“พวกท่านทั้งสองเป็นพี่น้องกันเช่นนั้นรึ”
ไป๋อวี้หลันเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อทั้งสองคนต่างก็มีแซ่เดียวกันและยังมีใบหน้าที่ดูคล้ายกันอีกด้วย
“ขอรับคุณหนู พี่หวังอู่เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของข้าขอรับ พวกเราทั้งสองเป็นเด็กกำพร้าที่นายท่านรับไปดูแล ก่อนจะฝึกให้เป็นองครักษ์แล้วส่งมาดูแลคุณหนูขอรับ”
หวังลู่เอ่ยตอบเพื่อคลายความสงสัยของเจ้านายคนใหม่ของพวกเขาสองพี่น้องแทนผู้เป็นพี่ชายที่มีนิสัยพูดน้อย
“อืม ถ้าอย่างนั้นสิ่งแรกที่ข้าอยากทำคือหาซื้อจวนเป็นของตัวเองสักหลังพวกท่านช่วยไปติดต่อให้ข้าทีสิ”
“คุณหนูเจ้าคะ ความจริงแล้วนายหญิงเคยซื้อจวนไว้อยู่หลังหนึ่งอยู่ทิศตะวันออกของเมืองหลวงเจ้าค่ะ”
หลิวหวังเอ่ยบอกกับคุณหนูของตนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอยากจะได้จวนเป็นของตัวเอง
“จริงหรือแม่นม ดียิ่งแล้วตอนนี้โฉนดที่ดินของจวนอยู่กับท่านหรือไม่ หรือว่าอยู่กับท่านเสนาบดีไป๋”
หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นในตอนแรกก่อนจะเริ่มทำสีหน้าหม่นหมองลงเมื่อคิดว่าโฉนดอาจจะอยู่กับผู้เป็นบิดาของตน
“อยู่กับข้าเจ้าค่ะ นายหญิงแอบเก็บซ่อนโฉนดทุกอย่างเอาไว้ให้กับท่าน ส่วนสินเดิมอย่างอื่นนั้นนายหญิงมอบให้นายท่านไปหมดแล้ว”
“เช่นนั้นเราก็เดินทางไปที่จวนนั้นกันเถิดจะได้ไม่เสียเวลา อีกอย่างก็จะได้ดูว่าต้องปรับปรุงหรือซ่อมแซมส่วนไหนบ้าง”
“ได้เจ้าค่ะคุณหนู”
จบคำตอบรับของหลิวหวังพวกนางทั้งห้าคนจึงได้ออกเดินทางไปยังจวนดังกล่าวด้วยรถม้าเช่าที่หวังอู่ไปจ้างมา ใช้เวลาในการเดินทางเพียง 2 เค่อ รถม้าก็จอดที่หน้าจวนดังกล่าว
เพียงแต่คนขับรถม้าเมื่อเห็นว่าจุดหมายเป็นจวนหลังนี้เขาก็มีอาการหวาดกลัวแปลก ๆ จนหญิงสาวสังเกตได้
ไป๋อวี้หลันจึงได้เอ่ยถามคนขับรถม้าด้วยความสงสัยว่าที่จวนแห่งนี้มีอะไรรึเปล่าทำไมเขาถึงได้มีอาการหวาดกลัวถึงเพียงนี้
“ขออภัยท่านลุง ไม่ทราบว่าที่จวนแห่งนี้มีสิ่งใดผิดปกติหรือ ทำไมท่านลุงจึงได้มีท่าทีหวาดกลัวถึงเพียงนี้”
“เอ่อ…นี้แม่นางยังไม่ทราบเรื่องข่าวลือเกี่ยวกับจวนผีสิงแห่งนี้หรอกรึ?” ลุงขับรถม้าเอ่ยถามด้วยความตกใจ
“!!!”
