LOGINภายในเรือนหอมบุปผา อวี้หนิงที่กำลังอ่านคำร้องที่ท่านน้าของตนให้มาในครานั้น กลับต้องถูกขัดจังหวะจากเสี่ยวเหม่ยที่เข้ามาในห้องอุ่นด้วยท่าทีร้อนรน
“คุณหนู เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ เจ้ากรมคลังบีบบังคับนายท่านให้ส่งคุณหนูแต่งเข้าจวนฉินอ๋องแทน”
อวี้หนิงที่ได้ยินเช่นนั้นกลับไม่ได้แปลกใจมากนัก นางเพียงปรายตามองสาวใช้เบื้องหน้าที่ใทั้งตื่นกลัว ทั้งแค้นเคืองในเวลาเดียวกัน
“ท่านพ่อจะกล้าขัดราชโองการหรือ”
“ไม่ใช่นายท่านเจ้าค่ะ แต่จะเป็นคุณหนูต่างหากเล่า” เสี่ยวเหม่ยรีบเอ่ยด้วยความร้อนใจ
อวี้หนิงรู้สึกแปลกใจ ก่อนจะนึกถึงคำพูดของหลินซือเหยียนในครานั้น
“หรือพวกเขาจะให้ข้าทูลขอต่อฮ่องเต้ให้ได้เป็นพระชายาฉินอ๋องแทนเช่นนั้นหรือ” คิ้วเรียวขมวดแน่น
เสี่ยวเหม่ยรีบพยักหน้าแทนคำตอบ
“ครานี้หลินอี้เหนียงคงลงแรงไปไม่น้อยเลย” ตั้งแต่วันที่เจินหยูรับราชโองการ นางเองคาดคิดไว้อยู่แล้วว่าหลินซือเหยียนต้องคิดใช้นางให้แต่งแทนบุตรีของตนแน่ แต่บิดาของนางไม่เห็นด้วย เช่นนั้นแล้วที่พึ่งเดียวของอนุหลินก็คือตระกูลหลิน
“คุณหนู เหตุใดยังใจเย็นอยู่ได้เล่าเจ้าคะ” เป็นเสี่ยวเหม่ยที่ร้อนรนราวเป็นเรื่องของตน
“ร้อนใจแล้วทำอันใดได้เล่า แล้วท่านพ่อว่าอย่างไรหรือไม่” หากบิดาของนางไม่เห็นด้วย ก็ใช่ว่าตระกูลหลินจะทำอันใดได้
เสี่ยวเหม่ยมีสีหน้าเป็นกังวล
“นายท่านไม่ได้โต้แย้งหรือรับคำ แต่มีสีหน้ากลัดกลุ้มไม่น้อยเจ้าค่ะ”
ครานี้อวี้หนิงเองก็กังวลไม่ต่างกัน บิดาของนางรักตัวกลัวตาย หากโดนตระกูลหลินข่มขู่ เขาคงไม่ปกป้องนางแน่ หากจะให้บิดาหลุดพ้นจากเงื้อมมือของตระกูลอนุได้ คงจะมีแต่การที่นางต้องแต่งให้ตระกูลที่มีอำนาจมากกว่าตระกูลหลินเท่านั้น ในใจของอวี้หนิงยังรอคำตอบของหลี่เยว่ซิงอยู่ทุกวัน
รุ่งเช้า จวนตระกูลซูก็ต้องต้อนรับแขกอีกครั้ง ครานี้เป็นฉู่อ๋องที่มาเยือนด้วยตนเอง
