ร่างบอบบางในชุดสีน้ำเงินเข้มรัดกุม ผมยาวสลวยสีดำขลับถูกรวบขึ้นเป็นหางม้ากลางศีรษะจับยึดเอาไว้ด้วยปิ่นหงส์สีทองอร่ามเพียงชิ้นเดียว ขับให้ใบหน้าขาวผ่องยิ่งดูโดดเด่น ดวงตาหงส์หวานซึ้งที่ทอประกายอ่อนโยนอยู่เป็นนิจ ในวันนี้กลับเปล่งประกายกล้าแกร่งอย่างไม่เคยมาก่อน ช่างงดงามสะกดสายตาของผู้พบเห็น ขาเรียวเยื้องย่างเข้ามาภายในท้องพระโรงอันโออ่าอย่างมั่นคง ดูมั่นใจในตัวเองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน บรรดาขุนนางที่มารวมตัวกันเพื่อหารือถึงสถานการณ์ในตอนนี้ ต่างจ้องมององค์หญิงผู้เป็นยอดดวงใจของคนทั้งแคว้นอย่างตกตะลึง
องค์หญิงซ่งเฟยหย่าผู้งดงามอ่อนหวาน วันนี้มีบางอย่างที่ดูแปลกไป เรียกให้ทุกสายตาต้องหันมองอย่างแปลกใจ แต่สายตาหงส์กลับจับจ้องเพียงร่างบอบบางของสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่มีดวงตาคล้ายคลึงกันกับนางเท่านั้น
"หย่าหยา"
เสียงหวานที่สั่นเครือของฮองเฮาแห่งแคว้นซ่ง ต้วนซือเซียง ใบหน้างามนั้นหม่นเศร้า หันมามองธิดาผู้เป็นที่รัก แต่ในสายพระเนตรนั้นกลับเห็นผู้เป็นบุตรสาวถึงสองคน จนต้องกะพริบตาอีกครั้ง
"เสด็จแม่"
ใบหน้างดงาม ดวงตาหงส์ที่ไม่เคยต้องหลั่งน้ำตามาก่อน กลับมีหยาดน้ำไหลรินออกมาเมื่อเห็นใบหน้าของสตรีผู้เป็นมารดาตรงหน้า กายบางที่โผเข้าหาอ้อมกอดอุ่นที่โหยหามาตลอด โอบกระชับร่างบางของผู้เป็นมารดาที่กอดนางเอาไว้แนบอก
"ไม่เป็นไรนะลูกรัก เจ้าไม่ต้องกลัวสิ่งใด"
ฝ่ามืออุ่นที่ลูบลงบนศีรษะเล็กอย่างต้องการปลอบประโลม แม้ในใจของพระนางเองจะรู้สึกหวาดหวั่นไม่น้อยเช่นกัน แต่ร่างบอบบางในอ้อมแขนที่กำลังสะอื้นไห้ ทำให้พระองค์จำต้องเข้มแข็ง
ส่วนสตรีที่ทุกคนต่างเข้าใจว่าองค์หญิงคนงามคงจะเสียขวัญ กลับโอบกอดร่างของมารดาเอาไว้แน่น อุ่นเหลือเกิน อ้อมกอดนี้ช่างอบอุ่นยิ่งนัก ข้าจะรักษาอ้อมกอดนี้เอาไว้ด้วยชีวิตของข้า
สองร่างที่กำลังโอบกอดกันอยู่นั้นจำต้องผละออกจากกัน เมื่อมีเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากกำลังมุ่งตรงมาที่นี่ ก่อนจะปรากฏบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ผู้เป็นองครักษ์ข้างกายของผู้ครองแคว้นที่ตรงเข้ามาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าสตรีทั้งสอง
"ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ"
"ท่านหัวหน้าองครักษ์เว่ย เกิดอะไรขึ้น"
ต้วนฮองเฮาที่เอ่ยถามขึ้นอย่างหวาดหวั่น เมื่อเห็นบุรุษผู้ที่อยู่ข้างกายผู้เป็นสวามีเป็นดังเงามิเคยออกห่างแม้เพียงก้าว แต่ตอนนี้กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
