เมื่อสือซานกับเสี่ยวหนานปั่นจักรยานมาถึงบริเวณท่าเรือ เขาเลี้ยวเข้าไปจอดบริเวณหน้าร้านของลุงกู้ ซึ่งเป็นชาวบ้านในหมู่บ้านเดียวกัน
"อ้าวสือซาน ทำไมมากับเสี่ยวหนานได้ล่ะ?"
ป้ากู้ทักทายสือซานอย่างเป็นกันเอง แต่นางก็มีความสงสัยอยู่หลายส่วน เพราะคนในหมู่บ้านต่างก็รู้ดีว่าเสี่ยวหนานเป็นคู่หมั้นของหานเจา แต่น่าแปลกที่วันนี้ทั้งสองคนซ้อนจักรยานมาด้วยกัน แถมยังมีท่าทีสนิทชิดเชื้อกว่าปกติ
"ป้ากับลุงออกบ้านแต่เช้า เข้าบ้านก็มืดค่ำน่าจะยังไม่รู้ เสี่ยวหนานถอนหมั้นกับหานเจาแล้วครับ เมื่อวานเธอก็แต่งเข้าบ้านโจวของเราแล้ว"
สือซานตอบคำถามแบบไม่เข้าเนื้อหามากเท่าไหร่ อีกไม่นานผู้อาวุโสทั้งสองก็คงรู้เรื่องนี้เอง
"อ้อ อย่างนั้นเอง ว่าแต่วันนี้พากันมาทำอะไรที่นี่ล่ะ หรือว่ามาซื้อของ?"
"ภรรยาของผมอยากทำกับข้าวขายครับ วันนี้พวกเราก็เลยมาหาที่เปิดร้าน ลุงกับป้าพอจะมีที่ไหนแนะนำไหมครับ?"
ผู้อาวุโสทั้งสองยิ้มน้อย ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่ม พลางคิดในใจว่า..เจ้าเด็กนี่คงอยากประกาศให้โลกรู้สินะว่าเสี่ยวหนานเป็นภรรยาของตัวเอง
"มีสิ..มี เอ้านั่นหยุนฮวามาพอดี มา ๆ หยุนฮวา มาเปิดห้องข้าง ๆ ให้ลูกชายกับลูกสะใภ้บ้านโจวดูหน่อย พวกเขาอยากหาที่ขายกับข้าว"
หยุนฮวาที่เพิ่งเดินมาถึง พอได้ยินสรรพนามที่ป้าของเธอเรียกหนุ่มสาวทั้งสองก็หัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อวานหลังจากเลิกงานกลับบ้านไป เธอก็ได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเสี่ยวหนานจากผู้เป็นพ่อ ที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว เสียงส่วนใหญ่ยังไปในทิศทางที่สงสารหญิงสาวมากกว่า
"ดีใจด้วยนะเสี่ยวหนาน ในที่สุดก็เจอคนดี ๆ อย่างสือซาน อยากขายกับข้าวก็ดีเลย ที่นี่แขกมาเยอะ คนงานก็เยอะ แต่ไม่มีใครขายข้าวสักที ทุกคนต้องปั่นกลับเข้าเมืองกันหมด มานี่ เดี๋ยวพี่พาไปดู"
"ขอบคุณค่ะพี่หยุนฮวา"
เสี่ยวหนานจำได้ว่าหยุนฮวาคือลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้าน และเธอก็ยังรับหน้าที่สำคัญในท่าเรือแห่งนี้ แถมยังเป็นคนดีทั้งครอบครัว
เมื่อประตูเหล็กถูกรูดเปิดออก กลิ่นอับบางเบาของห้องโชยมาตามอากาศ ห้องกว้างจุใจ พื้นปูนเรียบ ถึงจะเก่าไปนิดแต่ยังแน่นหนา มีแสงลอดจากหน้าต่างด้านหน้าและช่องลมด้านหลัง เสี่ยวหนานเดินสำรวจด้วยดวงตาเป็นประกาย เมื่อเปิดห้องครัว ห้องเก็บของและห้องน้ำ เธอก็ยิ้มอย่างพอใจ
"ห้องนี้เป็นห้องใหญ่ 2 ห้อง ทะลุเข้าหากัน ค่าเช่าเดือนละ 20 หยวน ถ้าจะเช่าก็จ่ายเงินทำสัญญาแล้วเข้าอยู่ได้เลย"
หลังจากพาทั้งคู่เดินดูรอบ ๆ ร้านแล้ว หยุนฮวาก็บอกรายละเอียดค่าเช่าให้สองสามีภรรยาได้รู้และตัดสินใจ
"หนานหนาน น้องชอบไหม?" สือซานหันไปถามภรรยา
"ชอบค่ะ ที่นี่เหมาะมาก เราเช่าเลยดีไหม แม่ให้เงินมาพอดี 20 หยวน ส่วนของอย่างอื่นฉันมีครบ"
สือซานยิ้มให้ภรรยา เขาเข้าในความหมายที่บอกว่าเธอมีของครบ ก็คงเป็นของที่ติดตัวเธอมานั่นเอง
"เช่าเลยครับพี่หยุนฮวา!"
