ช่วงสายของวัน วันนี้เป็นวันหยุดพอดี คุณพัฒน์เลยตื่นสายได้ แต่เขาก็ต้องตื่นเร็วกว่าที่คิดเอาไว้ เพราะไอร้อนจากคนข้างกาย ที่แพร่มาถึงตัวเขา ทำให้เขาไม่อาจหลับต่อได้
“คือโตฮ้อนคักแท้” (ทำไมตัวร้อนจัง) เสียงอุทานออกมาเป็นภาษาบ้านเกิดทันที เมื่อมือหนาแตะลงที่หน้าผากมนของหญิงสาว
คุณพัฒน์รีบดีดตัวลุกขึ้น หาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้แก่หญิงสาว แล้วจึงต่อสายหาใครบางคน และช่วยวานในสิ่งที่เขาต้องการมาให้ทันที เพราะไม่อยากปล่อยเธอไว้ที่นี่คนเดียว
“สิไปไส มื้อนี้หยุดบ่แม่นติ” (จะไปไหน วันนี้หยุดไม่ใช่หรือ) ชญานุชถามน้องชายขึ้นมาทันที เมื่อเห็นอีกฝ่ายเตรียมตัวที่จะออกไปข้างนอก ทั้งที่วันนี้เป็นวันหยุด
“ไปซื้อของให้บักเกื้อ” (ไปซื้อของให้ไอ้เกื้อ) ชนาวุฒิตอบพี่สาวออกไปตามตรง
“เกื้อ...ซื้ออีหยัง?” (เกื้อ...ซื้ออะไร?)
“ยา” เสียงเรียบตอบพี่สาวออกไป
“เกื้อเป็นหยัง คือต้องไปซื้อยา” (เกื้อเป็นอะไร ทำไมต้องซื้อยา) ชญานุชถามน้องชายออกไปด้วยความเป็นกังวล เมื่อน้องชายบอกออกมาแบบนั้น เพราะเธอเองก็รักและเอ็นดูคุณพัฒน์ดุจน้องชายคนหนึ่ง
“เดี๋ยวกลับมาเว้าสู่ฟัง ข่อยไปก่อนเด้อเอื้อย เดี๋ยวบักเกื้อสิด่าเอา” (เดี๋ยวกลับมาเล่าให้ฟัง ผมไปก่อนน่ะพี่ เดี๋ยวไอ้เกื้อจะด่าเอา) ชนาวุฒิไม่ได้ตอบรายละเอียดอะไรพี่สาว เพราะเขาเองก็ทราบมาแค่นี้เช่นกัน ไว้กลับมาจะอธิบายให้ฟังทีหลัง แต่ตอนนี้เขาต้องรีบไปแล้ว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ซ้า” (ช้า) เปิดประตูออกไปแต่ไม่ได้เปิดออกกว้างเกรงว่าเพื่อนจะเห็นคนด้านใน พร้อมกับเสียงต่อว่าเพื่อนทันที โทษฐานที่มาช้า แม้จะอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่นัก เพราะเป็นห่วงคนที่นอนซมกับพิษไข้
“บักห่า! กูกะฟ้าวได้ส่ำนี้ล่ะ ว่าแต่มึงให้กูซื้อยาซื้อโจ๊กมาให้ มึงกะปกติดี” (ไอ้ห่า! กูก็รีบได้เท่านี้ล่ะ ว่าแต่มึงให้กูซื้อยาซื้อโจ๊กมาให้ มึงก็ปกติดี) ชนาวุฒิถามออกไปด้วยความสงสัย เพราะดูท่าทีของเพื่อนแล้ว ไม่เห็นจะเป็นอะไรมาก ยังคงยืนด่าเขาได้ปกติดี
“เอ่อ...บ่แม่นกู แต่เป็น...” (เอ่อ...ไม่ใช่กู แต่เป็น...) คุณพัฒน์อ้ำอึ้ง เพราะไม่รู้ว่าจะบอกเพื่อนเช่นไรดี และไม่กล้าบอกด้วยว่าเขานั้นพาใครมานอนด้วย เพราะกลัวจะถูกเพื่อนแซว
“กูเข้าไปได้บ่?” (กูเข้าไปได้ไหม?) เสียงเรียบพร้อมกับใบหน้านิ่งถามขึ้น เมื่อเห็นท่าทีเป็นกังวลของคุณพัฒน์
“บ่ได้ มีคนนอนอยู่” (ไม่ได้ มีคนนอนอยู่) คุณพัฒน์รีบปฏิเสธทันควัน และพยายามที่จะดันประตูเอาไว้ เพราะกลัวเพื่อนจะเห็นคนที่นอนอยู่บนที่นอนด้านใน