อวี้หนิงถูกตามให้มาพบที่เรือนรับรอง เมื่อนางก้าวเข้าไปในห้องโถง บิดากับผู้เป็นย่านั่งรออยู่ก่อนแล้ว แววตาของคนทั้งสองที่มองมายังนางแฝงความอ่อนโยน ต่างจากหนึ่งเดือนที่ผ่านมานับจากที่เกิดเรื่องกับตระกูลเหริน นางได้เพียงสายตารังเกียจ หยามเหยียด ดูแคลนจากบิดาและผู้เป็นย่าเท่านั้น
“หนิงเอ๋อร์ รีบคารวะท่านอ๋องเร็วเข้า” แม้แต่คำเรียกน่าเอ็นดูเช่นนี้ก็ยังออกจากปากของท่านย่าได้ นั่นหมายความว่าพวกเขาหวังให้นางได้แต่งเป็นพระชายาฉู่อ๋องในเร็ววัน
อวี้หนิงหันไปหาบุรุษหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของบิดา ก่อนจะยอบกายเคารพเขา
“หนิงเอ๋อร์คารวะฉู่อ๋อง”
หลี่เยว่ซิงเห็นเช่นนั้น รีบเอ่ยบอกนางให้ลุกขึ้น
“หนิงเอ๋อร์ เจ้าลุกขึ้นเถอะ” น้ำเสียงที่ร่างสูงเอ่ยออกมากลับดูเหนื่อยล้าจนอวี้หนิงเป็นกังวล นางเงยหน้ามองบุรุษเบื้องหน้า ใบหน้าคมคายของเขาดูซีดเผือดเล็กน้อย ดวงตาคมเข้มเปล่งประกายแห่งความว้าวุ่น คิ้วดกขมวดเข้าหากันแน่นจนเกิดรอยพับกลางหน้าผาก ริมฝีปากที่เคยสงบนิ่งกลับเม้มแน่น เผยให้เห็นความตึงเครียดภายใน มือข้างหนึ่งกำชายเสื้อจนยับย่น มองเห็นท่าทีลังเลและร้อนรนอย่างชัดเจน
อวี้หนิงเดินไปยืนอยู่ข้างบิดา ก่อนที่ซูจิ้งซวนจะเอ่ยถามผู้มาเยือน
“ท่านอ๋องมาเยือนจวนของกระหม่อมมีเหตุอันใดหรือไม่”
เยว่ซิงมีแววตาลังเล หันไปจ้องมองสตรีที่ยืนอยู่ข้างกายบิดา ดวงตาคู่งามที่จ้องมองมาด้วยความหวังยิ่งทำให้เขาปวดใจ เขาตัดใจหันมามองบุรุษเจ้าของเรือนก่อนเอ่ยบอกจุดประสงค์
“ข้ามาเพื่อสู่ขอหนิงเอ๋อร์”
คำพูดของฉู่อ๋องทำให้จิ้งซวนและฮูหยินผู้เฒ่ามีสีหน้าดีใจอย่างชัดเจน มีเพียงอวี้หนิงที่สังเกตเห็นความกังวลในดวงตาของเขา นางจึงไม่กล้าดีใจเร็วนัก
ฮูหยินเฒ่ายิ้มกว้าง ทว่าก็ยังต้องการให้เป็นไปตามธรรมเนียม หญิงชรากวาดตามองหาแม่สื่อในการทำหน้าที่ครั้งนี้
“ฉู่อ๋อง แล้วแม่สื่อที่จะทาบทามหนิงเอ๋อร์ของเราเล่าเพคะ”
“ฮูหยินเฒ่า โปรดอย่าใจร้อน วันนี้ข้ามาบอกไว้ก่อน หากพวกท่านยินดี วันพรุ่งแม่สื่อจะมาพร้อมเถ้าแก่นำสินสอดมามอบให้ตระกูลซู”
ซูจือเหลียงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งดีใจ ตระกูลซูของนางจะได้ไม่ต้องถูกตระกูลหลินข่มเหงอีกต่อไป ทว่าจิ้งซวนที่เป็นถึงขุนนางขั้นสามกลับมองว่าวิธีการของฉู่อ๋องช่างเร่งรีบและไม่เป็นไปตามประเพณี
