หลังกินข้าวเสร็จ ฉางเล่ยอาสาไปล้างถ้วยชาม ส่วนซูเมี่ยวจินถูกแม่ฉางรั้งไว้เพื่อสอบถามเรื่องสิ่งของมากมายที่ซื้อมา
“เมี่ยวจิน ลูกซื้อของมากขนาดนี้ทำไมกัน แล้วแบบนี้จะมีเงินพอจัดงานแต่งงานของพวกลูกเหรอจ๊ะ” หลิวเอ้อหลิงจับมือซูเมี่ยวจินและถามด้วยความกังวล
“มีสิคะแม่ พวกเรายังเหลือเงินอีกมาก แม่ไม่รู้หรอกว่าข้าวสาร เครื่องปรุงกับอาหารแห้งที่พวกเราซื้อมาทั้งหมด ราคาถูกว่าที่ขายในอำเภอถึงสองเท่าเลยนะคะ ถ้าไม่ซื้อมากักตุนเอาไว้ก่อน เราก็ถือว่าไปเมืองมณฑลเสียเที่ยวแล้ว” ซูเมี่ยวจินอธิบาย
“เฮ้อ! แล้วพวกจักรยาน นาฬิกาอะไรพวกนั้นล่ะลูก ราคาคงไม่ใช่ถูก ๆ แน่”
“พวกนี้เป็นของจำเป็นในบ้านเรานะคะ ใช่ว่าเราจะใช้รถยนต์กันทุกวันเสียหน่อย ถ้าไปใกล้ ๆ เราก็ใช้แค่จักรยานสามล้อได้นี่คะแม่ ประหยัดน้ำมันด้วย” ซูเมี่ยวจินหาข้อดีของสิ่งของแต่ละอย่างที่เธอซื้อมา
“เฮ้อ! นี่มันเหมือนบ้านเราเอาเปรียบลูกเลยนะเมี่ยวจิน” หลิวเอ้อหลิงยังคงไม่สบายใจ
“โธ่! แม่อย่าพูดแบบนี้สิคะ อีกไม่กี่วันหนูก็จะเป็นสะใภ้บ้านนี้แล้ว ของพวกนี้ก็ถือเสียว่าเป็นของขวัญที่หนูมอบให้ทุกคนในบ้านสิคะ” ซูเมี่ยวจินบอกยิ้ม ๆ
“แต่ว่า… แม่ไม่อยากให้หนูใช้เงินเพื่อพวกเราจนหมดนี่นา”
“เอาล่ะ ๆ แม่อย่าพูดมากนักเลย ในเมื่อเมี่ยวจินซื้อของมาแล้ว เราคงเอาไปคืนไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ถือเสียว่าลูกให้ของขวัญพวกเราอย่างที่เธอว่าเถอะ” ฉางชิงหยูรีบตัดบท เขากลัวว่าซูเมี่ยวจินจะรำคาญการซักถามของภรรยา
“จริงด้วยค่ะแม่ พี่สะใภ้หวังดีกับพวกเรานะคะ แม่ก็ไม่ต้องคิดมากนักหรอกค่ะ ตอนนี้หนูอยากรู้ว่าเราจะจัดงานแต่งงานให้พี่ชายกับพี่สะใภ้วันไหนมากกว่า” ฉางเซียงจูนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
“อ่า… แม่เกือบลืมไปเลย เมี่ยวจินอยากจัดงานวันไหนลูก”
“อืม… หนูว่าวันเสาร์ที่จะถึงนี้ดีไหมคะ น้องสาวหยุดเรียนพอดี”
“ถ้าอย่างนั้นก็อีกสามวันสินะ ลูกจะให้แม่เชิญแขกมากแค่ไหน พ่อกับแม่จะได้บอกข่าวกับชาวบ้านในหมู่บ้านและให้ผู้ใหญ่บ้านมาเป็นพยาน”
“เชิญแค่คนที่ดีกับครอบครัวเราก็พอค่ะ หนูไม่อยากเชิญคนนอกเข้าบ้าน”
ทั้งสี่คนนั่งปรึกษาหารือกันไม่นาน ฉางเล่ยก็เข้ามาคุยกับพวกเขาต่อเรื่องแขกที่จะเชิญมางานแต่งงานในครั้งนี้ เมื่อเวลาล่วงเข้าเกือบห้าทุ่ม ฉางเล่ยจึงบอกให้ทุกคนกลับห้องไปพักผ่อน ส่วนเขายังคงนอนที่นอกห้องเหมือนเดิม รอจนกว่าจะแต่งงานกับซูเมี่ยวจิน เขาจึงจะเข้าไปนอนในห้องเดียวกับเธอได้