“มึงพาไผมานอนนำ” (มึงพาใครมานอนด้วย) ชนาวุฒิถามออกไปทันที เมื่อเห็นท่าทีร้อนรนของเพื่อนที่แสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด เขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเพื่อนมีพิรุธ มีอะไรปิดบังเขาอยู่ คงจะมีเรื่องเดียวแหล่ะ ที่คนอย่างคุณพัฒน์ไม่กล้าเล่าบอก เพราะทุกเรื่องพวกเขาแทบจะไม่มีอะไรปิดบังกันเลย
“...” เขานิ่งเงียบ เมื่อโดนชนาวุฒิจับได้ ว่าเขานั้นซุกซ้อนใครเอาไว้ แต่เขาจะให้มันเข้าไปยังไง ก็ห้องเขาไม่มีผนังกั้นห้องนอน และหญิงสาวที่นอนหลับอยู่ ร่างกายก็ไม่ได้มีเสื้อผ้าใส่สมบูรณ์ เพราะเธอป่วยอยู่ และใส่เสื้อปผ้าของเขา เขาไม่อยากให้เพื่อนเห็นเธอในสภาพนั้น
“หรือว่าสิเป็น...” คิ้วขมวดนึกคิด แต่เขาก็พอจะทราบแล้วแหละว่าคนในนั้นคือใคร เพียงแต่อยากให้เจ้าตัวบอกกับเขาเอง
“มุก” เสียงเอ่ยบอกเพื่อนอย่างแผ่วเบาราวกับกระซิบ
“บักเกื้อ!” ชนาวุฒิเบิกตาโตทันที ที่ได้ยินชื่อที่เพื่อนบอกว่าคนในนั้นคือใคร เขาทราบอยู่แล้วว่าเพื่อนมีใจให้เธอ แต่ไม่คิดว่าทั้งคู่จะไวไฟขนาดนี้ ทั้งที่ดูภายนอกจะเป็นเงียบ ๆ ทั้งคู่
ชนาวุฒิมองหน้าเขาด้วยความเป็นกังวล เพราะรู้ว่าสถานะที่แท้จริงของทั้งคู่นั้นต่างกันอย่างลี่ลับ คนหนึ่งเป็นดอกฟ้าลูกคุณหนู ส่วนเพื่อนเขาคือหมาวัดที่ไม่มีอะไรเลย
“เออน่า มึงกลับไปก่อนส่า มื้อนี้บ่คอยสะดวก เดี๋ยวมื้อหลังกูสิแวะไปหามึงเอง ขอบใจหลายเด้อ สำหรับยากับโจ๊ก ทั้งหมดนี้จักบาท” (เออน่า มึงกลับไปก่อนเถอะ วันนี้ไม่ค่อยสะดวก เดี๋ยววันหลังกูจะแวะไปหามึงเอง ขอบใจมากน่ะ สำหรับยาและโจ๊ก ทั้งหมดเท่าไหร่) คุณพัฒน์เองก็บอกเพื่อนออกไปไม่ให้เป็นห่วงตน เพราะเขาก็พอจะทราบ และยอมรับชะตากรรมที่จะเกิดขึ้นเอาไว้แล้ว ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรแบบนี้ลงไป
“กูบ่เอาดอก แต่กูขอให้มึงโชคดี หวังว่าพ่อเขาสิเข้าใจ และยอมรับมึงเป็นลูกเขยน่ะ” (กูไม่เอาหรอก แต่กูขอให้มึงโชคดี หวังว่าพ่อเขาจะเข้าใจ และยอมรับมึงเป็นลูกเขยน่ะ)
ชนาวุฒิรีบปฏิเสธ และอวยเพื่อนในเพื่อน ก่อนที่จะกลับไปทันที เพราะไม่อยากอยู่รบกวนเพื่อน และเพื่อนก็คงไม่อยากให้เขาอยู่เป็นส่วนเกินด้วย
เมื่อชนาวุฒิกลับไปแล้ว เขาก็กลับเข้ามาดูคนที่คงยังนอนป่วยอยู่บนที่นอน มือหนาลูบศีรษะและแก้มนวลสีแดงระเรื่อของเธออย่างอ่อนโยน
“อื้อออ” เสียงอู้อี้ของคนที่นอนป่วยดังออกมาทันที เมื่อถูกรบกวน แต่ก็ยังไม่ยอมลืมตาขึ้นมาสักที
“มุกลุกขึ้นมากินข้าวกินยาก่อนครับ จะได้หายป่วย” เสียงนุ่มเอ่ยบอก และพยายามปลุกเธอขึ้นมา
“มุกไม่หิว พี่เกื้อทานไปเลยค่ะ” เธอรีบปฏิเสธ แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมศีรษะทันที
“ถ้ามุกไม่ยอมลุกขึ้นมาดี ๆ พี่จะทำแบบเมื่อคืนอีกนะครับ” เขาพูดพร้อมกับคร่อมทับร่างเธอทันที แล้วดึงผ้าห่มที่เธอดึงไปคลุมลงมา พร้อมกับมองเอด้วยสายตาที่เจ้าเล่ห์ขู่เธอ
