หลังจากกินข้าวเสร็จ เสี่ยวหนานก็เตรียมตัวจะไปดูที่ขายของ แม่โจวเห็นว่าเสี่ยวหนานจะผ่านบ้านซูจึงจับปลาที่ขังอยู่ในกะละมังให้เสี่ยวหนานเอาไปฝากบ้านซูด้วย
"เสี่ยวหนาน เอาปลาพวกนี้ไปฝากพ่อแม่ที่บ้านด้วยนะลูก"
แม่โจวยิ้มละไมพลางหยิบปลาสดขึ้นมาใส่ถุงยื่นให้ลูกสะใภ้
"ขอบคุณค่ะแม่ งั้นหนูไปก่อนนะคะ"
"ไปเถอะลูก ถ้าสือซานกลับมาจากเรือ แม่จะบอกให้พี่เขารีบตามไป"
"ค่ะแม่ แล้วหน่วนหน่วนสนใจจะไปหาคุณยายกับแม่ไหม?"
เสี่ยวหนานหันไปถามหนูน้อยซินหน่วนที่กำลังนั่งมองเธออยู่เงียบ ๆ บ้านโจวมีคนน้อย แถมยังมีช่วงอายุที่ต่างกัน หน่วนหน่วนเลยไม่มีเพื่อนเล่นสักเท่าไหร่
"หน่วนหน่วนไปได้เหรอคะ จะไม่รบกวนแม่จ๋าใช่ไหม?"
"ไม่รบกวนแน่นอน เมื่อวานหน่วนหน่วนเห็นใช่ไหมว่าที่บ้านซูมีพี่อันเจ๋ออยู่ที่นั่น หนูอยากไปเล่นกับพี่เขาไหม?"
"ไปค่า"
หลังจากตกลงกันได้เสี่ยวหนานกับหน่วนหน่วนก็เดินไปที่บ้านซู พร้อมกับปลาสด ๆ ของฝากจากแม่โจว เดินไปไม่นานทั้งคู่ก็ถึงหน้าบ้านซู
"เสี่ยวหนาน หน่วนหน่วน เข้ามาก่อนลูก" แม่ซูที่นั่งชำแหละปลาตัวเล็ก ๆ ตากแดดอยู่หน้าบ้าน
"คุณยายสวัสดีค่ะ"
"พ่อกับพี่ใหญ่ไปทำงานแล้วเหรอแม่?" เสี่ยวหนานหันซ้ายหันขวาแต่ก็ไม่เห็นใครนอกจากอันเจ๋อจึงเอ่ยถาม
"ไปแล้วลูก วันนี้ไปรับจ้างเข็นปลาที่ท่าเรือเล็ก"
ท่าเรือเล็กคือท่าเรือประมงของชาวเมืองเยี่ยนเทียน แต่ไม่ใช่ท่าเรือใหญ่ที่บรรทุกสินค้าข้ามฝั่งไปที่ฮ่องกงและส่งออกไปต่างประเทศ
"อันเจ๋อมาเล่นเป็นเพื่อนน้องหน่อย อีกเดี๋ยวอาจะเข้าเมือง แล้วอาจะซื้อขนมมาฝากนะ"
"ครับอาเสี่ยวหนาน"
เสี่ยวหนานลูบหัวหลานชายวัย 7 ขวบ อันเจ๋อเป็นเด็กดีและเชื่อฟัง ถึงพี่สะใภ้จะพูดกับเธอไม่ดี แต่ก็เข้าใจได้ ทั้งหมดก็เพราะถูกเธอนำเงินที่มีในบ้าน ทั้งข้าวของ ทั้งอาหาร เธอก็ขนไปให้หานเจาจนหมด เฮ้อ! ไร้ความคิดจริง ๆ
"สือซานตามมาโน่นแล้ว อ้าว ทำไมเอาจักรยานมาด้วยล่ะ พวกลูกจะเข้าเมืองกันเหรอเสี่ยวหนาน"
แม่ซูเอ่ยถามลูกสาวเมื่อเห็นลูกเขยปั่นจักรยานลงเนินมาแต่ไกล
"หนูว่าจะเข้าไปดูที่ขายกับข้าวค่ะแม่ ดีกว่าอยู่เฉย ๆ"
"จะดีเหรอลูก พ่อแม่สามีจะไม่ว่าเหรอถ้าลูกออกไปทำงานแบบนั้น แล้วใครจะดูแลงานที่บ้าน?"
