กลางดึก...
ไต้ก๋งโจวเดินมาที่เสาไฟท้าย ก่อนจะหยุดยืนเงียบมองทะเลสักครู่ สายตาคมจับจ้องไปยังพื้นน้ำเบื้องล่าง แล้วเอ่ยเบา ๆ โดยไม่ต้องหันไปมองใคร
"ถึงแล้ว จุดเดิม..."
"ผมไปเปิดไฟเลยนะครับพ่อ"
สือซานเอ่ยถาม เมื่อเห็นบิดาพยักหน้ารับ เขาก็เดินไปยังยังเครื่องปั่นไฟ ทันทีที่เครื่องทำงานแสงไฟสีส้มก็สว่างจ้าเปล่งประกายเหนือผืนน้ำ
หมิงหลงปีนขึ้นกราบเรืออีกด้าน เปิดหลอดไฟเสริม ส่วนเจียงเฉิงกับฉุนกังช่วยกันเลื่อนเสาไฟท้ายให้เอียงลง ส่องตรงผืนน้ำคล้ายจันทร์ตกทะเล
แสงส้มสะท้อนผิวน้ำเหมือนม่านทองเปิดต้อนรับแขก ไม่กี่อึดใจ เสียงเจียงเฉิงร้องอย่างตื่นเต้น
"มาแล้ว! หมึกขึ้นแล้วครับไต้ก๋ง"
ใต้ผิวน้ำสีดำสนิท เงาสีเงินเรืองวาวลอยเข้าหาแสง ร่างเล็กยาวของหมึกหลายสิบตัวพุ่งขึ้นจากความลึก เหมือนฝูงผีเสื้อใต้ทะเลที่หลงแสงเทียน
"สือซาน ประจำหัวอวนเลยลูก!"
ไต้ก๋งออกคำสั่งทันที เสียงนั้นแม้จะดังกว่าคืนก่อนแต่ก็มั่นคงเสมอ สือซานรีบวิ่งประจำตำแหน่ง ฉุนกังกับเจียงเฉิงช่วยกันโยนอวนออกทางกราบเรือ ท้องอวนเปิดอ้าเหมือนปากยักษ์ กลืนแสงและเงาหมึกลงไปอย่างเงียบงัน
สายตาทุกคู่จับจ้องเส้นเชือก
"ระวังอวนตึงนะพี่สือซาน!" หมิงหลงตะโกนขณะช่วยจัดเชือกให้คลายตัวช้า ๆ
"ดึงกลับช้า ๆ อย่าให้ขาด...พ่อจะนับจังหวะให้" เมื่อเห็นว่าเชือกตึกแล้วไต้ก๋งโจวจึงส่งสัญญาณตามมา
มือหยาบกร้านของชายวัยห้าสิบกว่ากำเชือกแน่น เขาดึงจังหวะด้วยน้ำหนักมือที่มีแต่คนทะเลเท่านั้นจะรู้ สือซานอยู่ข้าง ๆ พยายามปรับแรงให้สมดุล ส่วนเจียงเฉิงกับหมิงหลงช่วยกันยกหางอวน
ในอวนมีหมึกหลายร้อยตัวที่ถูกลากขึ้นมาในครั้งเดียว แต่นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น!
"เยอะกว่าครั้งที่แล้วอีก" ฉุนกังพูดพลางปาดเหงื่อ ร่างใหญ่ของเขาก้มลงจับหมึกโยนใส่ถัง
"ยังไม่หมดนะพี่ฉุนกัง ดูใต้ท้ายอวนสิ" หมิงหลงชี้
สือซานดึงปลายอวนขึ้นอย่างระมัดระวัง แล้วทุกคนก็ร้องออกมาพร้อมกันเมื่อเห็นว่ามีปลาหมึกตัวใหญ่ติดมาด้วยหลายตัว ทั้งปู ปลาเล็กปลาใหญ่ต่างก็ติดมาด้วย
"โอ้โห! หมึกยักษ์!"