“อื้อ...ไม่ได้ค่ะ มุกยังเจ็บ” เธอรีบดันตัวเขาไว้ทันที เมื่อเขาเริ่มซุกไซ้เธอ
“ถ้าอย่างนั้น ก็ลุกขึ้นมากินข้าวครับ จะได้กินยา” เสียงนุ่มกระซิบบอกเธออีกครั้ง
และคราวนี้เธอจึงยอมลุกขึ้นมาอย่างว่าง่าย เพราะกลัวว่าเขาจะทำเช่นนั้นอีกครั้ง โดยที่มีเขาเป็นคนป้อนให้เธอเองกับมือ
จำใจยอมมื้อค่ำสุดพิเศษจบลง มุกดารินทร์ก็ยังคงเอาแต่นั่งชะเง้ออยู่ที่ห้องโถงไม่ยอมขึ้นห้องไปพักผ่อน จนปราโมทย์ที่นั่งอยู่ด้วยถอนหายใจยาว ก่อนที่จะเอ่ยสั่งเด็กสาวรับใช้ที่เป็นหลานสาวของพิไล“ไปตามเกื้อกูลมาที่นี่หน่อย” ปราโมทย์ที่ทนเห็นลูกสาวเป็นแบบนี้ไม่ได้ จึงสั่งให้แม่บ้านไปตามคุณพัฒน์เข้ามาที่บ้านหลังใหญ่ทีนที“ค่ะ คุณท่าน”สักพักคุณพัฒน์ก็เดินเข้ามาถึง เจอกับปราโมทย์นั่งวางมาดขรึมอยู่ที่โซฟาจ้องมองมาที่เขาอย่างเอาเรื่อง แต่เขาทำใจฮึดสู้ยกมือขึ้นไหว้อย่างยอบน้อม โดยที่จะไม่เอ่ยถามอะไรว่าท่านให้คนไปตามทำไมกัน“พามุกดาขึ้นไปนอน นี้ก็ดึกมากแล้วไม่รู้จักหน้าที่เอาเสียเลย” พูดเพียงแค่นั้น ปราโมทย์ก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินเดินผ่านหน้าชายหนุ่มขึ้นไปชั้นบนของบ้านทันที เพราะเขาเองก็ง่วงเต็มทนจนตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อ“ทำไมถึงไม่ยอมขึ้นนอนล่ะครับ หืมมม” คุณพัฒน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเมื่อเดินเข้าไปหาหญิงสาว และใช้มือโอบรอบเอวพาเธอเดินขึ้นไปด้านบน“มุกไม่อยากนอนคนเดียวค่ะ มันหงุดหงิดทำให้มุกนอนไม่หลับ” เอ่ยบอกเขาพร้อมกับทำหน้ายู่ราวกับเด็กใส่เขาทันทีดูสิขนาดเธอกำลังจะกลายเป็นแม่คนแล้ว แต
มื้อค่ำสุดพิเศษตกเย็นคุณพัฒน์ที่ผล็อยหลับไปตามหญิงสาวนั้น ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาเย็น แล้วช้อนเอาร่างเล็กของว่าที่คุณแม่ที่ยังคงหลับสนิทอยู่ขึ้นอย่างทะนุถนอมไปวางที่เตียงกว้างให้เธอได้นอนสบาย ก่อนที่จะออกจากห้องของเธอไป เพื่อที่จะไปซื้อของมาทำอาหารมื้อเย็นให้ตามที่่รับปากเธอเอาไว้“จะไปไหน?” เสียงเข้มของปราโมทย์ถามขึ้นมา เมื่อเขากำลังเดินออกจากบ้านไปที่โรงจอดรถ ที่มีมอเตอร์ไซค์เขาจอดอยู่ด้วยปราโมทย์รู้ว่าชายหนุ่มจะออกไปไหน เพราะได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มพูดกับลูกสาวทุกประโยคเมื่อตอนกลางวัน แต่แค่อยากถามกวนเฉย ๆ“จะออกไปตลาดครับ” คุณพัฒน์ตอบออกไปตามตรง เพราะอาศัยอยู่ที่บ้านท่าน ก็ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังอยู่แล้ว ดีแค่ไหนแล้วที่ท่านยอมให้เขามาอยู่ใกล้กับลูกสาวท่าน“ไปสภาพนี้?” ใบหน้านิ่งขรึมมองสำรวจชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จึงได้แต่เลิกคิ้วถามคุณพัฒน์นั้นสวมเพียงแค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขายาวธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีสิ่งของราคาแพงอะไรประดับติดตัว แต่ก็ดูดีใบแบบของชายหนุ่มเอง“คือ...” เขาได้แต่ก้มหน้าถ่อมตนไม่กล้าสบตาของปราโมทย์ เพราะสภาพตัวเองที่ไม่มีอะไรคู่ควรกับลูกสาวท่านเลย“เ