แม่ซูถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วง แต่งเข้าไปเป็นสะใภ้ การปรนนิบัติดูแลสามีและพ่อแม่สามีเป็นเรื่องที่ต้องทำ
"แม่ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้พ่อแม่สามีเห็นด้วยแล้ว งานในบ้านหนูจะดูแลไม่ให้บกพร่อง"
"เอาเถอะ ถ้าบอกพ่อแม่สามีแล้วแม่ก็เบาใจ พากันไปทำธุระเถอะลูก ส่วนหน่วนหน่วนให้เล่นอยู่กับอันเจ๋อที่นี่ก็ได้ เดี๋ยวแม่จะดูให้เอง"
"แม่สวัสดีครับ ผมมารับเสี่ยวหนานเข้าเมืองครับ" สือซานรับทักทายทันทีที่จอดจักรยานแล้ว
"ฝากดูน้องด้วยนะสือซาน ส่วนหน่วนหน่วนให้เล่นอยู่ที่นี่กับอันเจ๋อก็ได้"
"ครับแม่ งั้นเราไปกันเถอะหนานหนาน" สือซานหันไปพูดกับภรรยาที่ยืนอยู่กับเด็ก ๆ
"หน่วนหน่วน รอพ่อกับแม่อยู่ที่นี่กับคุณยายนะ เล่นกับพี่อันเจ๋อไปก่อน ไว้เสร็จธุระแม่จะซื้อขนมมาฝาก"
"ค่า พ่อจ๋ากับแม่จ๋าอย่าลืมขนมของหน่วนหน่วนนะ"
"แม่ไม่ลืมแน่นอนจ้ะ มีของฝากให้ทั้งสองคนแน่นอน"
เสี่ยวหนานพูดพร้อมลูบศีรษะลูกสาวเบา ๆ แล้วรีบหมุนตัวเดินออกจากบ้านไปทันที
เสียงล้อจักรยานที่บดไปบนทางลูกรังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ คล้ายหัวใจสองดวงที่กำลังปรับจังหวะให้ตรงกัน
เสี่ยวหนานนั่งซ้อนท้ายอยู่บนเบาะแคบ ๆ มือเกาะเอวของสือซานไว้แน่น ร่างเอนเล็กน้อยเข้ากับแผ่นหลังแข็งแรงของสามี แต่อารมณ์ในใจกลับคล้ายมีพายุ
เธอไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ขี่จักรยานออกมาจากบ้าน…
แม้ลมจะเย็น แต่มือเธอกลับชื้นเหงื่อจนรู้สึกได้เอง
ใจหนึ่งก็อยากสารภาพทุกอย่าง อีกใจก็กลัว…
กลัวเขา...จะกลัวเธอ
"เมื่อเช้า พี่เห็น..."
เสียงพูดนั้นคล้ายห้วงเวลาได้หยุดลง เสี่ยวหนานใต้กระตุกวูบ รีบถามเสียงสูงกลับไปทันที
"พี่เห็นอะไร?"
"เห็นตอนน้องเอาข้าวสารออกมา..."
เสียงของสือซานราบเรียบแต่เต็มไปด้วยความอึดอัด เขาไม่อาจทนกับความรู้สึกอึดอัดใจแบบนี้ได้จึงเป็นคนพูดเรื่องนี้เอง
"ละ...แล้วพี่กลัวฉันไหม?"