“จวนผีสิง? ทำไมท่านลุงจึงได้เรียกว่าจวนผีสิงกัน”
ไป๋อวี้หลันเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงงว่าทำไมจวนที่มารดาซื้อเอาไว้กับกลายเป็นจวนผีสิงไปเสียได้
“ก็เพราะมีชาวบ้านที่อยู่บริเวณนี้มักจะได้ยินเสียงแปลก ๆ ออกมาจากด้านในพร้อมกับบางคนยังเห็นเงาดำ วาบผ่านไปมาบนหลังคาบ้านอยู่บ่อย ๆ จนชาวบ้านแถวนี้ไม่มีใครกล้าผ่านในตอนกลางคืนกันแล้ว ก่อนแม่นางจะซื้อจวนนี้คนขายมิได้บอกท่านหรอกรึ”
“ไม่เจ้าค่ะพอดีจวนนี้ท่านแม่ของข้าได้ซื้อเอาไว้นานแล้ว น่าจะก่อนที่จะมีผู้คนพบเห็นข่าวลือนี้กระมัง ว่าแต่ข่าวลือนี้มีมานานหรือยังเจ้าคะ”
“ก็มีมาได้สี่ห้าปีแล้วขอรับ”
“ขอบคุณท่านลุงมากเจ้าค่ะ เสี่ยวอิงจ่ายค่ารถม้าให้ท่านลุงด้วยนะ ข้าขอเข้าไปสำรวจด้านในก่อน”
หญิงสาวเอ่ยบอกกับสาวใช้ก่อนที่ตนเองจะเดินตรงไปยังประตูไม้ที่แกะสลักลวดลายอย่างประณีต แต่สภาพในตอนนี้ดูคล้ายกับประตูบ้านร้างในหนังผีอยู่มากทีเดียว ไป๋อวี้หลันจึงไม่แปลกใจว่าทำไมผู้คนถึงเรียกว่าจวนผีสิง
มือบางใช้แรกผลักบานประตูขนาดใหญ่ตรงหน้าที่มีทั้งฝุ่นและหยากไย่แมงมุมเกาะอยู่เป็นจำนวนมาก โดยที่องครักษ์ทั้งสองเองก็ยืนเฝ้าระวังรอบด้านให้กับหญิงสาว
ส่วนหลิวหวังกับเสี่ยวอิงเองหลังจากที่ได้ฟังคำบอกเล่าจากคนขับรถม้าว่าที่นี้เป็นจวนผีสิงก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้เพราะคุณหนูของพวกตนเลือกที่จะอาศัยอยู่ที่จวนแห่งนี้ จึงทำได้เพียงเดินตามหลังของทั้งสามคนเข้าไปอย่างเงียบ ๆ ด้วยใจที่เต้นระรัว
เมื่อไป๋อวี้หลันเดินผ่านประตูบ้านเข้ามาแล้วนั้นก็พบกับทางเดินตรงกลางที่ทั้งสองข้างทางเป็นสวนขนาดเล็กที่ในตอนนี้มีหญ้าขึ้นรกเต็มไปหมด ด้านหน้าเป็นเรือนขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง
ถัดจากนั้นเข้าไปด้านในก็จะเป็นเรือนขนาดเล็กอีกสองเรือนและ ที่พักของบ่าวไพร่อีกหนึ่งเรือน โดยด้านข้างเรือนใหญ่จะเป็นโรงครัวเอาไว้ใช้สำหรับทำอาหาร
ภาพรวมสำหรับจวนแห่งนี้ถือได้ว่ากว้างใหญ่อยู่พอสมควรเพียงแต่สภาพดูเก่าแก่จนคิดว่านอน ๆ อยู่จวนแห่งนี้อาจจะพังลงมาทับนางตายได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นตอนนี้สมองของหญิงสาวจึงจดจำรายละเอียดต่าง ๆ ของจวนเพื่อจะให้ช่างมาทำการปรับปรุงให้ได้ตามแบบที่นางต้องการ
“คะ คุณหนูเจ้าคะ…”
เสี่ยวอิงเอ่ยเรียกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงเบาหวิวและร่างที่ดูสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวต่อบรรยากาศรอบ ๆ จวนแห่งนี้
“ว่าอย่างไรเสี่ยวอิง เจ้าอย่าบอกนะว่าเจ้ากลัวผี? ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ไป๋อวี้หลันเอ่ยหยอกล้อสาวใช้ข้างกายอย่างผ่อนคลาย ส่วนสาวใช้ที่ถูกเจ้านายเอ่ยล้อก็ถึงกับใบหน้าขึ้นสีอย่างอับอายที่คุณหนูของนางดันมองออกเสียแล้ว
“โถ่ว…คุณหนูบ่าวก็เป็นเพียงสตรีตัวเล็ก ๆ ที่ไม่เคยพบเจอที่ที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อนนี่เจ้าคะ”
“จริงเจ้าค่ะคุณหนู นมเองก็กลัวเหมือนเสี่ยวอิงกลัวนั่นแหละเจ้าค่ะ พวกเราไปอยู่ที่อื่นชั่วคราวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ?”