เมื่อกลับมานั่งทำสัญญา เสี่ยวหนานก็เห็นว่าสามีหยิบเงินเก็บจากกระเป๋าผ้าออกมา กองเป็นปึก ๆ ราวกับมีอยู่ถึงพันกว่าหยวน
"พี่สือซาน...ทำไมพี่มีเงินเยอะจัง?" เธอถามเบา ๆ ขณะเดินกลับออกจากห้องสำนักงานของท่าเรือ
"พี่กับพ่อออกเรือวันเว้นวัน ขายของที่สมาคมประมงไงก็พอมีเงินเก็บอยู่นิดหน่อย"
พอได้ยินแบบนั้นคนฟังก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
"จริงสิ ไป๋ลี่เหยาลูกสาวหัวหน้าสมาคมนั่นชอบพี่นี่นา เธอถึงให้ราคาดีเป็นพิเศษ"
"ไม่ใช่! ไม่ใช่นะ ถึงเธอจะให้เยอะกว่าคนอื่น แต่พี่ก็เอาคืนเธอ รับเท่าที่ควรได้นั่นแหละ!" สือซานรีบแก้ตัว
เสี่ยวหนานไม่ตอบอะไร เธอเพียงแอบยิ้มและปล่อยให้เขาร้อนรนจนต้องดึงเธอไปคุยใต้ต้นไม้ใหญ่
"พี่พูดจริง ๆ นะเสี่ยวหนาน พี่สาบานก็ได้ พี่กับเธอไม่ได้มีอะไรเกินเลย..."
คำสารภาพแบบคนซื่อ ๆ ทำให้หญิงสาวยิ้ม ใจหนึ่งก็อยากแกล้งอีก ใจหนึ่งก็อ่อนโยนเกินกว่าจะปล่อยให้เขาร้อนใจไปมากกว่านี้ เสี่ยวหนานเขย่งขึ้นแล้วจูบปากเขาเบา ๆ
"ฉันเชื่อค่ะสามีของฉัน พี่สบายใจได้"
"สะ...เสี่ยวหนาน น้องทำไม..."
"ทำไมล่ะ ฉันจุ๊บปากสามีตัวเองไม่ได้เหรอ?"
"ได้...ได้สิ!"
"งั้นเราไปซื้อขนมฝากให้เด็ก ๆ กันดีกว่า คืนนี้พี่ออกทะเลต้องดูแลตัวเองให้ดี ๆ นะ ไว้คืนพรุ่งนี้ฉันจะนวดให้พี่หายเหนื่อย"
ประโยคหลังกับสายตาของภรรยาช่างทำให้เขาใจเต้นรัว พูดได้เรื่องว่าเรื่องนั้นเธอช่างท้าทายและซุกซนจริง ๆ ใบหน้าของสือซานตอนนี้เปล่งประกายเหมือนต้นไม้ที่เคยเหี่ยวเฉา ถูกชโลมด้วยปุ๋ยยาชั้นดี จนทำให้ต้นไม้ใหญ่กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ในอีกด้านหนึ่งของหมู่บ้าน บ้านสกุลไป๋ตั้งตระหง่านริมเชิงเขา ล้อมรอบด้วยรั้วหินสูงใหญ่ ด้านหน้าเป็นสวนดอกไม้หอมลอยอ้อยอิ่ง เป็นเครื่องบ่งชี้ฐานะของครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในละแวกนั้น
ไป๋ลี่เหยาในชุดผ้าฝ้ายปักดิ้นทองแนบลู่กับเรือนร่างสูงเพรียว ผมยาวถูกมัดไว้ด้วยแถบไหม เสียงแตกกระจายจากถ้วยชาดังขึ้น เมื่อเธอเหวี่ยงมันทิ้งลงบนโต๊ะน้ำชาอย่างไม่พอใจ
"อะไรนะ? ซูเสี่ยวหนานแต่งงานกับโจวสือซานแล้ว? นังนั่น...มันกล้าดียังไงถึงมายุ่งกับผู้ชายของฉัน!"