เสี่ยวหนานสูดลมหายใจลึกก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
"ไม่กลัว...พี่ถึงได้บอกไง ว่ามีอะไรให้พูดกับพี่ตรง ๆ" เขาตอบทันที แล้วเติมเสียงหัวเราะในลำคอ
"ได้ ฉันจะบอกความจริงกับพี่...แต่ก่อนอื่น พี่ต้องเตรียมใจหน่อยนะ อย่าคิดว่าฉันเป็นปีศาจไปซะก่อนล่ะ"
หญิงสาวชะงักเล็กน้อยแล้วพึมพำกับตัวเองเบา ๆ สือซานหัวเราะอีกครั้ง ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแสนอบอุ่นเหมือนพระอาทิตย์กลางฤดูหนาว
"หึ พูดมาเถอะ พี่รับได้ทุกอย่าง"
"พี่จำคืนที่เราถูกวางยาได้ไหม"
"จำได้สิ..." เสียงตอบของสือซานชะงักเล็กน้อย คล้ายรู้ว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง
"เจ้าของร่างนี้จากไปในคืนนั้น ส่วนฉัน...มาจากอนาคต"
ลมที่พัดมากลับกลายเป็นลมหวิววูบในอกสือซาน เขาเบรกจักรยานเบา ๆ จนล้อหน้าหยุดริมพุ่มไม้ข้างทาง แล้วหันกลับไปมองหน้าเธอเต็ม ๆ เป็นครั้งแรกหลังจากออกจากบ้านมา
"อนาคตที่ว่า...ปีไหน?"
"ปี 2025 หรืออีก 42 ปีข้างหน้า"
เสี่ยวหนานตัดสินใจพูดแค่นั้น เธอไม่อาจพูดได้ว่าโลกใบนี้เป็นเพียงนิยายเรื่องหนึ่งเท่านั้น ถึงพูดไปใครจะเชื่อ ก็คนมีเนื้อมีหนัง มีความรู้สึกทั้งนั้นที่อยู่ตรงหน้า
"น้องพูดจริงเหรอ...นั่นหมายความว่าน้องรู้เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตใช่ไหม?"
เขาถามเสียงเบา แต่ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะตกใจปนทึ่ง
"ใช่" เธอตอบเสียงเรียบ แต่ในใจเต้นแรงเหมือนกลองรัว
"..."
"แต่เป็นเรื่องราวในวงกว้าง อย่างพัฒนาการบ้านเมือง การเปลี่ยนแปลงในยุคสมัย ทิศทางของความเจริญ ฉันจำได้คร่าว ๆ และบางอย่าง...ก็ยังอยู่ในความรู้สึก"
สือซานขมวดคิ้วนิดหนึ่ง แต่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะระบายยิ้มบางออกมา
"ว้าว...แสดงว่าพี่ตาถึงจนได้ของดีมาอยู่ในบ้านเลยสิเนี่ย"
เสี่ยวหนานหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ใบหน้าแดงระเรื่อ หัวใจที่เคยเต้นด้วยความหวาดหวั่น กลับอบอุ่นเหมือนกำลังซุกอยู่ในอ้อมแขนใครบางคน
"ข้าวสารที่พี่เห็นเมื่อเช้านั่นมาจากร้านในมิติของฉัน มันเป็นมิติที่เหมือนห้องเก็บของที่ไม่มีวันหมด มีวัตถุดิบ อุปกรณ์ทุกอย่างที่เคยใช้ในร้านอาหารของฉัน ในที่ที่ฉันจากมา"
เธอเริ่มเล่าอย่างออกรสออกชาติ ยิ่งรู้ว่าไม่ต้องปิดบังสามีเธอก็ยิ่งสบายใจมากขึ้น
"แสดงว่า...ก่อนหน้านี้ น้องเปิดร้านอาหารมาก่อน?"
"ใช่ ฉันทำร้านอาหารเล็ก ๆ ในเมือง เป็นร้านอาหารของเพื่อนบ้านทางใต้ที่มีความนิยมในยุคนั้น ขายดีมากจนต้องจองคิวล่วงหน้า"
"แสดงว่าตอนนี้พวกเราจะใช้ความรู้จากอนาคตสินะ"
"แน่นอน ฉันจะพาพี่ร่ำรวยไปด้วยกัน เสี่ยวหนานคนนี้ไม่ขออะไรมาก มีแค่เรื่องนอกกายนอกใจเท่านั้นที่ฉันรับไม่ได้"
สือซานมองหน้าเธอไปครู่ ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจแตะกันแผ่วเบา
"พี่สาบานว่าจะมีน้องคนเดียว"
ลมทะเลที่พัดมาจากท่าเรือเหมือนกล่อมเสียงหัวใจให้เต้นช้าลง จักรยานพาพวกเขาเคลื่อนไปข้างหน้าอีกครั้ง...
