธ์ของเราจะทำร้ายใคร ถ้าหากการเปิดตัวมันทำให้เกิดเรื่องวุ่นวาย เราก็แค่จับมือกันฝ่าฟันสิครับ พี่ไม่มีทางทิ้งมิ้นให้เผชิญหน้าคนเดียวหรอก” เขาลูบหัวฉันอย่างแผ่วเบา คำพูดของเขาพานทำให้ฉันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก และมีความกล้าที่จะเผชิญปัญหาทุกสิ่งแล้วล่ะ
“งั้น...ตอนนี้เราสองคนควรเริ่มอะไรก่อนดีคะ”
“พี่เริ่มไปก่อนแล้วครับ ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ”
“เริ่ม...อะไรคะ”
“ดูในโซเชียลสิ”
ฉันมองเขาตากะพริบ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเปิด ตอนแรกก็ไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้นัยน์ตาฉันถึงกับค้างไปแล้วล่ะ
เทรนด์ในโซเชียลตอนนี้กำลังร้อนระอุเป็นไฟ
#คู่จิ้น(ไม่)คู่จริง(ใช่)
#แทนมิ้นคู่จริง
#รอยยิ้มของตัวจริง
แถมคอมเมนต์ก็ไปทางเดียวกันอย่างเอกฉันท์
‘ว่าแล้วแทนมิ้นต้องมีซัมติงกันจริง ๆ ดูจากสายตาพระเอกมองนางเอกยังไงก็ไม่ใช่บท’
‘ในละครแสดงเนียนจนนึกว่าคู่จริง แล้วมันก็ใช่ทำไมซื้อหวยไม่ถูกแบบนี้บ้างวะ’
‘เหมาะสม เหมาะสมที่สุด’
‘อิแอนตี้อกแตกตายไปซะ’
ฯลฯ
“พี่โพสต์ไปเมื่อไหร่คะ” ฉันมองจอมือถือสลับกับหน้าพี่แทน
“เมื่อคืนครับ”
“ทำไมมิ้นไม่รู้”
“ก็มิ้นสลบไสลไปแล้วไง”
“แล้วทำไมพี่ถึงได้...ตัดสินใจโพสต์ลงล่ะคะ”
“เพราะพี่ควรรับผิดชอบไงครับ ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ไม่สิในฐานะคนที่รักหนูคนหนึ่ง พี่อยากเดินเคียงข้างหนูนะครับ ไม่ใช่หลบ ๆ ซ่อน ๆ แบบนี้ พี่บอกแล้วไง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะจับมือเดินฝ่าไปด้วยกัน”
“พี่แทน...” ฉันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ คนตรงหน้าก็ลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยน
“เป็นไง หนูรักพี่มากขึ้นใช่ไหมล่ะ”
“ความรักที่หนูมีให้พี่ มันไม่มีลิมิตหรอกค่ะ อันลิมิเต็ด”
“ปากหวานจังครับ เอาเถอะไปอาบน้ำกัน เดี๋ยวหิวแย่ไปกว่านี้”
“ว๊าย!!” เขาอุ้มตัวฉันไม่ทันตั้งตัว แล้วพอฉันไปยังห้องน้ำเพื่อชำระกาย เฮ้อ...และก็เป็นไปตามคาด ขนาดอาบน้ำฉันยังถูกจัดเต็มไปอีกหนึ่งยก ดูท่าหลังจากนี้คงจะเหนื่อยน่าดู แต่ไม่เป็นไรค่ะ ยัยมิ้นคนนี้พร้อมรบ(รัก)เสมอ