หานเวยนั่งจิบชาเย็นอย่างอ้อยอิ่ง ใบหน้าแต่งแป้งบางเผยยิ้มเหยียดอย่างสะใจ เสี่ยวหนานขนของที่บ้านเธอไปหมด เรื่องอะไรเธอจะยอมให้หล่อนได้อยู่อย่างสงบสุข
"ไม่เพียงแต่งงานนะลี่เหยา มันยังไปอยู่ที่บ้านโจว ช่วยเลี้ยงลูกสาวเขา ทำอาหาร ทำงานบ้าน ตอนนี้ยังได้ยินว่าอยากออกไปเปิดร้านขายกับข้าว พี่สือซานก็หลงหล่อนหัวปักหัวปำตามใจหล่อนทุกอย่าง"
ไป๋ลี่เหยาเชิดหน้า ดวงตาเป็นประกายวาววับด้วยความเกลียดชัง
"ก็แค่ผู้หญิงชาวบ้านหน้าตาธรรมดา คิดหรือว่าจะสู้ฉันได้? ถ้าไม่มีแผนต่ำ ๆ อย่างวางยา เขาคงไม่เหลียวแลเลยด้วยซ้ำ!"
หานเวยพยักหน้าเชื่องช้าพลางคิดในใจว่า..ความรักช่างทำให้คนโง่งมสิ้นดี โดนเธอเป่าหูนิดหน่อยก็แยกแยะถูกผิดไม่ได้เสียแล้ว ก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่น่าหวาดหวั่น
"ว่าไป...ฉันก็ได้ยินมาว่าคืนนั้นน่ะแปลกนัก โจวสือซานไม่เคยพาใครเข้าบ้านง่าย ๆ แต่กับเสี่ยวหนาน เขากลับพาเข้าตั้งแต่วันแรก น่าคิดนะ ว่ามันใช้กลอะไร วางยา? หรืออะไรบางอย่างที่ผู้หญิงอย่างพวกเราไม่ควรใช้?"
ไป๋ลี่เหยาหัวเราะเบา ๆ ดวงตาเปล่งประกายแข็งกร้าว
"ดี...ถ้าอย่างนั้น ฉันจะไปเอาสิ่งที่เป็นของฉันกลับมาเอง ไม่ว่านังซูเสี่ยวหนานจะเล่นตลกแบบไหน มันจะต้องร้องไห้วันหนึ่งแน่!"
ยามบ่ายคล้อยฟ้าเริ่มแต่งตัวด้วยม่านสีทองอ่อนของดวงตะวัน ไอทะเลพัดโบกจากชายฝั่งเยี่ยนเทียน ส่งกลิ่นเค็มจาง ๆ มาปะทะปลายจมูก บ้านเรือนที่ตั้งอยู่ตามเนินหินริมทะเลเริ่มปิดหน้าต่างรับลมเย็นเฉียบ ริมท่าเทียบเรือ เรือประมงไม้ขนาดกลางของไต้ก๋งโจวกำลังตระเตรียมออกเดินทางอีกครา
"สือซาน ลูกเช็กเสาอวนแล้วใช่ไหม?"
เสียงห้าวของไต้ก๋งโจวดังขึ้นจากหัวเรือ ชายวัยห้าสิบเศษที่แม้แผ่นหลังจะเริ่มโค้งงอ แต่สายตายังเฉียบคมพอจะจ้องไกลเกินเส้นขอบน้ำ
"เช็กเรียบร้อยแล้วครับพ่อ ผมผูกเชือกสองชั้นแบบที่พ่อสอนไว้เป๊ะเลยครับ"
สือซาน ลูกชายคนเดียววัยยี่สิบกว่า ขานตอบพลางปัดเหงื่อจากหน้าผาก มือของเขามีแผลถลอกเล็ก ๆ จากเชือกหยาบ—รอยเดียวกับที่ไต้ก๋งเคยมีเมื่อวัยยังหนุ่ม
เรือลำนี้บรรทุกได้ถึงสามพันกิโลฯ ท้องเรือทำจากไม้สนเคลือบยางดิน น้ำหนักแน่นหนาแต่ยังลอยลำได้คล่อง ตัวเรือยาวเกือบสิบห้าเมตร เสากระโดงสองต้นพาดอวนขนาดใหญ่ไว้แน่นหนา
ใต้ผ้าใบเก่าคลุมลังน้ำแข็ง ถังไม้ลายน้ำเค็มและกระสอบเกลือวางเป็นระเบียบ ลำเรือรับลูกเรือทั้งห้าคนไว้ในท้องของมันเหมือนแม่โอบลูกไว้ในอกอุ่น
"คืนนี้ขอให้ได้หมึกตัวโต ๆ เหมือนคืนก่อนนะลุงโจว ผมยังอยากกินหมึกแล่สด ๆ จิ้มซอสอยู่เลย หวานมา..กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ"