ก่อนฟ้าสว่างวันต่อมา เสียงนาฬิกาปลุกซึ่งได้รับเป็นของแถมดังขึ้นในห้องของพ่อแม่ฉาง ทั้งสองงัวเงียลุกขึ้นมาปิดเสียงและมองดูเวลาก็พบว่าตอนนี้ตีสี่ครึ่งแล้ว พวกเขาจึงบิดตัวไปมาก่อนจะชวนกันออกไปเตรียมอาหารให้ลูก ๆ ถึงแม้ว่าเมื่อคืนนี้ หลิวเอ้อหลิงจะบ่นเรื่องการใช้เงินของซูเมี่ยวจิน แต่พอพวกเขารู้ว่านาฬิกาตั้งโต๊ะเรือนนี้แถมมาให้ด้วยก็ดีใจกันใหญ่ แน่นอนว่าซูเมี่ยวจินกับฉางเล่ยไม่ได้บอกราคาเต็มของนาฬิกาทั้งสองเรือน ขอเพียงให้พ่อแม่สบายใจขึ้นบ้าง พวกเขาก็ดีใจมากแล้ว
เสื้อผ้าใหม่ที่ซูเมี่ยวจินซื้อมา พ่อแม่ฉางไม่คิดจะใส่เร็ว ๆ นี้ พวกเขาบอกว่าอยากใส่ตอนงานแต่งงานก็พอแล้ว ส่วนอีกสองชุดก็เอาไว้ใส่เวลาเข้าไปในเมือง ซูเมี่ยวจินไม่อยากเรื่องมากกับพวกท่าน เธอจึงปล่อยให้พวกท่านสวมชุดเก่าตามสบาย
เสียงเปิดประตูของพ่อแม่ ทำให้ฉางเล่ยลืมตาตื่นขึ้นมาดูนาฬิกาที่ข้อมือ เขารีบลุกขึ้นเก็บที่นอนและไปช่วยพ่อแม่ทำกับข้าว ทั้งที่ตัวเองยังสวมชุดนอนอยู่
“ลูกไม่เหนื่อยหรือยังไง นอนต่ออีกหน่อยก็ได้นะ” หลิวเอ้อหลิงบอกลูกชาย
“ไม่เหนื่อยครับแม่ พวกเราช่วยกันจะได้กินข้าวแต่เช้าหน่อย หลังอาหารผมจะพาเมี่ยวจินไปบอกข่าวกับผู้ใหญ่บ้านเรื่องงานแต่งงานด้วยครับ” ฉางเล่ยบอกแผนการในวันนี้ของเขาให้พ่อแม่ฟัง
“อืม… แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน ส่วนญาติเราที่อยู่หมู่บ้านเสิ่น พ่อกับแม่จะลางานไปเชิญพวกเขามาเอง ยังไงก็มีจักรยานใหม่แล้ว คงใช้เวลาไปกลับไม่นาน” ฉางชิงหยูอยากปั่นจักรยานคันใหม่จึงรีบอาสาไปเชิญญาติต่างหมู่บ้านทันที พี่น้องของเขาส่วนใหญ่อยู่ที่นั่น รวมถึงครอบครัวของหลิวเอ้อหลิงด้วย มีเพียงพวกเขาที่แยกบ้านออกมายังหมู่บ้านเติ้งหลังแต่งงาน เพราะที่นั่นมีคนในหมู่บ้านมากเกินไป พวกเขาจึงย้ายออกมาตั้งหลักที่หมู่บ้านเติ้ง
“ลูกไม่ต้องเป็นห่วงพ่อนะ แม่จะไปกับเขาด้วย ปล่อยไปคนเดียวไม่ได้หรอก เดี๋ยวจะมัวแต่ดื่มกับพวกพี่ชาย พี่สาวแล้วไม่ยอมกลับบ้าน”
“โธ่! คุณก็พูดเกินไป ผมไปเชิญพวกเขามางานแต่งงานลูกนะ จะไปอยู่ดื่มได้ยังไงกันล่ะ พวกเรายังต้องไปยืมโต๊ะ เก้าอี้กับชาวบ้านสำหรับใช้ในงานลูกอีก” ฉางชิงหยูเห็นภรรยามองเขาในแง่ร้ายจึงได้รีบแก้ตัว