(ณ.ร้านอาหารแห่งหนึ่ง)
“แก...สองคนนั้นใช่ดาราหรือเปล่า” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยกับเพื่อนของเธอ
“ไหน...เฮ้ยใช่จริง ๆ ด้วยถ่ายรูปดิ โอ๊ย! ตัวจริงสวยหล่อมากแก ฉันติดละครเรื่องนี้มาก ฟินฉิบหาย”
ตอนนี้ฉันกับพี่แทนเดินออกจากคอนโดเพื่อมาทานร้านอาหารโดยที่ไม่คิดปิดบังตัวตนอีกต่อไป เรื่องนี้เองฉันก็ได้ปรึกษาบริษัทต้นสังกัด ซึ่งพวกเขาก็ยินดีและไม่มีกฎเกณฑ์จะห้ามฉันตั้งแต่ต้นอยู่แล้วล่ะ
“พี่ค่ะ ปล่อยมือบ้างก็ได้ คนมองกันเต็มเลย” ฉันหันไปหาคนข้าง ๆ ที่ตั้งแต่ลงจากรถมา เขาไม่แม้แต่จะปล่อยมือฉันสักวินาทีราวกับกลัวว่าฉันจะหนีไปไหน
“ไม่ครับพี่อยากจับมือแบบนี้ไปตลอด อยากให้คนรู้ว่าเราเป็นแฟนกัน ไม่สิ...” เขาเงียบก่อนจะโน้มตัวมากระซิบฉัน “ว่าหนูเป็นเมียพี่”
สิ้นคำเขา ฉันก็แทบอยากจะมุดหน้าหนี ตอนแรกมันก็เสี่ยว ๆ อยู่หรอก แต่พอคนพูดเป็นพี่แทนฉันกลับรู้สึกเขินมาก คนหล่อนี่พูดอะไรก็ไม่ติดจริง ๆ เฮ้อ...ยัยมิ้นเอ้ย...ยอมรับเถอะ แกคลั่งรักเขาเสียจนหน้ามืดตามัว
กว่าเราจะเดินเข้ามาในห้องอาหารที่จองพิเศษไว้ได้ เล่นเอาเหนื่อยเพราะแฟนคลับละครต่างถาโถมเข้ามาล้อมรอบ ถ่ายรูปไม่หยุด ซึ่งฉันกับพี่แทนก็เลือกที่จะไม่หลบอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่ากระแสละคร และเรื่องที่พี่แทนโพสต์แจ้งว่าเราสองคนคบกัน จะเป็นที่โด่งดังขนาดนี้ นี่ไม่ใช่แค่ในโซเชียลแต่ในชีวิตจริงก็ไม่แพ้กันเลย
“เหนื่อยไหมครับ ทานน้ำเย็น ๆ ก่อน” ฉันนั่งถอนหายใจยาว ก่อนที่พี่แทนจะยื่นแก้วน้ำมาให้ฉัน
“ไม่คิดว่าคนจะรุมเยอะขนาดนี้ค่ะ”
“ช่วงนี้ละครออนแอร์ เป็นธรรมดาที่เขาจะอินกับละครครับ”
“แต่ก็รู้สึกดีนะคะ พี่พวกเขาเอ็นดูพวกเรา นึกว่าจะโดนเขม่นซะแล้ว” แม้ฉันจะเหนื่อย แต่ฉันมีความสุขจริง ๆ นั่นแหละ
“ละครกำลังออนแอร์ พอรู้ว่าเราคบกันจริง ๆ ยิ่งเหมือนฝันของพวกเขาเป็นจริงแหละครับ” พี่แทนวางแก้วน้ำลง พลางใช้หลังมือแตะแก้มฉันเบา ๆ “ไม่ใช่แค่แฟนคลับนะครับ พี่เองก็รู้สึกเหมือนฝันเหมือนกัน”
ฉันเหลือบมองนัยน์ตาเขา ยิ่งดูยิ่งรู้สึกว่าเขาจริงจังมากแค่ไหน ทั้งคำพูด สายตา สัมผัสเล็ก ๆ ทำให้ฉันยิ่งรักเขาเข้าไปอีก