มันยาวเกือบครึ่งแขน ลำตัวใสจนเห็นอวัยวะภายใน ไต้ก๋งยิ้มที่มุมปาก มือนั้นตักหมึกขึ้นมาอย่างชำนาญก่อนจะโยนลงถังน้ำแข็งที่เตรียมไว้
"คืนนี้คุ้มค่าน้ำมันแล้ว"
การเก็บหมึกใช้เวลาไม่นาน แต่การรักษาความสดคือหัวใจ ไต้ก๋งชี้ไปที่ลังน้ำแข็งแล้วกำชับกับเจียงเฉิง เพราะราคาของอาหารทะเลเหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพความสดใหม่นั่นเอง
"อาเฉิง เติมเกลือไปชั้นหนึ่ง หมิงหลง เอาน้ำทะเลมาราด ห้ามปล่อยให้อากาศเข้า"
"ครับลุงโจว/ครับไต้ก๋ง"
ลูกเรือทุกคนขยับกายทำตามคำสั่งเหมือนละครที่ซ้อมมาแล้วนับร้อยรอบ ไม่มีใครพูดเล่น ไม่มีเสียงหัวเราะ มีเพียงเสียงหอบ เสียงอุปกรณ์ และเสียงลมหายใจที่เต็มไปด้วยความสุขเงียบ ๆ
ลากอวนแต่ละรอบใช้เวลาไม่น้อยในการจัดการกับอาหารทะเล ชีวิตของพวกเขาวนอยู่แบบนั้นซ้ำไปมา เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น ไต้ก๋งเดินไปท้ายเรือ มองท้องทะเลอีกครั้งแล้วพูดเบา ๆ กับตัวเอง
"คืนนี้ทะเลเมตตา...เรากลับบ้านกันเถอะ"
เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นอีกครั้ง กลิ่นน้ำมันผสมเกลือทะเลตลบในลม ยามฟ้ากำลังเปลี่ยนสีจากดำสนิทเป็นม่วงเข้ม พวกเขาหันหัวเรือกลับ สู่แสงไฟริบหรี่ของหมู่บ้านที่เห็นอยู่ไกล ๆ
เช้ามืดหลังจากเรือเทียบท่า ทุกคนช่วยกันขนของสดไปที่จุดรวมตัว ซึ่งก็คือ ตลาดสมาคมชาวประมง
ตลาดของสมาคมชาวประมงเปิดรับของทะเลตั้งแต่เช้ามืด แม่ค้าหลายคนยืนรออยู่หน้าลาน บางคนเป็นภรรยาของชาวประมงเอง บ้างก็เป็นพ่อค้าคนกลางที่เชื่อมระหว่างชาวบ้านกับเมืองใหญ่
เสียงตะโกน เสียงหัวเราะ เสียงคุยเรื่องราคากุ้งปลาดังเจื้อยแจ้วเหมือนเพลงพื้นบ้าน ท่ามกลางความเหน็ดเหนื่อย กลับมีชีวิตที่อุ่นใจแทรกอยู่เงียบ ๆ
ท้องฟ้าเบื้องบนยังปกคลุมด้วยม่านสีเทานวลจาง ๆ กลิ่นทะเลสดชัดเจนยิ่งกว่าทุกวันเมื่อเรือประมงของไต้ก๋งโจวเทียบท่าตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง ลังปลาหมึก ปลาทู และปูม้าสดใหม่ถูกลำเลียงลงจากเรือด้วยแรงมือของชายหนุ่มสี่ห้าคน
"เข็นไปชั่งน้ำหนักแล้วเอาบิลมาด้วยนะ เดี๋ยวพ่อจะไปแจ้งหัวหน้าไป๋"
ไต้ก๋งโจวพูดกับลูกชายเบา ๆ เมื่อมาถึงลานชั่งน้ำหนัก สือซานพยักหน้า ยกหลังมือเช็ดเหงื่อ ข้าง ๆ กัน ฉุนกังกับหมิงหลงจัดการเรียงลังอย่างคล่องแคล่ว เจียงเฉิงถอนหายใจเมื่อมองปลาหมึกยังดิ้นเบา ๆ อยู่ในลัง
"ของสดขนาดนี้ ถ้าได้ราคาดีหน่อยคงหายเหนื่อยเลยเนอะพี่สือซาน" หมิงหลงพูดระหว่างที่ช่วยกันยกของลงจากรถเข็น
"อื้อ..ไม่น่าจะต่ำกว่า 200 หยวน"
ขณะเดียวกันเสียงของหัวหน้าไป๋ก็ดังมาแต่ไกล
"ไต้ก๋งโจว มาส่งเหรอ วันนี้ได้ของเท่าไหร่?"