“ทูลท่านอ๋อง การแต่งพระชายาควรให้ฮ่องเต้ออกราชโองการ แล้วค่อยจัดงานมงคล เหตุใดสินสอดทองหมั้นจึงต้องมาพร้อมแม่สื่อเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
ฮูหยินเฒ่าที่ได้ยินบุตรชายเอ่ยเช่นนั้นก็เห็นด้วย คราวของเจินหยู ราชโองการก็มาก่อนงานมงคลถึงครึ่งเดือน ทว่าฉู่อ๋องกลับดูเร่งรีบเกินควร
ฉู่อ๋องที่เห็นเช่นนั้น ใบหน้าคมก็ยิ่งมีความทุกข์ใจปรากฏมากขึ้น ดวงตาสีนิลจ้องมองอวี้หนิง เขาเห็นความหวาดกลัวในดวงตาคู่งามอยู่หลายส่วน นั่นยิ่งทำให้ตัวเขาเจ็บปวด เพราะครั้งนี้เป็นเขาที่ต้องทำให้นางผิดหวัง
“ใต้เท้าซู ด้วยคดีของตระกูลเหริน กุ้ยเฟยเสด็จแม่ของข้าจึงไม่ยินดีให้ข้ายกอวี้หนิงเป็นพระชายาเอก”
สิ้นคำพูดนี้ เยว่ซิงก็ไม่อาจหันไปมองนางอันเป็นที่รักได้อีก
อวี้หนิงที่ได้ยินเช่นนั้น ภายในก็เจ็บปวดอยู่มาก หากแต่ก็ยังอยากฟังคำอธิบายของฉู่อ๋อง
ซูจิ้งซวนกับมารดามีสีหน้าไม่พอใจนัก แต่ก็ยังอดข่มความขุ่นเคืองไว้ได้ ก่อนจะเป็นจิ้งซวนที่เอ่ยถามคนเบื้องหน้า
“แล้วท่านอ๋องจะให้บุตรีของกระหม่อมแต่งเข้าจวนอ๋องในตำแหน่งใด พระชายารอง หรือพ่ะย่ะค่ะ”
เยว่ซิงกำหมัดทั้งสองข้างไว้แน่น ก่อนเอ่ยกับรองเจ้ากรมโยธาอย่างชัดเจน
“ข้าจะให้อวี้หนิงเข้าจวนอ๋องในฐานะสาวใช้ห้องบรรทม”
สิ้นคำพูดของฉู่อ๋อง อวี้หนิงคล้ายถูกอัสนีบาตฟาดลงกลางดวงใจ นางแทบไร้เรี่ยวแรงที่จะหยัดยืน แววตาแตกสลายจ้องมองบุรุษที่นางมอบหัวใจให้
ซูจิ้งซวนเองเดือดดาลจนไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้อีก ก่อนจะตบพนักวางแขนอย่างแรง พร้อมลุกขึ้นยืน
“ฉู่อ๋อง! ท่านจะดูแคลนตระกูลซูเกินไปหรือไม่ ถึงตระกูลกระหม่อมจะเป็นเพียงขุนนางใหม่ ไม่มีอำนาจในราชสำนัก แต่ก็ถูกตั้งให้เป็นถึงขุนนางขั้นสามของฮ่องเต้ จะให้บุตรีคนโตที่เป็นทายาทสายตรงไปเป็นนางกำนัลอุ่นเตียงของท่าน ไร้ซึ่งตำแหน่ง ไร้ซึ่งฐานะในจวนอ๋องเช่นนี้ ไม่เหยียดหยามกันเกินไปหรืออย่างไร!”