เว่ยจี้ชวน หัวหน้าองครักษ์ผู้เป็นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของเจ้าผู้ครองแคว้น ต้องจำใจละทิ้งนายเหลือหัว เพราะได้รับมอบหมายจากผู้เป็นใหญ่เจ้าของชีวิตของเขา ให้อารักขาสตรีผู้สูงศักดิ์อันเป็นที่รักของผู้เป็นนายทั้งสองพระองค์ไปยังแคว้นหยวน
"สถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีนัก เชิญทั้งสองพระองค์ไปกับกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ"
ประโยคนั้นขององครักษ์เว่ยสร้างความหวาดหวั่นให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะฮองเฮาของแคว้น
"ไปไหน แล้วเจ้าทิ้งฝ่าบาทมาได้อย่างไรกัน กลับไปเดี๋ยวนี้ เว่ยจี้ชวน"
ต้วนฮองเฮาที่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นระรัว หัวใจบีบรัดจนปวดหน่วง
"เป็นประสงค์ของฝ่าบาท ให้กระหม่อมนำเสด็จทั้งสองพระองค์สู่แคว้นหยวนพ่ะย่ะค่ะ"
ได้ยินประโยคนั้นจากปากของคนสนิทของพระสวามี พระนางพลันเข้าใจสถานการณ์ มือบอบบางนั้นสั่นเทา หลับตาลงอย่างตัดสินใจ
"ท่านองครักษ์เว่ย ท่านจงพาองค์หญิงไปแต่เพียงผู้เดียวเถิด เราจะขออยู่ที่นี่เคียงข้างฝ่าบาท"
"คงจะไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นความต้องการของฝ่าบาทกระหม่อมมิอาจขัดพระประสงค์ได้"
องครักษ์เว่ยแม้จะอยากกลับไปต่อสู้เคียงข้างนายเหนือหัวมากเพียงใด แต่ก็ไม่อาจละทิ้งดวงใจของผู้เป็นนายได้เช่นกัน
"เช่นนั้น ท่านก็จงนำไปแต่ร่างของเราเถิด เรามิอาจละทิ้งพระสวามีให้เดียวดายได้"
ต้วนฮองเฮาที่กล่าวขึ้นอย่างหนักแน่น หากวันนี้พระองค์ต้องตาย ก็ขอตายเคียงข้างบุรุษผู้เป็นที่รัก
จนเกิดเสียงคัดค้านขึ้นจากทุกคนที่ต่างจงรักภักดี ภาพความห่วงใยของทุกคนที่มีต่อนางและพระมารดา ทำให้ซ่งเฟยหย่าอดที่จะตื้นตันใจมิได้ ทุกคนต่างล้วนเต็มใจที่จะปกป้องพวกนางแม้ตัวต้องตาย
"จะไม่มีใครต้องไปไหนทั้งนั้น"
เสียงหวานที่กล่าวขึ้น ทำให้ทุกสายตาต่างหันไปจับจ้องพระพักตร์งดงามขององค์หญิงซ่งเฟยหย่า
นัยน์ตาหงส์ดำขลับที่กวาดตามองไปยังทุกคนที่ต่างหยุดฟังนาง
"เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ทุกท่านได้โปรดฟังข้าสักนิด"
เสียงหวานที่เอื้อนเอ่ยขึ้น พยายามใช้ความสงบเยือกเย็นเอ่ยกับทุกคนที่พยายามปกป้องนางอย่างสุดความสามารถ แม้รูปลักษณ์ของนางตอนนี้จะเป็นเพียงแค่เด็กสาว แต่แววตามุ่งมั่นกล้าแกร่งนั้น กลับสามารถหยุดทุกคนเอาไว้ที่นางได้