ชายพุงพลุ้ยสวมเสื้อกั๊กสีแดงเดินอาด ๆ มุ่งหน้ามาที่บริเวณที่ลังสินค้าของบ้านโจววางอยู่
"พอสมควรครับ ลังแถบนี้ปลาหมึก ลังแถบนู้นปลาทู แล้วก็กุ้ง ปู ยังสดอยู่เลย ลองดูก่อนนะหัวหน้าไป๋"
ไต้ก๋งโจวพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ ทว่าสายตาของหัวหน้าไป๋กลับเหมือนคนมืดบอด มองของดีเป็นของใกล้เสีย ตัดสินใจกดราคาอย่างหน้าด้าน ๆ
"ก็ไม่เท่าไหร่ ของทั้งหมด... ได้แปดสิบสองหยวน"
เขาว่าพลางหันหน้าหนีเหมือนไม่ต้องการเสียเวลามากไปกว่านั้น
"แปดสิบสอง? แต่ของเราทั้งสดทั้งเยอะ จะขายได้ราคานี้ได้ยังไง?" สือซานทวนคำ น้ำเสียงปนไม่เชื่อหูตนเอง
"วันนี้สมาคมรับซื้อราคานี้ จะขายก็ขาย ไม่ขายก็เก็บไว้กินกันเอง" หัวหน้าไป๋สวนกลับ
คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศแถวนั้นหนาวเย็นขึ้นถนัด เจียงเฉิงขยับเข้ามาเหมือนจะพูดอะไร แต่ไต้ก๋งโจวรีบวางมือลงบนบ่าเขาเพื่อหยุดทุกอย่างเอาไว้ก่อน
"พอเถอะ ไม่มีประโยชน์หรอกอาเฉิง..."
น้ำเสียงนั้นนิ่ง แต่ในแววตาไต้ก๋งโจวกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หมิงหลงมองหน้าทุกคน ก่อนถามเสียงเบา
"ไต้ก๋ง...ถ้าเราเอาของไปขายเองข้างนอก จะได้ราคาดีกว่านี้ไหม?"
"ไม่ได้ กฎของสมาคมบอกไว้ชัด..สมาชิกทุกคนต้องขายผ่านตลาดนี้เท่านั้น จะขายให้พ่อค้าคนกลางหรือแอบนำไปที่อื่นไม่ได้เลย…" พ่อโจวรีบตอบทันที
"เพราะต้องหักเงินส่วนต่างมาเข้ากองทุนบำรุงตลาดไงอาหลง พวกเราถึงทำแบบนั้นไม่ได้"
ฉุนกังพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ ไม่มีใครพูดอะไรต่ออีก ต่างคนต่างรู้ว่าหากละเมิดข้อห้าม จะถูกตัดสิทธิ์ในการใช้ท่าเรือและระบบประมงทั้งหมด ซึ่งเท่ากับเป็นการขาดลมหายใจของชีวิตประมง
สุดท้าย ไต้ก๋งโจวพยักหน้าเบา ๆ อย่างยอมจำนนในความจำเป็น รับเงินแปดสิบสองหยวนในถุงผ้าขึ้นมากำแน่น
"ไปเถอะ กลับบ้านกัน"
ระหว่างทางกลับเสียงล้อเหล็กลากครืดคราดบนถนนเรียบ สะท้อนความฝืดเคืองในอกของทุกคน
"ผมว่า หัวหน้าไป๋ตั้งใจแน่ ๆ ครับ ใครก็รู้ว่าลูกสาวเขาชอบพี่สือซาน พอรู้ข่าวว่าพี่สะใภ้แต่งเข้าบ้านโจว ก็ทำตัวเย็นชาใส่เราทันที"
หมิงหลงโพล่งขึ้นท่ามกลางความเงียบ
"ใช่ วันนี้ราคาทะเลไม่ได้ตกสักหน่อย แค่คนอื่นไม่กล้าทัก เพราะกลัวโดนตัดสิทธิ์จากสมาคม! นี่มันใช้อำนาจข่มเหงคนอื่นชัด ๆ"
สือซานยังคงเงียบ ใบหน้าหน้าขรึม เขาจ้องมองล้อที่หมุนไปช้า ๆ เหมือนความคิดกำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายใน
"พ่อเข้าใจว่าทุกคนโกรธ แต่ของแบบนี้เราต้องระวัง ถ้ายังไม่มีหลักฐาน ก็อย่าเพิ่งปักใจว่าเป็นเพราะเรื่องส่วนตัว..."