หลิวหวังเอ่ยบอกกับหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อายก่อนจะเสนอความคิดที่ตนเองต้องการมากที่สุดในตอนนี้
“แม่นม ท่านก็รู้ว่าผีไม่มีอยู่จริงนะ” ไป๋อวี้หลันเอ่ยแย้งคำพูดของแม่นมตนเองขึ้นมา
“มีเจ้าค่ะ!”
ส่วนหลิวหวังกับเสี่ยวอิงเอ่ยตอบกลับหญิงสาวขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
=====================================================
มีจวนก็ดันเป็นจวนผีสิงแล้วแบบนี้ยัยน้องจะทำยังไงกันละ แต่เอ๊ะ จะใช่ผีจริง ๆ รึเปล่าน้า ในตอนหน้ามีเฉลยน้า
“ท่าน...พี่...”เสียงเอ่ยเรียกของภรรยารองนั้นยิ่งทำให้โทสะของไป๋ฮุ่ยหมิงปะทุขึ้นจนเอ่ยตะคอกอีกฝ่ายด้วยความเกรี้ยวกราด“หุบปากเน่า ๆ ของเจ้าเสีย! เสียแรงที่ข้านั้นรักและเอ็นดูเจ้ามาตลออด แต่เจ้ากลับกล้าหักหลังข้าทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร”“ไม่เพียงแค่หลอกลวงข้าเรื่องหลินเอ๋อร์ แต่เจ้ายังวางยาฮูหยินเอกจนนางต้องตายจากไป เจ้าทำเรื่องเลวร้ายถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกันหา!”คำถามมากมายที่หลุดออกจากปากผู้เป็นสามีนั้นช่างบาดลึกลงไปในจิตใจของเป่าลี่อินเป็นอย่างมาก จริงอยู่ที่ในตอนแรกนางนั้นเข้าหาเขาเพียงเพราะต้องทำตามแผนของบุรุษชั่วช้าผู้นั้น แต่เมื่อได้ใกล้ชิดและได้รับความรัก เอาใจใส่ดูแลจากอีกฝ่ายอย่างที่ไม่เคยมีใครทำให้กับนางจึงทำให้นางเริ่มที่จะหึงหวงและอยากครอบครองไม่อยากให้เขาไปมอบความรักให้กับสตรีอื่น นางจึงได้วางแผนการทุกอย่างเพื่อที่จะใส่ร้ายฮูหยินเอกสตรีอีกหนึ่งคนที่เขารัก ด้วยการใส่ความต่าง ๆ จนในที่สุดนางก็สามารถทำสำเร็จและในขณะที่สตรีผู้นั้นตรอมใจนางจึงใช้โอกาสนี้ให้คนวางยาจนในที่สุดสตรีนางนั้นก็
“ท่านอ๋องเพคะ”อวี้หลันเอ่ยเรียกชายหนุ่มด้วยคำเรียกที่จริงจังจนทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มต้องหันกลับมามองยังหญิงสาวที่ในตอนนี้กำลังยืนจ้องมองมาที่ตนเอง“พี่บอกแล้วใช่หรือไม่ว่าให้เรียกพี่ว่าอย่างไร”ชายหนุ่มเอ่ยบอกพร้อมกับวงแขนแกร่งเองก็คว้าเอาเอวบางเข้ามานั่งลงบนตักของตัวเองอย่างต้องการทำโทษ“พี่ชายท่านหลอกกินเต้าหู้ข้าอีกแล้วนะเจ้าคะ”อวี้หลันเอ็ดชายหนุ่มตรงหน้าด้วยท่าทีไม่จริงจังนักคล้ายว่านางเองก็เริ่มที่จะชินกับนิสัยมือไวของอีกฝ่ายเสียแล้ว“ก็ใครกันเล่าที่ทำให้พี่ต้องเป็นแบบนี้”ร่างสูงเอ่ยถามพร้อมกับยื่นใบหน้าหล่อเหลาของตนเองที่ตั้งแต่วันงานเลี้ยงจบลงนางก็ไม่เห็นว่าเขาจะยอมสวมใส่หน้ากากเช่นที่ข่าวลือบอกแม้แต่น้อยเข้ามาใกล้ใบหน้าของหญิงสาวอย่างต้องการหยอกล้ออีกฝ่ายให้เขินอาย“เป็นพี่ชายเองมากกว่าที่คิดมากไปเองเจ้าคะ แต่ก็ช่างเรื่องนั้นก่อนเถิดข้าในตอนนี้ต้องการคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องสมรสพระราชทานที่ฝ่าบาททรงมอบให้เมื่อเช้านี้มากกว่า”หญิงสาวเองก็ไม่ได้คิดที่จะผ
