LOGINแสงตะวันเบิกฟ้าเสียดแทงหมู่เมฆาลงมาจนเบื้องล่างนภาสว่างจ้าไปทั่ว เหล่าสกุณาขับขานร้องรับกันดังไกลเป็นทอดๆ
บนเตียงนอนกว้างใหญ่ภายในห้องหอที่เกิดเหตุการณ์ร้อนแรงเมื่อยามค่ำคืน บัดนี้คงเหลือเพียงความยับเยินให้ได้เห็น
เหอหย่งหมิงลืมตาตื่นขึ้นมาก่อนอีกฝ่ายที่ยังคงนอนหลับใหลในสภาพเปลือยเปล่า
ร่างสง่าที่ไร้อาภรณ์เช่นกันค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งเพื่อดึงสติของตนเองให้กลับมา
สายตาคมปลาบเหลือบไปมองคนข้างกายกัน เห็นนางยังคงหลับตาพริ้มไร้วี่แววว่าจะตื่นขึ้นมา
เนื้อตัวขาวผ่องนวลเนียนของนางบัดนี้มีแต่ริ้วรอยเป็นจ้ำเต็มไปหมด เนื้อนุ่มอิ่มน้ำหลายจุดมีรอยฟันขบกัด
ไม่ไกลกันมีร่องรอยของผ้าปูเตียงที่ยับย่น อันเกิดจากการพัวพันระหว่างเขากับนาง ทั้งยังมีคราบเลือดสีแดงฉานเป็นด่างเป็นดวงปะปนกับคราบน้ำขาวขุ่นไปทั่ว กลิ่นคาวคละคลุ้งตลบอบอวลไปทั้งห้อง
ชายหนุ่มจำได้ดี ว่าเขาเข้าหอกับนางได้ร้อนเร่าปานใด และร้อนแรงแค่ไหน
เดิมทีเขามิใช่บุรุษหยาบช้าหรือเป็นชายกักขฬะ ที่ทำการร่วมรักกับสตรีรุนแรงเช่นนี้
และยิ่งไม่เคยเสียการควบคุมตัวตนเลยสักครา
แต่ทว่าเมื่อคืน เขากลับเกิดอาการกระสันจนเกินยับยั้ง ทั้งยังหลุดการควบคุมอารมณ์กำหนัดของตนเองได้ถึงเพียงนั้น
นั่นย่อมมีเหตุผลเดียวก็คือ เขาถูกวางยา
สายตาคมเข้มมองสตรีบนเตียงอุ่นอย่างนึกขัดเคืองในใจขึ้นมาอีกครั้ง
จะเป็นผู้ใดไปได้ หากมิใช่ฝีมือของลี่เหยาถิง!
นางคงสั่งบ่าวไพร่ของนางลอบวางยาเขาในจอกสุราระหว่างงานเลี้ยง มิเช่นนั้น เมื่อคืนยามที่เขาปลอบใจเพ่ยจี เขาจะกล้าล่วงเกินนางบนตั่งยาวในเรือนนั้นได้อย่างไร?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าเปื้อนน้ำตาของคนรักก็ผุดเข้ามาในโสตประสาท เสียงห้ามปรามแว่วหวานก็ดังเข้ามาในห้วงคำนึง
‘หย่งหมิง ท่านจะทำอะไร ไม่นะ...ท่านไม่ควรทำอย่างนี้’
เมื่อคืนบนตั่งนั่น เพ่ยจีพยายามห้ามปรามเขาแล้ว หากแต่ท่าทางอ่อนหวานของนางยิ่งทำให้เขาไม่อาจห้ามใจในแบบที่ไม่เคยเป็น
กระทั่งนางมารผู้เป็นเจ้าสาวของเขาเข้าไปขัดขวาง
ชั่วขณะที่สติของเขาเริ่มพร่าเลือน ก็ได้วาจาร้ายกาจของนางมารตนนี้ช่วยกระตุ้น
‘คืนนี้เป็นคืนเข้าหอของข้ากับท่าน คนที่มีสิทธิ์ร่วมเตียงกับท่านมีเพียงข้า เพราะท่านคือคนของข้า เหอหย่งหมิงคือคนของลี่เหยาถิงผู้เดียว’
เหอหย่งหมิงขมวดคิ้วเคร่งเครียด สีหน้าขรึมลงกว่าเดิม เขาขบกรามแน่น ข่มอารมณ์เดือดพล่านที่กำลังปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
เขาหลงกลนางจนย่อยยับน่าอับอาย ชายชาตินักรบเช่นเขาต้องพลาดท่าเสียทีให้กับสตรีร้ายกาจอย่างลี่เหยาถิง
ทั้งๆ ที่เขาเห็นสิ้นทุกอย่างที่นางกระทำ แต่กลับทำอะไรมิได้นอกจากรับผลของมัน
แล้วอย่างนี้เขาจะมองหน้าเพ่ยจีได้อย่างไร!