ไต้ก๋งโจวถอนหายใจหนัก ๆ เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ผิดจากคำพูดของลูกหลาน แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้พูดเขาพูดออกไป คำพูดก็ไม่ต่างจากดาบสองคม
รุ่งเช้าที่บ้านโจว
ลมทะเลโชยเอื่อย กลิ่นอายเกลือแตะจาง ๆ เข้าจมูก ลอดผ่านผ้าปิดหน้าต่างที่พับเก็บเรียบร้อยตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง แสงขาวนวลจากหลอดไฟยังส่องวับบนเคาน์เตอร์ครัวไม้เก่า เสี่ยวหนานผูกผ้ากันเปื้อนลายจุดไว้แน่น เดินเข้าครัวข้างบ้านแต่เช้ามืด
เตาอิฐสูงเท่าสะโพก สองช่องถูกจุดด้วยถ่านไม้แห้งควันขาวกรุ่น เธอเริ่มต้นด้วยการหุงโจ๊กข้าวสวยซาวน้ำสะอาด ใส่กุ้งแห้งตัวเล็กจากไหที่แม่สามีเคยบอกไว้ ระหว่างนั้นก็นึ่งปูแล้วนำมาแกะเนื้อ หั่นผักซอยขิงเตรียมไว้ครบเครื่อง
หัวเตาข้างกัน ซุปเนื้อปูใส่ไข่ขาวละลายหยอดเป็นเกล็ดหิมะกำลังเดือดพล่านอยู่ในหม้อดิน เยื่อไผ่แช่น้ำจนนิ่มถูกฉีกเส้นบาง ๆ ใส่ลงพร้อมเห็ดหูหนูขาวชิ้นเล็กขาวละมุน เครื่องปรุงต่าง ๆ ถูกเติมจนได้รสชาติกลมกล่อม
เสร็จแล้วเสี่ยวหนานก็ตั้งหม้อนึ่ง เต้าหู้เนื้อแน่นจากถั่วลิสงที่เธอซื้อมาจากตลาดตั้งแต่เมื่อวาน ถูกวางเรียงในจานเคลือบลายดอกแดง โรยเห็ดหอมซอย ขิงหั่นเส้น และราดซอสซีอิ๊วตามสูตรของเธอแล้วนำขึ้นนึ่งในหม้อร้อน ๆ
พอโจ๊กเคี่ยวได้ที่เสี่ยวหนานก็รีบต้นน้ำขิงต่อ สามีกับพ่อสามีออกทะเลมาทั้งคืน กับข้าวเช้านี้ก็ยังมีเนื้อปูที่มีฤทธิ์เย็น เธอจึงตั้งใจจะต้มน้ำขิงที่มีฤทธิ์ร้อนให้ทุกคนดื่ม จะได้สบายตัว ระหว่างที่ทำกับข้าวสายตาของเธอก็ชำเลืองมองไปทางประตูหน้าบ้านอยู่ตลอด
"แม่จ๋า… แม่มองหาพ่ออยู่เหรอ?"