“มิ้นไม่คิดเลยค่ะ ครั้งแรกที่กลับมาเจอพี่ในฐานะคนเขียนบท หนูคิดมาตลอดว่าพี่เป็นเกย์ แต่ว่าหัวใจของหนูก็ยังยืนยันว่าชอบพี่อยู่ดี พอมาคิด ๆ ดูแล้วมันแปลกดีแฮะ”
“ไม่แปลกหรอกครับ เพราะถ้าเรารักใครเราจะมองข้ามทุกสิ่งทุกอย่างไปซะหมด เหมือนที่พี่ชอบหนูมาตลอดไง ไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหน พี่ก็ยังคอยมองหนูตลอด”
“เฮ้อ...ดีจังที่สุดท้ายทั้งพี่และมิ้นก็ได้มานั่งด้วยกันอยู่ตรงนี้” ฉันยิ้มปริ่มอย่างมีความสุข
“รู้ไหม พี่จองร้านนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ เพราะพี่รู้ว่ามิ้นต้องหิวแน่ ๆ หลังผ่านคืนของเรา พี่อยากให้วันนี้เป็นเหมือนวันเปิดตัว ที่เรากล้ารักกันแบบไม่หลบซ่อนอีกต่อไปครับ”
“โรแมนติกจังค่ะ เหมือนฉากในละครเลย”
“หึ...ในละครก็ไม่หวานเท่าเราหรอกครับ เพราะพี่จะประเคนความสุขให้หนู ทั้งวันทั้งคืน ไม่สิ...ทั้งชีวิตเลย”
“พูดแล้วนา...มิ้นจำขึ้นใจเลยล่ะ”
จากนั้นเราสองคน ก็สั่งอาหารแล้วดื่มด่ำกับอาหารเลิศรส พร้อมกับคุยกันแบบเปิดใจทุกอย่าง นี่แหละนะ...ความรักที่พร้อมจะเดินหน้าไปด้วยกัน ไม่สิเรียกว่าอนาคตของ ‘คู่ชีวิต’ เลยล่ะ
ห้องรับรองหลังฉากในสตูดิโอรายการ ‘4 แซ่บบันเทิง’ แม้จะเย็นฉ่ำจากแอร์ แต่มันก็ไม่สามารถดับความประหม่าในใจฉันได้เลยสักนิด“พี่...แน่ใจเหรอ ว่าเราควรมานั่งให้สัมภาษณ์แบบนี้ มันจะไม่โหนกระแสไปหน่อยเหรอคะ” ฉันหันไปกระซิบถามพี่แทนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พลางจับมือเขาแน่นจนชื้นเหงื่อ“แน่ใจสิครับ ไหน ๆ ก็เปิดตัวแล้ว เราก็ควรจะไปให้สุด” เขาตอบพร้อมรอยยิ้มอย่างใจเย็นใจ ฉันพ่นลมหายใจยาวใช้หลังมืออีกข้างแตะหน้าผากตัวเองเบา ๆ ได้แต่ภาวนาให้ฉันอย่าหลุดพูดอะไรแปลก ๆ เลยเถอะ“อีกสิบนาที เตรียมตัวนะคะ” หนึ่งในทีมงานเดินเข้ามาแจ้ง ก่อนจะหันมายิ้มให้ฉันอย่างเป็นกันเอง “ไม่ต้องเกร็งนะคะคุณมิ้น แฟน ๆ ตอนนี้ยอดคนดูรอแล้วกว่าแสนคน” ฉันพยักหน้ารับ ขณะที่พี่แทนหันมากระซิบข้างหูกันเบา ๆ“ไม่ต้องกลัวนะครับ พี่อยู่ตรงนี้ตลอด” แม้หัวใจฉันจะเต้นแรง แต่เพียงเขาพูดแค่นี้ก็ทำให้ฉันสงบลงได้ ใช่...ต่อจากนี้เราจะไม่ต้องแอบ ไม่ต้องหลบ และปิดบังอีกต่อไป(หน้าฉากสตูดิโอ รายการ 4 แซ่บบันเทิง)“ว้าว...ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้นั่งสัมภาษณ์สองคนนี้ในฐานะ ‘คู่รัก’ ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับความรักครั้งนี้ด้วยนะคะ คุณแทนและคุณมิ้น”