เยว่ซิงได้ยินเช่นนั้น ก็รีบลุกขึ้นอธิบาย
“ใต้เท้าซูใจเย็นก่อน ใช่ว่าข้าจะให้นางอยู่เป็นนางกำนัลอุ่นเตียงตลอดไป เมื่ออาการประชวรเสด็จแม่ดีขึ้น ข้าจะให้อวี้หนิงได้รับใช้พระนางใกล้ชิด ข้าเชื่อว่าความถ่อมตน อ่อนหวานของหนิงเอ๋อร์ จะทำให้เสด็จแม่กลับมาเมตตานางอีกครั้งเช่นในอดีต ตอนนั้นข้าจะขอตำแหน่งพระชายาให้กับนางแน่”
อวี้หนิงยืนฟังบุรุษเบื้องหน้าแก้ต่างกับตัวเอง ใจนางยิ่งเจ็บปวด เขาไม่ได้สัญญาด้วยซ้ำว่านางจะได้เป็นพระชายาของเขาหรือไม่ เขาไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าจะปกป้องนางอย่างไร ทุกอย่างคือเป็นนางต้องคอยรับใช้มารดาของเขา หากกุ้ยเฟยเมตตานาง นางถึงจะอยู่รอดเช่นนั้นหรือ แววตาที่จ้องมองฉู่อ๋องพลันเปลี่ยนไป จากคาดหวังกลายเป็นผิดหวัง จากห่วงหากลายเป็นตัดพ้อ จากความห่วงใยกลายเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ
จิ้งซวนเองไม่ได้พอใจกับคำพูดของฉู่อ๋องเพียงนิด
“ท่านอ๋อง โปรดกลับไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคงไม่อาจยกนางให้เป็นนางกำนัลของฉู่อ๋องได้”
“แต่ท่านก็จะยกนางให้เป็นอนุของพวกตาเฒ่าในเมืองฉางเล่อไม่ใช่หรือไร คนพวกนั้นจะปกป้องบุตรสาวให้ท่านได้หรือ มีแต่นางจะถูกเหยียบย่ำให้เป็นทุกข์เท่านั้น หรือว่าใต้เท้าซูจะให้อวี้หนิงขัดราชโองการแต่งกับฉินอ๋องที่เสียสติกัน เช่นนั้นนางก็คงถูกหัวเราะเยาะไปจนตาย”
อวี้หนิงหันกลับไปมองฉู่อ๋องอีกครั้ง พลางยิ้มขมให้กับตัวเอง หลี่เยว่ซิงรู้ความเคลื่อนไหวในจวนซูทั้งหมด แต่ก็ยังปล่อยให้นางเป็นทุกข์อยู่แรมเดือน แม้แต่เรื่องที่นางจะต้องตายเช่นการขัดราชโองการเขาก็ล่วงรู้ ทว่าบุรุษที่นางรักกลับไม่ได้ต่อสู้เพื่อนางอย่างที่เคยให้คำมั่น
“ใต้เท้าซู ในเมื่อไม่ได้เมตตาต่ออวี้หนิง เช่นนั้นก็ให้นางเลือกทางเดินของนางเองไม่ดีกว่าหรือ ว่านางยินดีไปกับข้าหรือไม่” ฉู่อ๋องมีสีหน้าเยือกเย็น ดูไม่อ่อนน้อมเช่นเมื่อครู่
“หม่อมฉันไม่ยินดีเพคะ” น้ำเสียงหวานปนเศร้าเอ่ย พลางจ้องมองบุรุษเบื้องหน้า
หลี่เยว่ซิงนิ่งงันกับคำตอบของนาง แววตาเหลือจะเชื่อ หันไปมองสตรีเบื้องหน้า เขาพบเพียงความผิดหวังในดวงตาคู่งาม พลันภายในใจก็เจ็บปวดแทบหายใจไม่ออก
“หนิงเอ๋อร์ เจ้าฟังข้าก่อน ข้า...”