‘หย่งหมิง ข้ารักท่าน และจะรักท่านเพียงคนเดียว ชั่วชีวิตนี้ข้าคงไม่อาจรักใครได้อีกแล้ว’
‘สัญญากับข้า...ว่าท่านจะมีข้าเพียงคนเดียว’
‘ท่านสัญญาแล้วนะ ข้าดีใจเหลือเกิน’
‘ข้ารักท่าน หย่งหมิง...’
น้ำเสียงอ่อนหวาน กิริยาอ่อนโยน แววตาจริงใจ มือเล็กนุ่มนิ่มที่เอื้อมมาจับมือกันอย่างรอคอยคำตอบด้วยความหวังของหญิงคนรักลอยเข้ามาในโสตประสาทไม่ขาดสาย
เหอหย่งหมิงค่อยๆ หลับตาลงอย่างอ่อนแรง รู้สึกว่าตัวเขานี้มันช่างน่าขันเสียจริง
นำลูกน้องออกรบมาไม่รู้กี่ครา กำชัยการศึกมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่กลับต้องหมดท่ากับเรื่องอิสตรีเช่นนี้
ร่างสูงให้รู้สึกหมดความภาคภูมิในตนเองยิ่งนัก มิคาดว่าเรื่องราวความรักชายหญิงจักทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยสิ้นแรงต่อกรถึงเพียงนี้
เดิมทีเขาก็มิบุรุษที่ใคร่จะใส่ใจเรื่องประโลมโลกพวกนี้เลยสักนิด ความอ่อนโยนถนอมบุปผาหรือความคิดลึกซึ้งอันใดเกี่ยวกับสตรีก็ไม่มี
ในเมื่อเขาเติบโตมาท่ามกลางสนามรบ บิดาก็เอาแต่สู้ศึกจนตัวตายเพื่อมารดาของเขาที่ตายไปจะได้ภาคภูมิใจ
เกิดเป็นบุรุษล้วนแล้วแต่ต้องมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ ต่อให้ไม่ปรารถนาต่อลาภยศ หากแต่ก็ยังคาดหวังว่าตนเองจะสร้างคุณงามความดี มีชื่อเสียงเกริกก้องเชิดชูผู้ให้กำเนิด
แต่ดูเถิดว่าบุตรชายของท่านพ่อกับท่านแม่กลับทำเรื่องให้ต้องขายหน้า
มีคนรักก็ไม่อาจรักษาคำพูดได้ จำต้องแต่งงานกับสตรีเจ้าเล่ห์มากแผนการ ซ้ำถูกวางยาจนหมดแล้วซึ่งศักดิ์ศรี
เหอหย่งหมิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะหรี่ตามองอย่างเย็นชาไปยังสตรีร่างเปลือยที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ข้างๆ ใบหน้าหล่อเหลาเย็นเยียบเรียบตึง
ในใจให้นึกดูแคลนลี่เหยาถิงเหลือจะกล่าว
มีสตรีดีๆ ที่ใดใช้ตัวแลกเช่นนี้กัน!