นาฬิกาชีวิตปลุกให้ฉันตื่นขึ้นอัตโนมัติ กิจกรรมร่วมรักบนเตียงเมื่อคืนส่งผลให้ความปวดร้าว หนักหน่วงคืบคลานไปทั่วร่างแม้จะตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ฉันก็ยังขยับตัวลำบาก เนื่องจากสองแขนแกร่งของคนนอนข้างกายยังคงรัดแน่นไม่ยอมปล่อยราวกับกลัวว่าฉันจะหนีหายไปพี่แทนยังคงหลับสนิท ฉันหันไปจ้องหน้าเขาชัด ๆ ยิ่งมองยิ่งรู้สึก...หล่อจนใจสั่น ไม่ใช่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่หัวใจที่เขามอบให้ฉันก็รับรู้ได้ทั้งหมดเขานอนตะแคงหันหน้ามาทางฉัน มือหนึ่งยังพาดอยู่บนเอวฉัน“โธ่เอ้ย...พอหลับแล้วไม่เห็นจะดูเจ้าเล่ห์เลยนะ” ฉันยิ้มพึมพำเบา ๆ ขณะใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าหล่อเขาให้เห็นเด่นชัดฉันเอี้ยวตัวอย่างเบามือ ให้ตัวแนบชิดกับเขามากกว่าเดิม ซบหน้าลงกับอกแกร่งฟังเสียงหัวใจของเขาที่ยังเต้นแรงอยู่“เมื่อวานที่หนูบอกว่า...ไม่อยากแพ้พี่” ฉันกระซิบเบา ๆ กับตัวเอง “ไม่ใช่เพราะหนูอยากเอาชนะ” ฉันยิ้มพลางขยับใบหน้าเบา ๆ เพื่อรับไออุ่นมากขึ้น “แต่หนูอยากให้พี่เห็นว่า หนูก็พร้อมมอบความรักให้พี่เช่นกันค่ะ”เขาขยับตัวเล็กน้อย มือที่กอดฉันไว้กระชับแน่นขึ้น ทำฉันสะดุ้งจนกระตุกวูบ“แกล้งหลับอยู่ใช่ไหมคะ...” ฉันแหงนหน้ามอ
ฉันยังชันเข่าอยู่ตรงหน้าเขาแบบนั้น แต่อารมณ์ในตอนนี้ไม่ใช่แค่นั่งเฉย ๆ อีกต่อไป สองเราลูบไล้และทอดนัยน์ตายั่วยวนกันและกัน โดยไม่มีใครยอมใครมือฉันแนบอยู่บนอกแกร่ง มือเขาแนบอยู่ที่แผ่นหลังฉัน พลางไล้นิ้วไปตามสันหลังก่อนจะหยุดตรงกลางหลังแล้วพยายามเร่งโน้มตัวฉันลงไปอีก แต่ฉันไม่ยอมหรอก“จะรีบร้อนทำไมคะ” ฉันกระซิบแหบพร่า พร้อมกดมือบนอกแกร่งเขาเบา ๆ จงใจถ่วงเวลาไว้พี่แทนยิ้มแฝงด้วยจิตวิญญาณนักล่าที่รู้ว่าคนตรงข้ามอย่างฉันกำลังเล่นเกมด้วยความรู้สึกเดียวกัน“ไม่ได้รีบร้อน แค่รู้สึกว่าถ้าพี่ปล่อยให้หนูคุมเกมมากกว่านี้ พี่อาจจะหมดแรงก่อนได้เริ่มจริง”“แปลว่าเริ่มกลัวหนูแล้วสินะ”“ไม่ได้กลัว...