"แม้นข้าหนีรอดแล้วอย่างไร หากไร้ซึ่งแผ่นดินและคนที่รัก หากเหลือข้ามีชีวิตรอดอยู่เพียงลำพังอย่างโดดเดี่ยวมิสู้ตายเสียวันนี้ไม่ดีกว่าหรอกหรือ หากต้องเหลือตัวคนเดียวมันทุกข์ทรมานกว่าการตายมากนัก และอีกอย่างพวกท่านจะให้ข้าหนีเอาตัวรอดแล้วทิ้งพวกท่าน ทิ้งประชาชนไปหรือ ข้าทำมิได้"
สิ้นคำกล่าวนั้นทุกสายตาต่างจับจ้องร่างบอบบางอย่างเทิดทูน
"องค์หญิง"
"หย่าหยา"
ต้วนฮองเฮาที่ทอดสายตามองผู้เป็นธิดาอย่างภาคภูมิใจ นางโตแล้วจริงๆ
"ท่านองครักษ์เว่ย เรามีกำลังอยู่ที่นี่เท่าไหร่หรือ"
"เอ่อ ทหารองครักษ์หนึ่งพันนายพ่ะย่ะค่ะและทหารที่ประจำอยู่รอบวังหลวงอีกหนึ่งพันนาย"
"รบกวนท่าน เรียกทหารทั้งหมดมารวมตัวกันหน้าท้องพระโรง แบ่งทหารองครักษ์ฝีมือดีไว้ที่นี่ห้าสิบนาย คัดเลือกผู้ที่เชี่ยวชาญธนูและทหารอีกห้าร้อยนาย ที่เหลือทั้งหมดไปช่วยเสด็จพ่อ"
หากนางจำไม่ผิดยังมีทหารของแคว้นจ้าว ที่นำโดยองค์ชายใหญ่จ้าวฉีหนานผู้นั้น นำกำลังสามร้อยนายดักซุ่มอยู่ในเส้นทางที่พวกนางจะหลบหนีไปยังแคว้นหยวน
เว่ยจี้ชวนที่มองใบหน้างามตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ จึงเอ่ยถามขึ้น
"องค์หญิงจะนำพลธนูไปทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ"
ใบหน้างามที่หยัดยิ้มขึ้นนัยน์ตาหงส์แข็งกร้าวเย็นชาจนองครักษ์หนุ่มสัมผัสได้ถึงอายสังหาร ก่อนมันจะหายไปอย่างรวดเร็ว คงเป็นเขาที่ตาฝาดไปเอง เสียงหวานที่เอื้อนเอ่ยทำให้องครักษ์เว่ยต้องให้ความสนใจร่างบอบบางตรงหน้าอีกครั้ง
"ท่านคงไม่คิดว่าแคว้นจ้าวจะเปิดทางให้เราหลุดรอดออกไปง่ายๆ ข้าคิดว่าคงมีกำลังทหารแคว้นจ้าวที่ซุ่มอยู่ระหว่างทางหลบหนีเป็นแน่ เพราะพวกนั้นก็ต้องคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วว่าเราจะต้องหลบหนีเข้าแคว้นหยวน"
เว่ยจี้ชวนที่มององค์หญิงคนงามอย่างตกตะลึงอีกครั้ง ยอมรับว่าเขาไม่ทันคิดจริงๆ
"ข้าอยากให้ทำทีว่าเราจะหลบหนี ให้หาสตรีมาปลอมตัวเป็นข้าเดินทางไปในขบวน เมื่อศัตรูเปิดเผยตัวก็ให้พลธนูที่ซุ่มอยู่ระดมยิงธนูกำจัดฝ่ายตรงข้ามซะ"
ทุกคนในท้องพระโรงต่างจ้องมองร่างบางอย่างพิจารณาไม่เว้นแม้กระทั่งผู้เป็นมารดาของนาง องค์หญิงผู้มีจิตเมตตาเหตุใดถึงคิดการณ์ได้ถึงเพียงนี้
ผืนดินเขียวชอุ่มสุดลูกหูลูกตา มองไปทางใดก็มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี อากาศบริสุทธิ์ปลอดโปร่งกลิ่นอายธรรมชาติโอบล้อม แผ่นดินที่เคยแตกระแหงแห้งแล้ง บัดนี้ล้วนเต็มไปด้วยสีเขียวของพืชผัก ผลหมากรากไม้พากันเบ่งบานออกดอกผลิผล ฝูงสัตว์เลี้ยงมากมายเดินหากินอยู่ในทุ่งกว้าง ชาวบ้านชาวเมืองล้วนอยู่ดีมีสุขมองไปทางใดล้วนเห็นแต่บรรยากาศอันชื่นมื่น