“หม่อมฉันเข้าใจความหมายของฉู่อ๋องเพคะ แต่หม่อมฉันไม่อาจจะทำหน้าที่นางกำนัลอุ่นเตียงให้ฉู่อ๋องได้ แลไม่มีความสามารถที่จะทำให้กุ้ยเฟยหันมาเมตตาหม่อมฉันได้ เช่นนั้นขอท่านอ๋องอย่าทรงบีบคั้น” นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าถึงแม้นางยอมทำตามเขา แต่กุ้ยเฟยที่ไม่ยินดีเกี่ยวดองกับตระกูลนักโทษย่อมไม่มีวันเมตตานาง เพราะตั้งแต่ต้นจนจบความเมตตาที่นางได้จากหลินกุ้ยเฟย นั้นเป็นเพราะตระกูลเหรินที่ยังเรืองอำนาจในราชสำนักอยู่ ซูอวี้หนิงไม่มีอันใดที่ต้องสนทนากับคนเบื้องหน้าต่อ นางจึงยอบกายให้เขา ก่อนจะหมุนกายออกจากโถงเรือนไป
“หนิงเอ๋อร์!” หลี่เยว่ซิงอยากจะรั้งนาง แต่กลับไม่มีความกล้าพอ เขาไม่รู้ว่าจะปลอบใจนางอย่างไรไม่ให้แค้นเคืองเขาด้วยซ้ำ
หลี่หยางเฉิงพาชายาของตนและบุตรชายกลับจวนแม่ทัพ ตอนนี้เขาไม่คิดรีบร้อนกลับฉางเล่อแล้ว เพียงแค่ซูอวี้หนิงและลูกชายอยู่ที่ใด เขาย่อมเลือกที่นั่น หลี่หยางอี้ที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางสิบวันผล็อยหลับในอ้อมกอดของบิดา หยางเฉิงจ้องมองใบหน้าน้อย ๆ นั้นอย่างรักใคร่ เช่นเดียวกับซูอวี้หนิงที่นั่งจ้องมองสองพ่อลูกด้วยแววตาอ่อนโยน รถม้าหยุดลงหน้าจวน หยางเฉิงอุ้มเด็กน้อยวางลงบนเตียงในเรือนรับรองอย่างแผ่วเบา ก่อนจะนั่งมองลูกชายอยู่พักใหญ่ “ฮูหยินช่างใจร้ายนัก ปิดบังข้าได้ตั้งสามปี ไม่สงสารข้าบ้างเลยหรือ” บุรุษตัวสูงเงยหน้าขึ้นมองชายาด้วยแววตาเสียใจ อวี้หนิงเห็นแล้วก็เสียใจไม่น้อย “หม่อมฉันผิดต่อท่านอ๋องเองเพคะ เพราะเกรงท่านอ๋องจะละทิ้งทุกอย่างแล้วกลับมาหาหม่อมฉันและลูก หากเป็นเช่นนั้นชาวต้าหยางอีกสักเท่าไหร่จะต้องทนทุกข์” หยางเฉิงลุกขึ้นกอดร่างบางไว้แน่น ก่อนจะร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้น “รู้หรือไม่ข้ากลัวมากเพียงใด กลัวเจ้าจะไม่รอข้า กลัวข้าจะไม่ได้กลับไปพบเจ้า กลัวจะทิ้งเจ้าไว้เพียงผู้เดียว”
หยางเฉิงรีบส่ายหน้าปฏิเสธโดยเร็ว ในใจเขายินดียิ่งกว่าอะไร เหตุใดจะกล้าตำหนินางได้เล่า “ไม่เลย ข้าดีใจที่ฮูหยินขัดคำสั่งข้าครั้งนี้” หยางเฉิงเอ่ยพลางจุมพิตบนหน้าผากบาง “ท่านแม่” เสียงเด็กน้อยที่งัวเงียตื่นดังขึ้นภายในรถม้า ทำให้หลี่หยางเฉิงชะงักงัน นี่เขาหูฝาดหรือ “เสียงเด็กที่ไหนกัน” หยางเฉิงคลายอ้อมกอด พลางหันไปทางรถม้า อวี้หนิงยิ้มบาง ก่อนเรียกคนที่อยู่ในรถม้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อี้เอ๋อร์ ลงมาหาแม่เร็วเข้า” ฉินอ๋องยิ่งตกใจเมื่อนางแทนตัวเองว่าแม่ ทว่ายังไม่ทันให้เขาถามอันใด เด็กน้อยตัวขาว ใบหน้าหล่อเหลาตั้งแต่เด็กก็ปรากฏตัวขึ้น ก่อนที่จะเป็นอวี้หนิงจะอุ้มเขาลงจากรถม้า “ท่านอ๋อง เป็นอันใดหรือไม่เพคะ” นางมั่นใจว่าบัดนี้ฉินอ๋องตัวแข็งทื่อและไม่ได้หายใจด้วยซ้ำ “นี่คือใครกัน” มือของหยางเฉิงสั่นเทา ชี้มายังเด็กชายตรงหน้า น้ำเสียงนั้นก็หาความมั่นคงไม่ได้ “ลูกอย่างไรเล่าเพคะ” “ลูกหรือ! นี่หนิงเอ๋อร์เจ้า… เจ้าแต่งงานใหม่หรือ เหตุใ