ฉางเล่ยอมยิ้มที่เห็นพ่อกับแม่หยอกล้อกันเหมือนเมื่อก่อน นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มเต็มใบหน้าของพวกท่าน ตอนนี้ที่บ้านไม่ลำบากเรื่องเงินทอง ทำให้พวกท่านสบายใจมากขึ้น ไหนจะเรื่องงานแต่งงานของเขาที่พวกท่านรอคอยมานานหลายปี เขาจึงปล่อยให้พ่อกับแม่ทำตามใจตัวเองเกี่ยวกับงานแต่งงาน
ซูเมี่ยวจินตื่นมาล้างหน้าล้างตาเมื่อได้ยินเสียงคนด้านนอกห้อง เธอไม่เหนื่อยมากนักจึงอยากตื่นมาช่วยงานคนในบ้าน ฉางเซียงจูเองก็ลุกขึ้นมาตอนตีห้าเช่นเดียวกัน เธอเคยชินกับการตื่นแต่เช้าแล้ว
ครอบครัวฉางกินอาหารกันตอนตีห้าครึ่ง หกโมงเช้า ฉางเซียงจูก็เข้าไปเอากระเป๋าของตัวเองเพื่อออกไปโรงเรียนในอำเภอ วันนี้เธอยังคงออกจากบ้านเวลาเดิม ถึงแม้จะมีจักรยานแล้วก็ตามที
“ปั่นระวัง ๆ ด้วยล่ะลูก อย่าลืมล็อกรถให้ดีด้วย พี่สะใภ้อุตส่าห์ซื้อให้นะ”
“รู้แล้วค่ะแม่ หนูไปก่อนนะคะทุกคน” ฉางเซียงจูโบกมือก่อนจะปั่นจักรยานออกจากบ้านไปอย่างร่าเริง เธอเคยหัดขี่จักรยานของเพื่อนในอำเภอมาก่อน แต่ไม่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะมีจักรยานเป็นของตัวเอง
ชาวบ้านเห็นสาวน้อยบ้านฉางปั่นจักรยานใหม่เอี่ยมสีชมพูก็พากันยืนดูอย่างประหลาดใจ ครอบครัวฉางที่ยากจนที่สุดในหมู่บ้าน ทำไมถึงมีเงินซื้อจักรยานราคาแพงแบบนี้ได้
“นี่ ๆ แกว่าบ้านฉางไปหาเงินมาจากไหนเยอะแยะ” ป้าฟางตะโกนถามป้าเหวินข้างบ้านที่ยืนมองอยู่ด้วยกัน
“ฉันจะไปรู้เหรอ แกอยากรู้ก็ไปถามคนบ้านฉางเองสิ” ป้าเหวินถึงแม้จะชอบสอดรู้เรื่องชาวบ้าน แต่เธอก็ไม่มีนิสัยว่าร้ายใครเหมือนป้าฟาง
“ชิ ฉันว่าพวกเขาต้องหาเงินสกปรกมาแน่ ๆ” ป้าฟางสันนิษฐานเสียงดัง
ป้าเหวินส่ายหน้าอย่างรำคาญใจ เธอรีบเข้าไปบ้านไปเพื่อจะได้ไม่ต้องมาฟังเรื่องไร้สาระที่ป้าฟางเดาสุ่ม
ก่อนที่พ่อแม่ฉางจะออกจากบ้าน ชาวบ้านหลายคนพากันเดินมารอพวกเขาที่หน้ารั้วบ้านเพื่อสอบถามถึงจักรยานของลูกสาวบ้านฉาง
“แม่ฉาง ๆ ออกมานี่หน่อยสิ” แม่เฒ่าฮัวถูกป้าฟางไปเรียกให้มาถามคนบ้านฉางร้องเรียกเสียงดังอย่างไม่คิดจะเกรงใจ
ซูเมี่ยวจิน ฉางเล่ยและฉางชิงหยูหันมองไปทางหลิวเอ้อหลิงเป็นตาเดียวกัน พวกเขานึกไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าชาวบ้านจะต้องมายุ่งเรื่องรถจักรยานของบ้านพวกเขาแต่แรกแล้ว ทั้งสี่ลุกขึ้นจากโต๊ะเพื่อออกไปด้วยกัน แทนที่จะปล่อยให้แม่ฉางรับหน้าชาวบ้านพวกนั้นคนเดียว ซูเมี่ยวจินมีสีหน้าเย็นชาเมื่อสิ่งที่เธอคิดเป็นจริง