ร่างสูงผุดลุกขึ้นจากเตียงนอนทันที แล้วพาเรือนกายเปล่าเปลือยไปใส่เสื้อผ้าที่ตกเกลื่อนบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจว่าจะเรียบร้อยหรือไม่ ก่อนจะเดินออกจากห้องหอไปอย่างไม่ไยดี ทิ้งเอาไว้เพียงสตรีไร้อาภรณ์ให้นอนฝันหวานเพียงลำพัง
หลังจากผ่านค่ำคืนร่ำลาด้วยสุราหลายไหยามเช้าย่ำรุ่งผ่านเข้ามาจึงถึงเวลาเอ่ยคำลาที่แท้จริงท่านหมอซุนยังคงเอ่ยสำทับอีก หากว่ามาเยี่ยมเยือนกันคราวหน้า ให้มีลูกเล็กมาด้วยจึงจะดีลี่เหยาถิงได้ฟังก็หน้าแดงหูแดงก้มหน้ารับคำพึมพำ ในขณะที่เหอหย่งหมิงสบประสานสายตากับท่านหมอแน่วนิ่งด้วยความหมายที่รู้กันเฉพาะพวกเขาว่าท่านหมอบำรุงนางอยู่สองปีเพื่อการนี้…เนื่องจากลี่เหยาถิงเคยตกเลือดจนอวัยวะภายในช้ำหนัก การมีลูกอีกคราเกรงว่าจะยากนัก ท่านหมอจึงปรุงยาบำรุงให้นางมาโดยตลอด และยังมอบให้เหอหย่งหมิงทั้งหมด จากนี้ความสามารถเรื่องทายาทก็เป็นหน้าที่ของคนเป็นสามีแล้วเหอหย่งหมิงพาลี่เหยาถิงเดินทางออกมาจากหมู่บ้านซื่อเจี้ยนจวงมาถึงเมืองหลวงในหลายวันถัดมาชายหนุ่มตัดสินใจพาหญิงสาวเข้าเฝ้าฮ่องเต้ซึ่งนับได้ว่าเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่เจี้ยนหยางฉีฮ่องเต้ทรงแปลกพระทัยเป็นอย่างมาก ที่เหอหย่งหมิงยังไม่ตายยิ่งกว่านั้น หลานสาวของพระองค์ก็ยังมีชีวิตอยู่สวรรค์!แล้วศพเหล่านั้นคืออันใด?ดวงพระเนตรหรี่มองตลอดเวลาอย่างไม่อยากเชื่อถือว่าจะเป็นไปได้ “โชคดีเหลือเกินที่เรายังมิได้เรียกคืนจวนแม่ทัพแล้วส่งต่อ
ผ่านไปอีกสองวันสองคืน ในที่สุดการแข่งขันก็รู้ผลผู้ชนะสูงสุดของการประลองคือเหอหย่งหมิงที่สามารถกำชัยคว้าตำแหน่งเจ้าสำนักเหอเสียงคนใหม่เอาไว้ได้ตามประสงค์หลังงานเลี้ยงแต่งตั้งเจ้าสำนักจบลง เหอหย่งหมิงที่ใช้นามว่าฉางยวนก็ใช้เวลาเพียงไม่นาน ในการจัดการสำนักให้อยู่ในที่ในทางเหอหย่งหมิงที่เป็นถึงแม่ทัพดูแลทหารในอาณัติแห่งราชสำนักนับสิบหมื่น จึงมิใช่เรื่องยากหากฉางยวนจะดูแลสมุนในอาณัติของเหอเสียง เปลี่ยนรูปแบบของเหอเสียงแห่งโจรป่าเป็นสำนักคุ้มภัยในใต้หล้าเรื่องนี้ชายหนุ่มได้รับวาจาเห็นชอบจากเจ้าแห่งยุทธภพที่ควบคุมเหนือพิภพด้วยตนเอง จึงง่ายดายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือยามบ่ายฟ้าใสไร้เมฆบดบังแสงตะวันพาให้สายลมอุ่นร้อนโชยผ่านผืนป่าเขียวขจีระลอกแล้วระลอกเล่าจากเดือนหนึ่งล่วงเลยไปอีกเดือนหนึ่งเดือนแล้วเดือนเล่า ในที่สุดท่านหมอเทวดาก็เดินทางกลับมาจากหาสมุนไพรในป่าใหญ่เหนือหุบเขายอดเมฆาท่านหมอผู้นี้มีนามว่า ซุนผินเขาเป็นชายวัยกลางคน รักสันโดษแต่ชอบช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ด้วยวิชาแพทย์ที่มีเหนือสามัญหากเปรียบเป็นนักพรต เขาย่อมเป็นนักพรตที่ตบะสูง หากเปรียบเป็นชาวยุทธ์ คงไม่แคล้วเป็นรองเพียงเจ้ายุทธภพ