ใบหน้าของทุกคนยามนี้ประดับประดาไปด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี ทุกหัวเมืองถนนหนทาง ร้านรวงต่างๆ ต่างประดับประดาเต็มไปด้วยผ้าแดงมงคล ทุกหนทุกแห่งในแผ่นดินนี้ทุกคนกำลังดื่มฉลอง เพราะวันนี้เป็นวันสำคัญของบุคคลอันเป็นที่รักและเทิดทูนของเหล่าประชาชนแคว้นซ่ง วันที่ทุกคนต่างตั้งตารอคอยและร่วมยินดี วันอภิเษกสมรสที่ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ขององค์หญิงซ่งเฟยหย่าของพวกเขากับชินอ๋องไท่หมิงหลงแห่งแคว้นหยวนที่บัดนี้กลายเป็นรัชทายาทของแคว้นซ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่ามกลางความยินดีของทั้งสองแคว้นเสียงจุดประทัดมงคลดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว ในขณะที่ทุกคนกำลังดื่มฉลองอย่างสนุกสนานและชื่นมื่น คู่บ่าวสาวก็กำลังดื่มด่ำกับความสุขเช่นกัน หลังจากที่ผ่านการกราบไหว้ฟ้าดินอย่างถ
คำตอบที่ออกมาจากริมฝีปากของสตรีตรงหน้า สตรีที่พระองค์มอบหัวใจรักให้กับนางราวกับดังมาจากที่ไกลแสนไกล แต่มันกลับดังก้องอยู่ในหัว อื้ออึงเต็มสองหู จนรู้สึกถึงความเจ็บแปลบในโพรงอก หัวใจมันบีบรัดจนปวดหนึบ ชินอ๋องไท่หมิงหลงที่จ้องมองใบหน้างามตรงหน้าอย่างรวดร้าวในอก จ้องลึกลงไปในดวงตาคู่งามที่พระองค์หลงใหลและหลงรักตั้งแต่ครั้งแรกที่สบสายตา ราวกับจะค้นหาความจริงในนั้น อยากให้คำตอบนั้นนางเพียงแค่ล้อพระองค์เล่น แต่ยิ่งจ้องมองพระองค์ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดเพราะมันมีแต่ความจริงจังอยู่ในนั้น จนวูบโหวงไปทั้งโพรงอก อยากไปให้พ้นจากตรงนี้โดยไว ก่อนที่จะแสดงความอ่อนแอออกมา แต่กว่าจะเปร่งคำพูดออกไปได้ช่างทรมานยิ่งนัก"พี่เข้าใจแล้ว"เสียงแหบโหยที่ดังอย่างโรยแรง ทำให้คนฟังนั้นสะท้านในอกซ่งเฟยหย่าที่มองคนตรงหน้าที่มองนางอย่างเจ็บปวดและผิดหวัง ก่อนจะหันหลังให้นาง แผ่นหลังกว้างลู่ลงดูน่าสงสารและก่อนที่อีกฝ่ายจะก้าวเดินออกไป นางจึงรีบเอ่ยขึ้น"ข้ายังมิได้บอกท่านเลยว่าจะเป็นไท่จื่อเฟยของแคว้นใด"เสียงหวานที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้เท้าหนักอึ้งที่กำลังจะก้าวไปด้านหน้าหยุดชะงัก ทบทวนสิ่งที่นางกล่าวอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะห
หลังจากที่แคว้นซ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำ การปลูกพืชผักต่างๆ จึงเป็นไปได้โดยง่าย ตอนนี้ทุกคนต่างช่วยกันพลิกฟื้นผืนดินที่แห้งแล้ง ขะมักเขม้นปลูกพืชผลทางการเกษตรกันอย่างขยันขันแข็ง และยังช่วยกันปลูกไม้ยืนต้นที่องค์หญิงที่พวกเขาเทิดทูนกล่าวว่า ต่อไปต้นไม้ที่พวกเขาช่วยกันปลูกจะสร้างคุณให้พวกเขาอย่างใหญ่หลวง ซึ่งพวกเขาก็พร้อมที่จะน้อมรับทำตามสิ่งที่พระองค์บอก ขอเพียงแค่พระองค์รับสั่ง พวกเขาก็พร้อมที่จะทำตามบัญชา เมื่อน้ำท่าสมบูรณ์ สิ่งดีดีต่างๆ ย่อมตามมาสถานการณ์ในแคว้นซ่งตอนนี้กำลังเกิดการณ์เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ประชาชนล้วนมีใบหน้าที่เอิบอิ่มแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มแ่งความสุข ภายในแคว้นกลับมาคึกคักอีกครั้ง ความสงบร่มเย็นกลับมาเยือนแผ่นดินซ่ง และดูเหมือนว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”เสียงของคนสนิทที่เอ่ยเรียกทำให้ชินอ๋องไท่หมิงหลงจำต้องละสายตาจากภาพเบื้องล่างของโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งของแคว้นซ่งที่เปิดให้บริการอีกครั้งหลังจากที่ปิดให้บริการมาเนิ่นนาน ภาพอันสวยงามของแผ่นดินซ่ง แผ่นดินของสตรีที่พระองค์ทรงปักใจรัก สตรีที่พระองค์มิเคยพบเจอที่ใดมาก่อน และตอนนี้นางได้เข้ามาครอบครองทั้งหมดในพร
วันนี้มีทหารและชาวบ้านชาวเมืองมากมายที่เดินมุ่งหน้าไปยังภูเขาอันเขียวชอุ่มที่มีเพียงลูกเดียวด้านหลังของแคว้น เพื่อจะไปชมการเปลี่ยนทิศทางการไหลของน้ำขององค์หญิงซ่งเฟยหย่าที่กลายเป็นหัวข้อการสนทนาตลอดหลายวันที่ผ่านมาตั้งแต่มีการขุดลอกคูคลองและสร้างฝายกั้นน้ำ ทุกคนต่างตื่นเต้นที่จะมีน้ำดื่มน้ำใช้ และอยากรู้ว่ามันจะเป็นความจริงและเห็นกับตาตนเอง ว่ามิใช่เป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป ผู้คนที่มามุงดูทั้งหมดถูกกันออกมาให้อยู่ในบริเวณที่ถูกกั้นเอาไว้โดยเหล่าทหาร มิให้เข้าไปในพื้นที่การทำงานเพราะเกรงว่าจะมีอันตรายและกีดขวางการทำงานของทหารที่กำลังขนย้ายถังไม้ที่บรรจุดินระเบิดเอาไว้เหล่าชาวบ้านชาวเมืองที่มามุงดูยาวไปตั้งแต่จุดที่เป็นต้นน้ำที่มองเห็นอยู่ไกลๆ ในระยะสายตา เห็นเหล่าทหารกำลังลำเลียงถังไม้ขึ้นไปอย่างแข็งขัน เลียบไปตลอดแนวตลิ่งของคูคลองที่ถูกขุดขึ้นยาวไปจนถึงสระน้ำขนาดใหญ่ที่ถูกขุดขึ้นใจกลางแปลงเกษตร ต้นน้ำถูกจับจ้องว่าถังเหล่านั้นคือสิ่งใด และจะสามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางของน้ำได้เช่นไร เลียบแนวตลิ่งทุกสายตาต่างจ้องมองอย่างจดจ่อว่าเมื่อไหร่จะมีน้ำไหลมาเติมเต็มผืนดินที่แห้งแล้งนี้ซ่งเฟ