อยากหนีไปจากตรงนี้คุณพัฒน์ที่กำลังทำงานสวนอยู่หลังบ้าน ถูกตามตัวให้มาพบกับเจ้าของบ้าน จึงต้องยอมละทิ้งทุกอย่างไว้ แล้วเดินเข้ามาในบ้านใหญ่ทันทีคุณพัฒน์ได้รับอนุญาตจากปราโมทย์ให้พักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้ โดยพักอยู่ที่บ้านพักของคนงานแทน มีหน้าที่ดูแลรับใช้มุกดารินทร์ในฐานะพ่อของลูกเท่านั้น และจนกว่าที่มุกดารินทร์จะคลอดแต่คุณพัฒน์จะไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปชั้นบนของบ้านหลังใหญ่ และให้อยู่กับมุกดารินทร์ได้ เพราะปราโมทย์ต้องการดูพฤติกรรม ว่ามีความอดทนมากแค่ไหนและปราโมทย์ก็ให้เขาออกจากงานทันที ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องขึ้นในวันนั้น ให้มาอยู่ที่บ้านของเขาแทน ส่วนพงษ์พิพัฒน์และธนภัทรจึงยอมให้คุณพัฒน์ทำตามที่ปราโมทย์ขอ เพราะมีทางเดียวที่คุณพัฒน์จะได้อยู่ใกล้ลูกเมีย และเป็นการพิสูจน์ตัวเองด้วยคุณพัฒน์เดินเข้ามาภายในห้องโถงของบ้าน เห็นปราโมทย์นั่งกอดอกอยู่บนโซฟามองมาที่ตน ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรกลับไป ทำเพียงแค่ยกมือขึ้นไหว้เท่านั้น“ตามป้าไลขึ้นไปข้างบน แล้วทำยังไงก็ได้ให้มุกดายอมกินข้าว เป็นผัวเมียภาษาอะไร เมียไม่กินข้าว ก็ไม่ยอมดูแล...” ใบหน้านิ่งขรึมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง เมื่อคุณพัฒน์มาถึ
ไม่ได้เกิดมาเพียบพร้อมสามวันต่อมาบ้านภัทรไชยาธนภัทรกับบิดาของตนรีบมาหามุกดารินทร์ที่บ้าน หลังจากที่ทำธุระที่ต่างจังหวัดเสร็จก็มุ่งหน้ามาบ้านของหญิงสาวเลยทันทีที่ทราบข่าวว่าเกิดอะไรขึ้น“คุณอาอย่าบังคับน้องให้ไปเอาเด็กออกเลยนะครับ เด็กไม่ได้รู้อะไรด้วยเลย น้องจะเสียใจมากแค่ไหน ที่ทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง แล้วคนที่จะเป็นทุกข์ไม่ใช่แค่มุกดา แต่อาโมทย์เองก็จะรู้สึกผิดไปด้วย...” ธนภัทรร้องขอขึ้นมาทันที ที่รู้ว่าปราโมทย์กำลังจะทำอะไรกับลูกสาว“...” ทุกคนเงียบลงไม่มีใครพูดอะไรออกมาสายตาหันมองไปยังหญิงสาวและชายหนุ่ม ที่หน้าตาบูดซ้ำ เพราะการถูกซ้อมปางตายจากลูกน้องของปราโมทย์ แล้วหันกลับมาเอ่ยกับเจ้าของบ้านต่อ...“ถือว่าเห็นแก่เด็กที่กำลังจะเกิดมา ซึ่งก็คือหลานแท้ ๆ ของอาเอง พ่อเขาก็มีทำไมอาต้องอยากให้ลูกสาวตัวเองทำร้ายอีกหนึ่งชีวิตเพื่ออนาคตด้วยครับ คลอดแล้วค่อยกลับไปเรียนก็ได้”“...” ปราโมทย์ไม่เอ่ยตอบอะไร เมื่อธนภัทรเอ่ยออกมาเช่นนี้“เกื้อกูลก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร น้องออกจะเป็นคนดีคนขยันทำมาหากินคนหนึ่ง เพียงแต่เกิดมากับครอบครัวที่ไม่เพียบพร้อมเหมือนกับพวกเรา แต่ไม่ใช่ว่าวันข้างหน้