หลังหลี่หยางเฉิงจากไป เหรินฮูหยินที่รู้จากเสี่ยวเหม่ยว่าหลานสาวตั้งครรภ์ จึงรีบมารับตัวไปอยู่ด้วยกันที่ตระกูลเหริน ฮูหยินเฒ่าทั้งร้องไห้ทั้งตำหนิหลานสาวที่ไม่ยอมบอกเรื่องตั้งครรภ์กับฉินอ๋อง แต่เก็บซ่อนไว้เพียงผู้เดียว แม้นางมีเหตุผลเพราะเกรงฉินอ๋องจะห่วงหน้าพะวงหลัง แต่กระนั้นควรให้เขาได้ดีใจไม่ใช่หรือ ทว่าซูอวี้หนิงก็ยืนกรานอย่างเด็ดขาด ว่าหากสงครามยังไม่จบสิ้นห้ามบอกเรื่องนี้กับท่านอ๋อง แม้แต่คนของเขาอู่ถงเองก็ไม่อาจขัดคำสั่งนางได้ เรื่องนี้จึงถูกเก็บเงียบไม่ให้คนอยู่ไกลได้เป็นห่วง วันเวลาค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไป พร้อมกับความห่วงหาของอวี้หนิงที่มีต่อสามีที่ก่อตัวขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนนางแทบทนรอไม่ได้ แม้ข่าวของเขาจะถูกเจียงเฟิงควบม้าเร็วมาบอกทุกเดือน ด้วยหลี่หยางเฉิงไม่ไว้ใจผู้ใด หากข่าวนั้นไม่ได้ส่งต่อจากเจียงเฟิงก็ห้ามให้นางเชื่อเป็นอันขาด เช่นนั้นนางจึงเฝ้ารอเจียงเฟิงอยู่ทุกเดือน แม้จะมีกู้เผยอี้เทียวพาพี่สะใภ้ของตนแวะเวียนมาพูดคุยอยู่แทบทุกวัน กระนั้นก็ไม่อาจคลายเหงาให้นางลงได้ “พระชายา ยายว่าเจ้าบอกท่านอ๋องดีหรือไม่ บัดนี้อี้เอ๋อร์ก็ครบหนึ่งป
ซูอวี้หนิงแม้แปลกใจในคำพูดของคนเบื้องหน้า แต่กระนั้นนางยังพยักหน้าเห็นด้วย “ดีเพคะ แต่ท่านอ๋องทำได้หรือ” หลี่หยางเฉิงยิ้มอบอุ่นให้กับนาง “เพียงเจ้าต้องการ ข้าทำได้ทั้งสิ้น” เอ่ยจบก็จุมพิตลงบนหน้าผากเนียน โดยไม่สนสายตาบุรุษทั้งสามที่จับจ้องอยู่ จนคนแอบรักอย่างหย่งเฉินจำต้องหันมองไปทางอื่น ก่อนที่ฉินอ๋องจะจูงมือชายาของตนกลับมา “ข้าจะกลับฉางเล่อไปพร้อมท่าน” คำพูดของหลี่หยางทำให้อวี้หนิงประหลาดใจ แต่ไม่ใช่กับหลี่หวงหยูและเว่ยหย่งเฉินที่คาดเดาคำตอบเอาไว้แล้ว “หึ! เป็นแผนของเจ้าสินะ” เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคู่แข่งหัวใจ หลี่หยางเฉิงก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “กระหม่อมเพียงอยากให้ต้าหยางสงบสุข เฉกเช่นพระชายาฉินอ๋องต้องการพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยหย่งเฉินไม่ปฏิเสธ เป็นเขาที่ต้องการให้เหล่าสตรีพวกนี้มาพบซูอวี้หนิง เพราะคนจิตใจบริสุทธิ์เช่นนางย่อมไม่ปรารถนาให้เกิดสงคราม และคนที่ตามใจภรรยาแทบจะถวายชีวิตให้อย่างฉินอ๋องย่อมไม่มีวันปล่อยให้นางทุกข์ใจเป็นแน่ จากนั้นเขากับไท่จื่อก็เพียงนำค