สัมผัสอุ่นละมุนที่ประทับลงมาแผ่วเบาซาบซ่านไปทั่วริมฝีปากอ่อนนุ่ม ความอ่อนโยนนั้นทำให้ดวงตาหงส์หลับพริ้มซึมซับความรู้สึกอ่อนหวานอย่างเต็มใจ ชินอ๋องไท่หมิงหลงที่เห็นว่าสตรีในอ้อมแขนมิได้รังเกียจสัมผัสจากพระองค์ให้รู้สึกยินดียิ่งนัก เจ็บกายคราวนี้ช่างคุ้มค่าเสียจริงที่ทำให้สตรีในอ้อมแขนเปิดใจให้พระองค์ ริมฝีปากหนาที่ผละออกเพียงเล็กน้อยเพื่อสบตากับสตรีตรงหน้าราวกับจะขออนุญาต เมื่อเห็นว่านางไม่กล่าวอันใดและมิได้มีท่าทีโกรธเคืองมีเพียงพวงแก้มนวลที่แดงก่ำอย่างเขินอาย เวลานางเขินอายก็ดูน่าเอ็นดูยิ่งนัก จึงยกยิ้มละมุน ก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปอีกครั้ง ครั้งนี้จุมพิตนั้นช่างอ่อนหวานลึกซึ้งจนสองกายที่โอบกอดกันอยู่นั้นสั่นสะท้าน เรียวลิ้นอุ่นนุ่มที่สอดแทรกเข้ามาชิมความหวานในอุ้งปากเล็กนั้นให้ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ทำให้ร่างบางรู้สึกวาบหวิวตอบรับสัมผัสจากร่างหนาอย่างน่ารักน่าใคร่ จนจุมพิตอ่อนหวานในคราแรกเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเร่าร้อนปรารถนา"โอ๊ย...!"ร่างสูงที่ผละออกจากร่างบางร้องเสียงหลง สาเหตุเพราะแผลของพระองค์ถูกกดอย่างแรงจากคนตัวเล็กในอ้อมแขน"สมน้ำหน้า ได้คืบจะเอาศอก ฉวยโอกาสดีนัก""เจ็บ..."ใบหน
ภาพของสตรีที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากด้านหน้าเรือนของผู้เป็นนายทำให้ลู่จิ่นยกยิ้มขึ้น เดินเข้าไปหาสตรีสูงศักดิ์ที่วันนี้ไม่ได้มาในคราบคุณชายหนุ่มรูปงาม แต่วันนี้ทรงสวมอาภรณ์งดงามเฉกเช่นสตรีแลดูอ่อนหวานจนเหล่าบุปผารอบกายนั้นพร้อมใจกันเบ่งบานชูช่อดูมีชีวิตชีวาไปด้วย "คารวะองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ"ลู่จิ่นที่ค้อมกายให้สตรีตรงหน้าอย่างนอบน้อมฮะแฮ่ม"ท่านลู่จิ่นอย่าได้มากพิธีเลย ท่านอ๋องเป็นเช่นไรบ้าง"ซ่งเฟยหย่าที่กระแอมไอเล็กน้อยเอ่ยถามอีกฝ่าย ใบหน้างามนั้นดูรู้สึกผิดกับเรื่องในคืนนั้น วันนี้จึงทำให้นางต้องมาเยือนที่เรือนรับรองแห่งนี้ตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อคิดได้ว่านางกลั่นแกล้งอีกฝ่ายมากเกินไป ทั้งๆ ที่พระองค์อุตส่าห์ไปช่วยเหลือนางแท้ๆ"ดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ"เมื่อได้รับคำตอบจากอีกฝ่าย จึงได้เบาใจขึ้น"เอ่อ แล้วนั่นท่านกำลังจะไปที่ใดหรือ""กระหม่อมจะไปตามท่านหมอมาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะเปลี่ยนให้ก็ไม่ยอมท่าเดียว บอกว่ากระหม่อมมือหนัก"ลู่จิ่นที่เอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มขัน ดูเหมือนท่านอ๋องจะผวาไม่น้อยกับรอยแผลบนแผ่นหลังนั้นเพราะโดนฤทธิ์เดชขององค์หญิงคนงามตรงหน้า"อ้อเช่นนั้น