ท้องฟ้าแจ่มใสหมู่เมฆเคลื่อนหายเหล่านกกาบินขับขาน ยามใดที่มีเทศกาลในหมู่บ้าน ทั้งสี่คนก็มักจะจับจูงมือกันเป็นคู่ๆ ไปเที่ยวชมงานวันนี้ก็เช่นกัน หมู่บ้านซื่อเจี้ยนจวง กำลังมีงานครื้นเครงเป็นอย่างมาก เนื่องจากสำนักเหอเสียงแห่งยุทธภพกำลังขาดผู้นำสูงสุด เพราะเจ้าสำนักคนเก่าหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย เจ้าสำนักคนใหม่นามว่าเฉิงอู่ก็ครองตำแหน่งได้เพียงสามวันพลันจบชีวิตลงอย่างปริศนา อีกทั้งสำนักเหอเสียงแห่งเดิมก็โดนถล่มจนพินาศย่อยยับไม่เหลือซาก ต่อมาเจ้ายุทธภพที่ควบคุมทุกสำนักในใต้หล้าจึงได้ก่อตั้งสำนักเหอเสียงขึ้นมาใหม่ให้อยู่ในอาณาเขตหมู่บ้านแห่งนี้ เพื่อเป็นเกียรติอดีตจอมกระบี่อันดับหนึ่งของแคว้นและจัดงานประชันผู้กล้าขึ้นมา เพื่อคัดเลือกนายเหนือหัวแห่งเหอเสียงคนใหม่ เพื่อเป็นหลักให้ลูกสมุนที่ไร้หัวเหลือแต่หางงานนี้เซียนเซียนจึงส่งเหวินเต๋อร์เข้าประลอง เผื่อว่าจะได้นั่งในตำแหน่งนายหญิงของเจ้าสำนักเหอเสียงแต่ทว่า...หญิงสาวได้หลงลืมไป ว่าสามีตนมิใช่ยอดฝีมือ งานนี้จึงได้เห็นสามีพ่ายแพ้ยับเยิน เซียนเซียนจึงได้แต่ปลอบใจ ว่าไม่เป็นไร ที่บ้านใกล้หมอและมียา หากเหวินเต๋อร์ตายไปก็จะหาสามีใหม่เ
นางกล่าวเสียงเข้มแม้พวงแก้มจะแดงก่ำไปทั่วถึงลำคอเหอหย่งหมิงได้แต่เหม่อมองริมฝีปากนาง ด้วยดวงตาทอประกายร้อนแรงแห่งเพลิงปรารถนากระทั่งถูกฝ่ามือเล็กเอื้อมมาปิดตานั่นล่ะ เขาถึงได้สติกลับมาจากการถูกปีศาจราคะครอบงำ เห็นคนงามส่งค้อนวงใหญ่ใบหน้างอง้ำ จึงตีท่าทางเคร่งขรึมนั่งนิ่งให้นางทายากว่าจะได้กินข้าว ก็หยอกเย้ากันในห้องครัวจนไฟแทบลุกเผาไหม้เครื่องเรือนอยู่เป็นนานหลังมื้ออาหารตามด้วยดื่มยาจนหมดเทียบตามคำสั่งเฉียบขาดของภรรยา เหอหย่งหมิงจึงได้เอ่ยคำอีกครั้ง“เราควรกลับบ้านกันได้แล้ว ข้าจะพาเจ้าเข้าเฝ้าฝ่าบาท”ลี่เหยาถิงพยักหน้าเห็นด้วย ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้นางไม่คิดจะกลับไป แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน นางมีสามีพากลับบ้าน ย่อมแตกต่างจากการที่นางรอนแรมกลับไปเพียงลำพัง“รอท่านหมอกลับมาจากหาสมุนไพรก่อนเถิด แล้วเราค่อยลาท่านจากไปพร้อมกัน”หญิงสาวกล่าวเสียงนุ่ม ชายหนุ่มยกยิ้มตอบรับ“ย่อมเป็นเช่นนั้น ท่านหมอเป็นผู้มีพระคุณต่อเราสอง ท่านช่วยชีวิตเจ้าและข้าเอาไว้”เหอหย่งหมิงพอจะจำได้เลือนราง ว่ายามที่เขาตกหน้าผาลงมา มีท่านหมอวัยกลางคนผู้หนึ่งช่วยต่อลมหายใจให้เขาย่างเข้าเดือนสี่ อากาศร้อนกำลังดีเซียนเ