แค่ไม่ประมาทครับ” ฉันยกยิ้มมุมปากโน้มใบหน้าเข้าใกล้ใช้เรียวลิ้นร้อนไล้เลียไปตามแนวหลังใบหู สันกรามเบา ๆ ขณะที่มือฉันเริ่มเคลื่อนไปตามอารมณ์สอดเข้าในเรือนผมของเขาพลางขยุ้มเบา ๆเขาชะงักเล็กน้อยกับสัมผัสบางเบานี้“ถ้าเล่นแรงแบบนี้ พี่คงต้องเอาจริงแล้วนะครับ” ฉันยิ้มมุมปาก ขณะใช้มืออีกข้างลูบไปตามแนวแขนแกร่งเขา“ก็รออยู่นี่ไงคะ จะเอายังไงก็เชิญ พร้อมรับแรงกระแทกเสมอ” สิ้นคำสิ่งที่เขาตอบกลับมาคือการกดจูบอีก
“โอเคครับ กล้องพร้อม! ไฟพร้อม! แอคชั่น!” เสียงผู้กำกับดังขึ้นท่ามกลางกองถ่ายบ้านหรูปลีกวิเวกที่แสนสงบ เราสวมชุดนักแสดงเต็มยศ ฉันอยู่ในชุดเดรสลูกไม้สีฟ้าอ่อน พี่แทนอยู่ในชุดเชิ้ตขาวพับแขนกับกางเกงสแล็คเข้ารูปบรรกาศโดยรอบเงียบลงอย่างรวดเร็ว ทุกคนอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ของตน...ฉากที่เรากำลังจะถ่ายกันคือ ‘ฉากจูบแรก’ ของพระเอกและนางเอกในละครเรื่อง รอยยิ้มของตัวจริง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครหลัก โดยก่อนหน้านี้มีแต่การปะทะอารมณ์และเข้าใจผิดมาโดยตลอด ‘ในการถ่ายทำชื่อตัวละครในเรื่อง คือชื่อพวกเราเลย แต่ในเมื่อคนเขียนบทอย่างพี่แทนเขียนมาแบบนั้น ฉันก็เออออไปตามนั้นแหละ’และตอนนี้ พี่แทนกำลังจะจูบฉัน“มิ้น...” เสียงเขาเรียกเบา ๆ ขณะยืนห่างฉันไม่ถึงฝ่ามือ นัยน์ตามีความลังเลปนกับความรู้สึกบางอย่าง“มิ้นรู้ไหม ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน พี่ไม่เคยหันไปมองใครอีกเลย” บทละครบอกให้ฉันต้องนิ่ง น้ำตาคลอ ตัวสั่นนิด ๆ และปล่อยให้เขาโน้มตัวเข้ามาช้า ๆ ฉันทำตามบททุกอย่างอย่างมืออาชีพ และที่สำคัญฉันใส่หัวใจตัวเองลงไปเล่นด้วยริมฝีปากของพี่แทนเคลื่อนเข้ามาใกล้ ใกล้จนฉันได้กลิ่นหอมจาง ๆ จา