ในที่สุดก็มาถึงสมรสพระราชทานระหว่างชินอ๋องกับคุณหนูซ่งอวี้หลัน งานแต่งงานในครั้งนี้ถึงแม้ว่าจะมีกำหนดการที่กระชั้นชิดไปหน่อยแต่ว่างานทุกอย่างนั้นก็ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสมเกียรติของว่าที่พระชายาของชินอ๋อง โดยงานในครั้งนี้ถูกจัดขึ้นที่ตำหนักส่วนตัวของชินอ๋องที่ผู้คนรู้จัก เพียงแต่นั้นเป็นแค่ฉากบังหน้าเพราะอวี้หลันได้พูดคุยตกลงกับชายหนุ่มเอาไว้แล้วว่าหลังจากแต่งงานเสร็จตนเองจะไปอยู่ที่จวนข้าง ๆ จวนของนาง ซึ่งชายหนุ่มเองก็ไม่คิดที่จะคัดค้าน เพราะเขานั้นตามใจหญิงสาวอยู่แล้ว ขอเพียงนางอยู่แล้วมีความสุขไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ล้วนแต่ยินดีทั้งสิ้นวันนี้ในเมืองหลวงต่างก็เต็มไปด้วยขบวนเจ้าบ่าวที่ในตอนนี้ร่างสูงสง่างามสวมชุดสีแดงสดนั่งสง่าอยู่บนหลังอาชาสีขาวตัวโปรดกำลังมุ่งหน้าไปยังจวนของว่าที่พระชายาที่เพียงแค่ขบวนสินสอดก็ยาวไปจนแทบจะสุดประตูเมือง ด้วยเกวียนขนหีบกว่าสามร้อยหีบไหนจะมีสิ้นเดิมของเจ้าสาวที่เหล่าท่านตาท่านลุงของนางนั้นมอบให้อีกกว่าสองร้อยกว่าหีบอีกเล่า เรียกได้ว่าการแต่งงานในครั้งนี้ของทั้งสองคนนั้นสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเหล่าชาวบ้านและเหล่าคุณหนูต่าง
ในที่สุดก็มาถึงวันนัดส่งมอบสินค้าของชาวหัวแดงกับกลุ่มของผู้ช่วยเผิงเจียง โดยพวกมันนั้นได้นัดพบกันที่แนวชายป่าใกล้ ๆ กับเมืองท่าที่พวกมันมักจะใช้เป็นจุดนัดพบส่งของกันอยู่บ่อยครั้งนั่นเองซึ่งข่าวเรื่องสถานที่ในการนัดพบของพวกมันนั้นเป็นชินอ๋องที่ส่งหน่วยองครักษ์ลับไปสืบข่าวมาจนได้รู้สถานที่ชัดเจนในครั้งนี้ ดังนั้นในวันนี้กลุ่มของนายท่านซ่งกับบุตรชายจึงได้เดินทางมายังสถานที่นัดพบกันในครั้งนี้กลุ่มของซ่งเฉิงป๋อนั้นทราบถึงกำหนดการจัดส่งสินค้าของพวกมันนั้นคือเวลายามซื่อของวันนี้และในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าก็จะถึงกำหนดเวลานัดของพวกมันแล้วเมื่อกลุ่มของซ่งเฉิงป๋อเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาแล้วทั้งสามคนพ่อลูกรวมทั้งเหล่าองครักษ์อีกกว่ายี่สิบนายต่างก็ซุ่มอยู่ในที่กำบังอย่างเงียบเชียบไม่นานหลังจากนั้นทั้งสองกลุ่มก็ได้ยินเสียงของรถม้าหลายคันกำลังวิ่งตรงมายังทิศทางที่พวกเขารออยู่เมื่อรถม้าทั้งสามคันจอสนิทลงที่จุดนัดพบก็เป็นเวลาเดียวกันกับเกวียนวัวของพวกกลุ่มพ่อค้าชาวหัวแดงเองก็มาถึงยังสถานที่นัดหมายเช่นเดียวกันหลังจากที่รถม้าจอดสนิทดีแล้วนั้นไม่นานก็มีบ