เสียงหายใจหอบกระชั้นสั่นระรัวดังผสานกรุ่นกลิ่นอายวสันต์ เร่าร้อนตลบอบอวลกายแนบกาย ใจชิดใกล้ไม่คิดห่างหายแม้เสี้ยวเวลาเดียว…ถึงแม้เหอหย่งหมิงยังคงนึกหวาดหวั่นว่านางจะจำได้ขึ้นมา ว่าเขาได้ทำพลาดมากมายปานใดแต่ทว่า...ขอเพียงแค่ได้นางคืนมา ได้ยื้อเวลาเพื่อให้นางไม่จากไปไหน จะให้เขาทำอะไร เขายอมทั้งนั้นหวังเพียงอยากเป็นอยู่อย่างนี้ ที่มีนางให้รักต่อไป ยืดเวลาให้เขาได้พิสูจน์หัวใจต่อนางได้อีกครา ก่อนที่วันหนึ่งความทรงจำนางจักกลับมา แล้วเกลียดเขาวันนั้นอาจจะเป็นวันที่สองเราเชื่อมกายใจผูกพันลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณ ยากถอนคืนเขาหวังแค่เท่านั้น มีนางเป็นดวงใจตลอดกาล...ยามรุ่งเช้าเข้าวันใหม่ แสงแดดสาดส่องทอประกายไปทั่วใต้นภาในครัวหลังน้อยมีกลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยวนไปทั่วในอากาศผสมผสานกลิ่นยาขมฝาดแสบจมูก ที่ตั่งตรงโต๊ะในครัวมีสามีภรรยาดูแลเอาใจใส่กันและกันไม่ห่าง“สามีข้า นอกจากงามสง่า ยังกร้าวแกร่งยิ่งนัก”เสียงกังวานของลี่เหยาถิงที่ดังออกมาแฝงไปด้วยแววหยอกเย้าและติติงประชดประชัน ยามนั่งดูบาดแผลให้ชายผู้เป็นสามีที่บัดนี้ปริแตกไปทั่วเนื้อตัว จนนางต้องจัดยาสมุนไพรห้ามเลือดและสมานแผลมาพันให้“เป็
ย่ำรุ่งที่เท่าไหร่มิอาจนับยามต้องนั่งเหม่อมองอย่างไร้ตัวตน ย่ำพลบค่ำที่เท่าไหร่แล้วที่เดียวดายหลั่งน้ำตาถามตนเองซ้ำๆ ว่านางเป็นใครในห้องหับอันโดดเดี่ยวอ้างว้าง นางเฝ้าครุ่นคิดอย่างเศร้าสร้อย เฝ้ารอคอยใครบางคนด้วยความทุกข์ระทมไร้ขอบเขตไร้เหตุผลนานเท่าไหร่แล้วที่คาดหวังว่าใครบางคนจักมองมากี่คราแล้วที่หัวใจดวงนี้เพรียกหาเพียงเขาให้เห็นนางด้วยหัวใจอย่างแท้จริงเหอหย่งหมิง...นั่นคือถ้อยประโยควาจาที่ดังสะท้อนกึกก้องอยู่ในห้วงนิทราลี่เหยาถิงสะดุ้งตื่นอย่างตกใจจนร่างอรชรสั่นเทามิอาจควบคุม“เป็นอะไร?”เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามทันใดเมื่อสัมผัสได้ถึงร่างระหงในอ้อมกอดที่สั่นไหว นางคล้ายกับตกใจในบางสิ่งหญิงสาวกะพริบตาปริบๆ จ้องมองฝ่าความมืดสลัวในห้องนอน ที่ยามนี้เปลี่ยนจากทิวาเป็นราตรีมานานแล้ว“หย่งหมิง” ลี่เหยาถิงตะเบ็งเรียกนามเจ้าของอ้อมแขน พร้อมผงกศีรษะขึ้นมาแล้วเอื้อมมือกุมสันกรามเขา“อันใด?” ชายหนุ่มนึกฉงนระคนหวาดหวั่นพลันระแวง“เป็นท่าน” หญิงสาวกล่าวเสียงดังเหอหย่งหมิงตั้งใจฟังด้วยอาการตัวเกร็ง“อะไร? จำอะไรได้หรือไร?” เกรงกลัวเหลือเกินว่านางจะจำเรื่องราวเลวร้ายได้ แล้วเกลียดเขาเสียงแหล