หลี่หยางเฉิงมีหรือจะไม่รู้ว่าตอนนี้นางกลัวสิ่งใด จึงรีบกุมมือนางไว้แน่น “ฮูหยิน ข้าไม่ได้คิดจะหลอกเจ้า เพียงแต่การที่ตัวข้าต้องอยู่อย่างหวาดกลัวมาสิบสองปี ต้องระวังไม่ให้ถูกสังหารอยู่ทุกวัน ทำให้ข้าไม่อาจเชื่อใจผู้ใดได้ หากเรื่องเกิดกับข้าก็แล้วไป แต่หากเกี่ยวกับเจ้าเล่า เรื่องนี้ข้าทนไม่ได้ เขาชิงหนิงนี้จึงมีคนของข้าคอยคุ้มอยู่นับพัน เจ้าอย่าเคืองข้าได้หรือไม่” หยางเฉิงเอ่ยด้วยสายตาอ้อนวอน เมื่อรู้เช่นนี้นางถึงเข้าใจอย่างกระจ่างว่าเหตุใดคนที่นี่จึงดูสุภาพกับนางนัก ทั้งพ่อค้า แม่ค้า ชาวเมือง บางทีก็ลอบสังเกตนางอยู่หลายครั้ง “กระนั้นท่านอ๋องก็คิดปิดบังหม่อมฉันไม่ใช่หรือ” “ข้า...” หยางเฉิงอยากจะอธิบายทว่ากลับคิดคำอธิบายไม่ได้ ที่นางเอ่ยมาไม่ผิด จะด้วยเหตุผลใดเขาก็คิดปิดบังนางจริง “หนิงเอ๋อร์ ข้าทำผิดอีกแล้ว ช่วยอภัยให้ข้าได้หรือไม่” บุรุษที่องอาจบัดนี้มีท่าทีราวกับเจ้า ชิงชิง แมวขาวขนปุยที่กำลังขอความเมตตาจากเจ้านาย อวี้หนิงไม่ได้ขุ่นเคืองเขา เพียงแต่นางไม่เห็นความจำเป็นใดที่ต้องปิดบังนาง
เวลาเพียงหนึ่งเดือน ทัพตระกูลเหรินต้องเร่งเดินทางไปสมทบกับแม่ทัพเหิงหมิงฮ่าว แม้ครั้งนี้แม่ทัพใหญ่จะให้กองทัพตระกูลมู่โยกทหารในมือที่ปกป้องแคว้นฝั่งเทียนไห่ ที่บัดนี้สงบมาหลายปี ช่วยตระกูลเหรินทำศึกกับต้าเหลียง ถือเป็นการเลือกหนุนไท่จื่อองค์ใหม่อย่างชัดเจน ทว่าครั้งนี้อ๋องต้าเหลียงที่ซุ่มศึกษาต้าหยางนานหลายปี ไม่คิดจะรามือโดยง่าย การศึกยืดเยื้อและมีทีท่าว่าจะขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ราษฎรไม่น้อยต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ หนีตายเดินทางเข้าเมืองหลวง ทุกย่อมหญ้าบัดนี้มีแต่ความระทมทุกข์ ทว่ากลับไม่ใช่ที่เขาชิงหนิง ที่มีชาวบ้านอาศัยอยู่ไม่น้อย ทว่าที่นี่กลับสงบสุขไร้ความวุ่นวาย เรือนหลังใหญ่ที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่บัดนี้อบอวลไปด้วยความรัก หลี่หยางเฉิงถือโอกาสที่ราชสำนักวุ่นวาย กังวลเรื่องการศึก พาซูอวี้หนิงย้ายออกมาอยู่ตามลำพัง อย่างที่นางปรารถนามาช้านาน ในที่นี้พวกเขากลับเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ไม่มีผู้รู้ที่มาของพวกเขา ชาวบ้านต่างคาดเดาว่าเป็นคหบดีในเมือง อยากใช้ชีวิตเรียบง่ายตามป่าเขาก็เท่านั้น ซูอวี้หนิงแม้เป็นห่วงคนตระกูลเหริน ทว่าก็ไม่อาจขัดใจฉิ