ระหว่างทาง เสี่ยวหนานเล่าให้สือซานฟังถึงเมนูต่าง ๆ ที่เธอคิดจะทำ เธอเล่าออกมาจนหาที่สิ้นสุดไม่ได้ สือซานฟังไป ยิ้มไป ราวกับทุกถ้อยคำคือบทเพลงที่เธอแต่งขึ้นเพื่อเขา
บรรยากาศท่าเรือเซินเจิ้น ปี 1983
ท่าเรือเซินเจิ้นในปี 1983 ยังไม่ได้ยิ่งใหญ่เทียบท่าระดับโลกแบบในอนาคต แต่กลับคึกคักด้วยวิถีชีวิตอันเรียบง่ายและเต็มไปด้วยแรงงานขยันขันแข็ง อาคารต่าง ๆ ถูกปลูกเรียงรายอย่างประหยัดพื้นที่ สะท้อนยุคเปลี่ยนผ่านของประเทศจากเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ไปสู่ตลาดเปิดที่เริ่มก่อตัว
บริเวณท่าเรือแบ่งออกเป็น 3 โซนหลัก
โซนท่าเทียบเรือ: อยู่ด้านหน้าสุด ติดชายฝั่ง เป็นพื้นที่สำหรับเทียบเรือบรรทุกสินค้าขนาดกลาง และเรือโดยสารในท้องถิ่น เสาไม้ผูกเชือกยังคงตั้งเรียงรายอยู่ ขณะที่กลิ่นทะเลเค็มโชยปะปนกับกลิ่นน้ำมันที่เผาผลาญจากเรือใหญ่
โซนโกดังสินค้า: ถัดเข้ามาด้านใน มีโกดังไม้กึ่งปูนที่แบ่งเป็นล็อก ๆ สำหรับเก็บสินค้าจากเรือ ตั้งอยู่ประมาณ 3-4 หลังหลังคาเรียบสีเทา มีชายผ้าพลาสติกขึงกันแดดฝนไว้อย่างเรียบง่าย
โซนร้านค้าและสำนักงานบริหาร: เป็นแนวยาวติดถนนด้านในสุด มีตึกชั้นเดียวปลูกติดกันเรียงเป็นห้อง ๆ ผนังปูนเปลือยสีหม่นตามกาลเวลา กระจกหน้าต่างบางห้องยังใช้บานไม้เปิดปิดแทนกระจกสมัยใหม่
หนึ่งในแถวนั้น มี ห้องกระจกที่ใช้เป็นสำนักงานท่าเรือ ตั้งอยู่หัวมุมฝั่งขวามือ เป็นห้องกระจกทรงเหลี่ยมที่มีโต๊ะทำงาน โต๊ะประชุม และแฟ้มเอกสารวางอยู่เต็มชั้น ม่านลูกไม้เก่า ๆ ถูกแหวกไว้ครึ่งหนึ่งเปิดทางให้แสงแดดส่องลอดเข้ามา
ถัดออกไปอีกไม่กี่เมตร คือ ร้านขายของชำของลุงกู้กับป้ากู้ ร้านเล็ก ๆ ที่มีตู้แช่น้ำอัดลมและชั้นวางขนมและสินค้าจำเป็นแบบเบ็ดเตล็ด คนงานมักมาอุดหนุนอยู่ตลอด ลุงกู้ชอบนั่งเช็ดเหงื่ออยู่หน้าเคาน์เตอร์ ส่วนป้ากู้ก็ขยันขันแข็งจัดของอยู่ไม่ขาดมือ
ติดกันมีห้องว่างอยู่ สองห้องโครงสร้างยังแน่นหนา ภายในห้องกว้างพอจะกางโต๊ะอาหารได้เกือบสิบตัว หากเปิดทะลุถึงกันจะยิ่งดูกว้างใหญ่เหมาะสำหรับการค้าขาย มีเก็บของ ห้องครัวด้านหลังขนาด 3x3 เมตร และ ห้องน้ำ