“คุณหนูซ่งรับราชโองการ....เนื่องด้วยคุณหนูซ่งอวี้หลันนั้นเป็นสตรีที่มากความสามารถอีกทั้งยังเป็นสตรีที่เพียบพร้อมไปด้วยกิริยามารยาทอ่อนหวานเรียบร้อย จึงประทานสมรสพระราชทานให้แต่งเป็นพระชายาเอกในชินอ๋องจวินซีฮันในอีก 7 วันต่อจากนี้จบราชโองการ.....”จบราชโองการทั่วทั้งจวนต่างก็ตกอยู่ในความเงียบไม่เว้นแต่หญิงสาวเองที่ตั้งตัวไม่ทันว่าตนเองจะต้องแต่งงานให้กับชายหนุ่มในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี่เองในตอนนี้หญิงสาวจึงได้ยังคงก้มหน้าเงียบจนเสี่ยวอิงต้องสะกิดเพื่อให้คุณหนูของตนรีบตอบรับราชโองการโดยไว“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี เพคะ”จบคำของหญิงสาวกงกงคนสนิทของฮ่องเต้ก็ยื่นราชโองการสีเหลืองทองมาตรงหน้าของหญิงสาวจากนั้นมือบางจึงได้ยื่นไปรับมาถือไว้พร้อมกับเอ่ยขอบใจกงกงชราตรงหน้า“ลำบากท่านหม่ากงกงแล้วเจ้าค่ะ เสี่ยวอิงเจ้าจงตามไปส่งท่านหม่ากงกงให้ข้าด้วยนะ”ประโยคแรกนั้นหญิงสาวเอ่ยกับกงกงชราตรงหน้าด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลก่อนที่หญิงสาวจะหันไปเอ่ยกำชับกับสาวใช้คนสนิทอีกทั้งยังกำชับให้อีกฝ่ายมอ
ความเงียบยังคงปกคลุมไปทั่วชายป่าที่พวกเขายืนอยู่ หลังจากเอ่ยกับผู้เป็นตาเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้นอวี้หลันจึงได้หันหน้าไปมองยังก็ผิงซานคุนก่อนที่ริมฝีปากบางของนางจะเริ่มเอ่ยวาจาออกมา“นายท่านเผิงกล่าวมาเมื่อครู่นี้ข้าเองก็เห็นด้วยกับพวกท่านนะเจ้าคะ คนทำผิดคิดชั่วย่อมสมควรได้รับโทษทัณฑ์อย่างสาสม แต่ที่ข้าไม่เห็นด้วยก็คงจะเป็นคนที่ต้องโทษคิดกบฏนั้นหาใช่ตระกูลซ่งของข้า แต่เป็นตระกูลเผิงของพวกท่านต่างหากเล่า”“ท่านอย่าได้คิดจะเอ่ยปากแก้ตัวเพราะข้ากับท่านอ๋องนั้นต่างก็เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ที่พวกท่านมาถึงจนพูดคุยตกลงเกี่ยวกับการค้าในครั้งนี้จนไปถึงการส่งมอบสิ่งของพร้อมกับเงินทองเพื่อแลกเปลี่ยนกันแล้วอย่างไรเล่า”“นี่คงจะเพียงพอที่จะเอาผิดพวกท่านได้แล้วกระมัง แล้วไหนจะยังมีหัวหน้านายกองที่รับสินบนทั้งยังทำงานให้กับท่านมิใช่ให้กับฝ่าบาทเพียงเท่านี้ข้าคิดว่าโทษของตระกูลท่านก็คงจะมีหัวไม่พอให้ประหารชดใช้ความผิดแล้วละ”คำพูดของหญิงสาวทุกคำที่เอ่ยออกมานั้นช่างราวกับคมมีดที่กรีดลึกลงไปสุดขั้วหัวใจของคนฟังยิ่งนัก ไหนจะยังสามารถแจกแจงความผ