ไม่เจียมตัวเอาเสียเลยก๊อก ก๊อก ก๊อก“มีอะไร” เสียงเข้มถามออกไป เมื่อวิศรุตผุนผันเข้ามาหาเขาที่ห้องแบบไม่ได้รอให้คนด้านในอนุญาตเสียก่อนทุกสายตาที่อยู่ในห้องนี้ด้วย ต่างก็หันจ้องมองมาที่วิศรุตเป็นตาเดียวอย่างรอฟังคำตอบ ชายหนุ่มหากได้สนใจไม่ กลับเดินเข้าไปหาปราโมทย์ทันที เพราะมีเรื่องด่วนกว่า“คุณหนูมุกเป็นลมครับ” เสียงกระซิบเอ่ยบอกเบา ๆ เพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน“อะไรน่ะ!!! เป็นลม? แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน” แต่ปราโมทย์ เมื่อได้ยินว่าลูกสาวสุดที่รักเป็นอะไร กลับเก็บอาการไม่อยู่ ตวาดถามเสียงดังขึ้นมาทันที โดยไม่สนใจว่าในที่นี่จะมีใครได้ยินบ้าง เพราะเป็นห่วงลูกสาวจนไม่สามารถควบคุมอะไรได้“อยู่ข้างล่างครับ” วิศรุตเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งปราโมทย์ไม่ได้สนใจทุกสายตาที่มองมาที่ตน รีบสาวเท้าเดินออกไปจากตรงนี้ ลงมายังจุดที่วิศรุตแจ้งว่าลูกสาวอยู่ที่ไหนและก็เจอกับคุณพัฒน์กำลังอุ้มลูกสาวตนเดินไปทางห้องพยาบาลพอดี จึงได้แต่เดินตามไปแต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรชายหนุ่มออกไปคุณพัฒน์วางมุกดารินทร์ลงที่เตียงในห้องพยาบาลอย่างเบามือ และก็ออกมารออยู่ห่าง ๆ ให้หมอที่ถูกเรียกตัวมาจากโรงพยาบาลตรวจดูอาการหมอที
เอาอะไรไปสู้เขาวิศรุตได้แต่ชำเลืองมองคุณพัฒน์ที่เดินสวนกันอย่างรู้สึกเห็นใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเขาเองก็ต้องทำตามหน้าที่เหมือนกัน“ให้คนของเราไปจัดการเลยไหมครับ” ถามผู้มีพระคุณที่นั่งหน้าขรึมขึ้นมาทันที ที่เขาเดินเข้ามาภายในห้อง“ไม่ต้อง รอดูไปก่อน ถ้ามันขัดคำสั่งเมื่อไหร่ ค่อยจัดการทีเดียว”ปราโมทย์รีบปราม แล้วนั่งทำงานต่ออยู่ภายในห้องอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้สนใจอะไรต่อ แต่สมองก็สั่งการให้เขาอดคิดเรื่องของลูกสาวกับชายหนุ่มที่เขาเรียกมาตักเตือนไม่ได้อยู่ดี“มีหยัง...เว้าบอกกูได้เด้อ เผื่อมึงสิสบายใจขึ้น” (มีอะไร...เล่าให้กูฟังได้น่ะ เผื่อมึงจะสบายใจขึ้น) ชนาวุฒิถามเพื่อนขึ้นมาทันที ที่เห็นคุณพัฒน์เดินกลับเข้ามาทำงานด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก“มันจบลงแล้วล่ะ เฮ็ดงานต่อเถาะอย่าสนใจเรื่องของกูเลย” (มันจบลงแล้วแหล่ะ ทำงานต่อเถอะอย่าสนใจเรื่องของกูเลย) สั่งเรียบเอ่ยบอกเพื่อน แต่ใบหน้าก็ยังแสดงความทุกข์ออกมาอยู่ดี“มักลูกสาวเขาเฮากะสู้ตัวเกื้อ” (รักลูกสาวเขาเราก้ต้องสู้สิเกื้อ)“กูบ่มีอีหยังไปสู้เขาได้ดอก มึงกะเห็น” (กูไม่มีอะไรไปสู้เขาหรอก มึงก็เห็น) พูดตัดพ้อตัวเองขึ้นมาทันท