เสียงใสปนน้ำเสียงงัวเงียของหน่วนหน่วน ลูกสาววัยห้าขวบทำให้เสี่ยวหนานหันไปยิ้มกว้าง แล้วรีบเดินเข้าไปหา
"ใช่จ้ะ ป่านนี้ไม่รู้พ่อของหนูจะขึ้นฝั่งรึยังเลย"
แม่โจวที่เพิ่งเดินออกจากตัวบ้านก็รีบบอกลูกสะใภ้ให้สบายใจ นางรู้ดีว่าความเป็นห่วงที่ลูกสะใภ้กำลังเผชิญเป็นยังไง
"อีกเดี๋ยวก็กลับมาถึงแล้วล่ะลูก ถ้าทำกับข้าวเสร็จแล้วก็ตั้งโต๊ะเถอะ ส่วนหน่วนหน่วนก็รีบไปล้างหน้าแปรงฟัน จะได้ออกมากินข้าวพร้อมกัน"
"ค่ะย่า หน่วนหน่วนจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ"
สองแม่ลูกแยกกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง โดยมีแม่โจวคอยช่วยจัดโต๊ะจนเสร็จไม่นานสือซานกับพ่อโจวก็เดินกลับมาถึงบ้านพร้อมกัรถเข็นและของสดที่เหลือ เขาวางลังไม้ลงข้างครัวแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
"เป็นอะไรรึเปล่าพี่ ทำไมถอนหายใจแบบนั้นล่ะ?" เสี่ยวหนานเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง สีหน้าของทั้งคู่ไม่สู้ดีสักเท่าไหร่
"วันนี้พวกเราได้เงินมาแค่แปดสิบหยวน ทั้งที่มันควรจะเกินร้อย ไหนจะจ่ายค่าแรงลูกเรือคนละสามหยวน แล้วยังมีค่าน้ำมันอีก… สุดท้ายเหลือไม่ถึงสี่สิบหยวน ยังต้องเก็บไว้เผื่อซ่อมเรืออีก"
"หาของทะเลได้น้อยเหรอคะ?"
"หาได้เยอะ เงินที่ขายได้ก็ควรได้เยอะกว่านี้มาก.."
สือซานไม่พูดอะไรต่อแต่เสี่ยวหนานก็พอจะรู้ได้ ทั้งหมดคงเป็นเพราะคนสกุลไป๋พวกนั้น
"ไม่เป็นไรนะพี่ ฉันจะรีบเปิดร้านให้ได้เร็วที่สุด ถ้าเปิดเมื่อไหร่ ฉันจะรับซื้ออาหารทะเลจากพี่เองพี่ทุกวันเลย จะได้ไม่ต้องไปง้อสมาคมไหนให้เจ็บใจอีก"
เสี่ยวหนานจับมือของสามีเอาไว้ เธอยังมีความรู้และสูตรลับอีกมากมายที่จะจัดการกับอาหารทะเลพวกนี้ ไม่ขำเป็นต้องไปขายให้คนสกุลไป๋เอาเปรียบอีก แต่ช่วงแรกก็ต้องทนลำบากไปก่อน
"หนานหนาน พี่จะให้น้องแบกรับเรื่องพวกนี้ได้ยังไง"
"ครอบครัวเดียวกัน จะทุกข์จะสุกก็ต้องฟันฝ่าไปด้วยกัน เดี๋ยวกินข้าวเสร็จพี่ก็พักอยู่ที่บ้าน ฉันจะออกไปจัดการที่ร้านสักหน่อย"
"แน่ใจนะว่าจะไม่ให้พี่ไปช่วย?"
"พี่ทำงานมาเหนื่อย ๆ นอนพักเถอะ เรื่องแค่นี้ฉันจัดการได้"
หลังจากคุยกันเสร็จทุกคนก็มาล้อมวงกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อยแล้วทิ้งเรื่องน่าปวดหัวไว้ข้างหลัง