หลังกลับมาจากการพักผ่อน ชีวิตนักแสดงสาวก็เข้าสู่วังวนการทำงานที่คุ้นเคย ตอนนี้ชื่อเสียงของฉันทวีคูณมากขึ้น ตั้งแต่ฉันเปิดใจว่าจะรับบท ‘นางเอก’ ก็มีผู้ผลิตละครหลายเจ้ายื่นเสนอมาให้พิจารณาบทเป็นกอง แต่...เรื่องพวกนั้นเอาไว้ทีหลังก่อน เพราะการกลับมาเล่นบทนำในครั้งนี้ ยังไงซะฉันก็ตัดสินใจจะเล่นให้กับละครที่แฟนของฉันเขียนขึ้นมาก่อนวันนี้เป็นวันแถลงข่าวเปิดตัวนักแสดงนำของละครเรื่อง รอยยิ้มของตัวจริง อย่างเป็นทางการ ฉันมาในชุดเดรสสีดำ ผมชมพูฟาร่าลอนสวย ชนิดที่เดินผ่านคนไหนก็ต้องเหลียวหันมามอง อาจเป็นเพราะก่อนหน้าฉันรับแต่บทตัวประกอบเวลามีงานแถลงข่าวก็ไม่ได้ถูกเชิญขึ้น“พี่กรีน พี่พอรู้รึเปล่าว่าเรื่องนี้ ใครรับบทพระเอก” ฉันหันไปถามผู้จัดการส่วนตัว เอาจริงนะ ฉันไม่รู้อะไรเลยว่าใครแสดงบ้าง บทจริงยังไม่เห็นด้วยซ้ำ แต่เพราะมั่นใจในตัวพี่แทน ฉันเลยไม่ได้ซีเรียสอะไร“ไม่รู้สิ ผู้ผลิตเขาไม่ได้แจ้งอะไรเพิ่มเติมมาเลย ลึกลับมาก”“งั้นเหรอคะ” ฉันเลิกคิ้ว แต่สุดท้ายก็เลิกที่จะสนใจมันไปไม่นานนัก มีทีมงานเรียกให้ฉันเตรียมพร้อมรอขึ้นเวทีอยู่ด้านข้าง“เรียนสื่อมวลชนทุกท่าน กรุณาเตรียมกล้องให้พร้อมนะครับ เ
เสียงนกร้องเบา ๆ จากยอดไม้ข้างนอกดังลอดเข้ามาในเต็นท์ ทำให้เปลือกตาฉันที่หลับสนิทค่อย ๆ ตื่นขึ้นมา วินาทีแรกที่ได้กลิ่นไอดินปะปนกับกลิ่นหญ้าเปียกหลังฝนจางเมื่อคืนที่ผ่านมา ความสดชื่นก็แผ่ไปทั่วร่างร่างฉันยังซุกแนบอยู่ในอ้อมกอดพี่แทน ใบหน้าแนบชิดกับอกแกร่งอย่างเคยใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ฉันรับรู้ได้ถึงลมหายใจของเขาที่รินรดบนหัว เสียงลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกได้ว่าหลับสนิทมากเพียงใดฉันขยับตัวเล็กน้อย แต่ยังไม่กล้าเปลี่ยนท่าทางมาก เพราะกลัวจะรบกวนการนอนของเขา แต่ก็ได้แค่คิด...“หนาวเหรอ?” เสียงทุ้มงัวเงียกระซิบชิดข้างหูฉัน ฉันเงียบไปอึดใจก่อนจะส่ายหน้าเล็ก ๆ แล้วตอบกลับเบา ๆ“เปล่าค่ะ...แค่ยังไม่ชินปกตินอนคนเดียวมาตลอด” พี่แทนขยับตัวเล็กน้อยสองแขนกอดรัดฉันแน่นขึ้น“ก็ทำให้ชินสิครับ” เขาขยับหัวมาแนบแก้มนุ่มฉัน ริมฝีปากแตะหน้าผากอย่างแผ่วเบาก่อนพึมพำต่อ “ถ้าเราตื่นมาแบบนี้พร้อมกันทุกวันก็ได้นะ ถ้าหนูไม่เบื่อ”ฉันยิ้มมองใบหน้าคมที่ปรือตามองฉันเพราะเพิ่งตื่นนอน“หนูไม่เบื่อหรอกค่ะ แต่กลัวว่าจะเป็นพี่มากกว่าที่เบื่อก่อนหนูก็ได้” ฉันพูดจบเขาก็ลากนิ้วไล้กรอบหน้า ก่อนจะหยุดที่ริมฝีปากฉัน“ทั้งที่เพิ่