เจียงเฉิงเพื่อนสนิทของสือซาน ชายร่างผอมผิวแทนจัดกำลังจัดคันเบ็ดกับเหยื่อปลาอย่างตั้งใจ เขาหัวเราะพลางสะบัดเชือกเกลียวใหญ่พาดตะขอเหล็ก
"เจ้าเด็กตะกละ เมื่อวันก่อนกินหมดเป็นกิโลยังไม่เบื่ออีกเหรอ?"พ่อโจวกล่าวอย่างขำขัน
ฉุนกัง หนุ่มตัวอวบหัวเราะลั่นขณะเอนหลังพิงถังน้ำแข็ง พลางหยิบมันหมักมาดูดทีละอึก
"ของอร่อยพวกเราจะเบื่อได้ยังไงครับไต้ก๋ง ดูสภาพพี่ฉุนกังสิ ต่อให้งานหนักก็ทำให้น้ำหนักของพี่ฉุนกังลดลงไม่ได้"
หมิงหลงคนงานในเรือพูดขึ้นอย่างขำขัน พูดพลางเหลือบตามองไต้ก๋งที่ยืนกอดอกจ้องเส้นขอบน้ำ บนเรือนี้ทุกวันที่ออกทะเล นอกจากจะได้ค่าแรง ไต้ก๋งโจวยังแบ่งของสดให้พวกเขาเอากลับไปกินที่บ้านทุกวัน เขาจึงเป็นที่รักของคนงานเสมือนพ่ออีกคนหนึ่ง
ไต้ก๋งโจวขยับมุมปากเล็กน้อย นั่นเทียบได้กับเสียงหัวเราะของคนทั่วไป จากนั้นก็เริ่มสั่งงานลูกชายให้เตรียมพร้อม
"คืนนี้ลมตะวันตกเฉียงใต้พัดแรง ปลาหมึกมันจะลอยขึ้นมาหาแสงไฟ อย่าให้เสียเวลา เดี๋ยวพ่อจะหักหัวเรือออกจากท่าตอนฟ้าเปลี่ยนสี เตรียมตัวให้ดีนะสือซาน"
"ครับพ่อ"
เมื่อดวงตะวันเริ่มอ้อยอิ่งลงจากฟากฟ้า เครื่องยนต์ดีเซลในเรือส่งเสียงคำรามดังก้อง ควันสีเทาพวยพุ่งจากปล่องเรือ เรือโยกเบา ๆ แล้วค่อย ๆ เร่งความเร็ว ลำเรือแล่นออกจากท่า รอยเกลียวคลื่นตามท้ายเรือฟองฟอดเหมือนสายไหมน้ำทะเล
"ทุกคนจับเสาไว้ให้ดีนะ เดี๋ยวคลื่นตีตลบ!"
เสียงของไต้ก๋งดังขึ้นอีกครั้ง เจือความห่วงใยที่ลูกเรือทั้งสี่ได้ยินจนคุ้นเคย ลมผิวทะเลตีหน้าแรงจนเสื้อปลิวไสว เส้นผมของสือซานเปียกเหงื่อจับหน้าผาก เขาหันไปมองพ่อที่ยืนอยู่หัวเรือ แล้วถามเบา ๆ
"พ่อ คืนนี้เราจะไปที่อ่าวปลาเมาใช่ไหม?"
"ใช่ ที่เดิม จุดที่ลูกล้มครั้งแรกนั่นแหละ" ไต้ก๋งตอบเรียบ ๆ แต่ลูกชายหัวเราะเบา ๆ
"ผมยังจำได้ว่าหัวฟาดลังปลา เลือดโชกจนแม่บ่นไปหลายวัน"
"แต่ลูกก็ไม่เข็ด ตามพ่อกับพี่ชายออกทะเลตลอด" คำพูดสั้น ๆ ของพ่อ แทรกความภูมิใจที่ทำให้สือซานยิ้มได้
"คืนนี้ผมจะล่อหมึกด้วยไฟท้าย ดูซิว่ามันจะเลือกแสงหรือหน้าผม!"
ที่ท้ายเรือ ลูกเรืออีกสามคนยังเล่นหัวกันเหมือนพี่น้อง เจียงเฉิงตะโกนเสียงใส
"หมึกมันไม่โง่ขนาดนั้นหรอกไอ้น้อง"
ฉุนกังแซวกลับเสียงขำ หมิงหลงได้ยินก็ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย คู่นี้ขอแค่ให้ได้แข่งกัน แข่งอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ก็เป็นสีสันในช่วงเวลาที่ยังว่างอยู่ แต่ถ้าถึงเวลาที่ต้องทำงาน พวกเขาก็จริงจังและเต็มที่ทุกคน
"เฮ้อ เถียงกันได้ทั้งคืน"
เสียงหัวเราะ เสียงคลื่น เสียงลม ผสมกับเสียงเครื่องยนต์เรือที่กำลังทะยานสู่กลางมหาสมุทรหลอมรวมกันเป็นเสียงเดียว...