“มาแล้ว ๆ” หลิวเอ้อหลิงร้องบอกออกไปก่อนที่พวกเขาจะเคาะจนประตูรั้วพัง
“ผมออกไปเปิดประตูเองครับ พ่อกับแม่ไม่ต้องออกไป” ฉางเล่ยรู้ดีว่าคนพวกนี้เป็นยังไง เขาจึงไม่อยากให้คนพวกนี้เข้ามาในบ้านสุ่มสี่สุ่มห้า
พ่อแม่ฉางพยักหน้ารับคำลูกชาย ส่วนซูเมี่ยวจินก็ไปยืนเคียงข้างฉางเล่ยด้วยแววตาเย็นชา เธออยากรู้ว่าชาวบ้านพวกนี้ต้องการทำอะไร ถ้าเป็นอย่างที่คิดกันเอาไว้ว่าพวกเขาจะต้องเข้าบ้านมารื้อค้นสิ่งของจริง ๆ เธอกับฉางเล่ยจะไล่พวกเขาออกไปทันที ไม่อย่างนั้นบ้านเล็ก ๆ หลังนี้คงพังยิ่งกว่าเดิมแน่
“โอ้! เจ้าสาวของฉางเล่ยสวยมากจริง ๆ” เสียงลุงใหญ่บ้านฉางที่ตั้งสติได้เป็นคนแรกอดจะชมเสียงดังไม่ได้“ใช่ ๆ เจ้าสามได้ลูกสะใภ้สวยจริง ๆ” พี่ชายหลิวเอ้อหลิงที่เห็นหลานสะใภ้เอ่ยเสริมขึ้นมาเสียงดังเช่นเดียวกัน“พวกลุงอย่าแกล้งภรรยาผมสิครับ ดูสิ เธอทำตัวไม่ถูกแล้ว” ฉางเล่ยยืดอกขึ้นอย่างภูมิใจที่ตัวเองกำลังจะแต่งงานกับคนสวยตรงหน้า เขารู้ดีว่าสีหน้าของซูเมี่ยวจินตอนนี้คงกำลังเขินอายอยู่ ไม่อย่างนั้นแก้มของเธอคงไม่แดงก่ำขึ้นมาจนลามไปถึงคออย่างที่เขากำลังเห็นเป็นแน่“ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะคุณลุง” ซูเมี่ยวจินได้ยินฉางเล่ยพูดขึ้น เธอจึงสงบจิตใจตอบกลับผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม สายตาคมดุของเธอมองเจ้าบ่าวที่วันนี้หล่อมากในสายตาเธอก็อดที่จะมองเขาสักหลายทีไม่ได้เช่นกันเหล่าผู้อาวุโสเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวแอบมองกันไปมาก็รีบผลักพวกเขาให้ไปรอต้อนรับแขกที่ลานหน้าบ้าน ฉางเล่ยที่ตั้งตัวได้ก่อนจึงจับมือซูเมี่ยวจินเดินออกไปตามคำสั่งของผู้ใ
หลังกินข้าวเสร็จ ฉางชิงหยูอาสาไปเชิญเพื่อนบ้านที่สนิทกันและยืมโต๊ะเก้าอี้มาไว้ใช้ในงานแต่งงานวันพรุ่งนี้ หลิวเอ้อหลิงบอกให้ฉางเล่ยไปขอซื้อไก่จากเพื่อนบ้านพวกนั้นมาสักหลายตัวเพื่อทำอาหารขึ้นโต๊ะในงานแต่งงาน หลังจากดูแล้วว่ายังขาดเมนูไก่ไปหนึ่งอย่าง สองพ่อลูกจึงออกจากบ้านไปด้วยกันหลิวเอ้อหลิงกับซูเมี่ยวจินจึงช่วยกันตกแต่งบ้านต่อ เหลืออีกเพียงนิดหน่อยก็ตกแต่งเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้บ้านฉางเต็มไปด้วยกระดาษและผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในห้องนอนของฉางเล่ยเองก็ถูกติดกระดาษเอาไว้เช่นกัน แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนผ้าปูเป็นสีแดงมงคล หลิวเอ้อหลิงรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าจึงจะเข้าไปเปลี่ยนให้ลูก ๆ“แม่คะ ฉันติดเสร็จหมดแล้วค่ะ จะให้ทำอะไรต่อคะ” ซูเมี่ยวจินถามขึ้น“ไม่มีอะไรแล้วจ๊ะ เราไปปั้นแป้งเตรียมทำบัวลอยวันพรุ่งนี้กันดีไหม” หลิวเอ้อหลิงนึกถึงขนมบัวลอยที่บ่าวสาวต้องกินในวันแต่งงานขึ้นมาได้ เธอไม่อยากเสียเวลาเตรียมของพรุ่งนี้จึงคิดจะทำเอาไว้ก่อน“ได้ค่ะแม่&r
“เชิญคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายด้านในเลยครับ” เจ้าของร้านผายมือเชิญอย่างนอบน้อม ต่างจากครั้งก่อนที่พวกเขามาขายโสมราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินเห็นเถ้าแก่ทำแบบนี้เลยไม่อยากเสียมารยาท“พวกคุณนั่งก่อนครับ วันนี้จะมาขายเขากวางในมือนั่นหรือเปล่าครับ” เถ้าแก่ถามด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ เพราะเขากำลังจะได้ของดีมาขายอีกแล้ว“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณรับซื้อยังไงคะเถ้าแก่” ซูเมี่ยวจินถามตรง ๆ เธอไม่เคยขายเขากวางมาก่อนจึงไม่รู้ว่าราคาตลาดเป็นอย่างไร“เขากวางสดขายราคาเป็นขีดครับคุณผู้หญิง เขากวางของคุณใหญ่ขนาดนี้น่าจะได้ราคาสูงมากทีเดียว หลายปีแล้วที่ร้านขายยาไม่มีเขากวางขายครับ” เถ้าแก่บอกตรง ๆ เพื่อที่เขาจะได้รับซื้อเขากวางและนำไปขายทำกำไรต่อเหมือนเคย“ขีดละเท่าไหร่หรือคะเถ้าแก่ ถ้าราคาต่ำไป ฉันจะได้เก็บเอาไว้ก่อน” ซูเมี่ยวจินไม่คิดว่า
ฉางเล่ยถึงกับทึ่งในฝีมือการใช้หน้าไม้ของซูเมี่ยวจิน แต่เขาไม่มีเวลาสงสัยมากนักเมื่อเธอบอกให้เขารีบเข้าไปกลบเลือดกวางที่ตาย เพื่อป้องกันไม่ให้หมาป่าหรือสัตว์ดุร้ายตัวอื่นตามกลิ่นเลือดมาซูเมี่ยวจินมองหาไม้ใหญ่และเถาวัลย์เพื่อใช้มัดกวาง ดีที่ป่าตรงนี้มีทุกอย่างที่เธอต้องการ ซูเมี่ยวจินใช้เวลาไม่นานก็นำของทั้งหมดไปจัดการมัดกวางเอาไว้“ช่วยฉันแบกมันลงจากเขากันเถอะค่ะ ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ” ซูเมี่ยวจินยังคงกลัวว่าจะกลับบ้านค่ำมืดเกินไป“สี่โมงเย็นพอดีครับ” ฉางเล่ยยกไม้ที่มีกวางถูกมัดอยู่ขึ้นพาดไหล่อย่างไม่หนักแรง“เรารีบกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเอามันไปขายในอำเภอนะคะ”“ตกลงครับ ว่าแต่พรุ่งนี้เราจะใช้จักรยานหรือรถยนต์ไปในอำเภอดีครับ”“ฉันว่าเอาสามล้อของพ่อไปดีกว่าค่ะ ฉันไม่อยากให้ชาวบ้านเห็นรถยนต์เราเร็วนัก ยังไงวันแต่งงานก็ต้องเอารถออกไปจอดหน้าบ้านอย
ทั้งสองกลับมาถึงบ้านก่อนเที่ยงนิดหน่อย หลังจากเก็บเนื้อและผักแช่ไว้ในบ่อน้ำหลังบ้านแล้ว ซูเมี่ยวจินก็ไปอุ่นอาหารรอฉางเล่ยที่กำลังเอาสามล้อไปคืนพ่อที่ไร่ เธอคิดว่าช่วงบ่ายไม่มีอะไรทำ จึงอยากชวนฉางเล่ยขึ้นเขาไปล่าสัตว์ หาสมุนไพรดูสักหน่อย เผื่อว่าจะโชคดีได้เงินอีกสักก้อนฉางเล่ยกลับมากินข้าวพร้อมซูเมี่ยวจินในเวลาไม่นานนัก ระหว่างที่กำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่ ซูเมี่ยวจินก็ชวนฉางเล่ยขึ้นเขา“คุณแน่ใจเหรอว่าจะขึ้นเขาบ่ายนี้” ฉางเล่ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง“ใช่ค่ะ ยังไงบ่ายนี้พวกเราก็ไม่มีอะไรทำ คุณไม่ได้ไปดูกับดักสัตว์หลายวันแล้ว เผื่อว่าจะได้สัตว์ไปขายในอำเภอพรุ่งนี้สักตัวสองตัวก็ยังดีนะคะ” ซูเมี่ยวจินบอก“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จ ผมจะเอากุญแจบ้านไปให้พ่อก่อน คุณรอผมที่บ้านนะครับ ผมไปไม่นาน” ฉางเล่ยพยักหน้าตอบรับ เขาลืมไปเลยว่าวางกับดักสัตว์เอาไว้หลายวันแล้ว เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องงานแต่งงานจึงไม่ได้ขึ้นไปดู
ฉางชิงหยูกับหลิวเอ้อหลิงไปถึงบ้านหลิวในเวลาไม่นาน สองเฒ่าชราที่อายุน้อยกว่าพ่อเฒ่าฉางหลายปีออกมาต้อนรับลูกเขยกับลูกสาวด้วยความดีใจ พอรู้ว่าหลานชายกำลังจะแต่งงาน ทั้งสองก็ดีใจมาก“พวกเราจะไปแน่นอนเอ้อหลิง พ่อกับแม่จะให้พี่ใหญ่เธอพาไปเอง ตั้งแต่หลาน ๆ ไปทำงานในอำเภอ พวกเราก็สบายขึ้นมาก จักรยานที่บ้านก็มีถึงสองคัน ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พวกเราจะไปกันตั้งแต่เช้ามืดเลย” แม่หลิวรีบบอกพร้อมรอยยิ้มชรา“ใช่ ๆ นานแล้วที่บ้านเราไม่มีงานมงคล” พ่อหลิวเองก็ดีใจไม่น้อยที่หลานชายกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ทั้งที่อายุก็ไม่น้อยแล้ว“ถ้าพ่อแม่ไม่อยากตื่นเช้านัก พวกเราปั่นจักรยานมารับพวกคุณได้นะคะ” หลิวเอ้อหลิงไม่อยากทำให้พ่อแม่ลำบาก เธอจึงหันไปมองสามี“ใช่ครับ ผมปั่นสามล้อมารับดีไหมครับ พ่อกับแม่จะได้นั่งกันสบายหน่อย”“ไฮ้! ไม่เป็นไร ๆ พวกเราชอบนั่งพ่วงหลังจักรยานของเสี่ยวเค่อมากกว่า” พ่อเ