LOGINเหอหย่งหมิงจึงปล่อยเพ่ยจีออกจากอ้อมแขน แล้วจับดึงข้อมือนางให้เดินไปด้วยกันยังเรือนหนึ่ง หวังให้นางได้สงบสติอารมณ์
คล้อยหลังร่างสูงในอาภรณ์เจ้าบ่าวกับสตรีร่างบางที่กำลังร่ำไห้ที่เดินเงียบหายเข้าเรือนหนึ่งไป เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกับบ่าวชายภายในจวนที่ได้รับพระราชทานเป็นสินเจ้าสาวจากไทเฮา
“ตามข้ามา”
สิ้นเสียงของเจ้าสาวผู้เป็นนายหญิงของจวนแม่ทัพ ก็ได้ยินเสียงตอบรับจากบ่าวชายที่เดินตามหลังมาสองคน
ลี่เหยาถิงเดินนำหน้าบ่าวรับใช้ด้วยใบหน้าโกรธกรุ่น แววตาลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงแห่งแรงริษยา ในใจถามตนเองย้ำๆ อย่างเจ็บช้ำว่าเหตุใดคนที่เหอหย่งหมิงชอบถึงไม่ใช่นาง
ทั้งๆ ที่นางชอบเขาถึงเพียงนี้!
เมื่อทั้งสามเดินมาที่หน้าเรือนหลังหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงครางแว่วหวานดังออกมาจากด้านใน ลี่เหยาถิงพลันชะงักร่างแข็งค้าง ทั่วทั้งตัวชาวาบดั่งเลือดลมหยุดนิ่งชีพจรหยุดเต้น นางถึงกับอึ้งไป ในใจร้อนรุ่มดั่งมีไฟแผดเผาจนมอดไหม้
ฝ่ามือเล็กเร็วกว่าความคิด นางออกแรงผลักเข้าไปอย่างอุกอาจ ไม่คิดยอมเสียชายในดวงใจไป ปากก็ร้องคำรามลั่นว่า “เข้าไปจับสตรีไร้ยางอายนางนั้นออกมาจากเจ้าบ่าวของข้า เอานางโยนออกไปจากจวนให้ไกลที่สุด”
สิ้นคำสั่งประกาศิต ชายหญิงที่กำลังอยู่ในท่าหมิ่นเหม่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยและกำลังขึ้นคร่อมกันอยู่บนตั่งตัวยาว ก็ชะงักงันลำตัวแข็งทื่อ
สายตาของบ่าวชายพลันเบิกกว้างกับภาพวาบหวามของชายหญิงที่ได้เห็น ซึ่งฝ่ายหนึ่งยังอยู่ในชุดเจ้าบ่าว กับอีกฝ่ายหนึ่งเป็นสตรีที่ใดไม่อาจทราบ ในขณะที่เบื้องหน้าของพวกเขาคือเจ้าสาวที่ยังอยู่ในอาภรณ์สีแดงสด
นี่คือคืนเข้าหอของคู่บ่าวสาวพระราชทาน หากแต่เจ้าบ่าวกลับเลือกที่จะมาพลอดรักกับสตรีอีกนางหนึ่ง ซึ่งให้มองอย่างไรก็ไม่เห็นถึงความสมควรที่จะกระทำเลยแม้แต่น้อย
บ่าวชายวัยฉกรรจ์ได้แต่ยืนมองด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนกระดากอายแทนจนสุดจะพรรณนา
เหอหย่งหมิงขบกรามแน่น พยายามแยกร่างแกร่งของตนออกจากร่างนุ่มในอ้อมแขนอย่างยากลำบาก ใบหน้าหล่อเหลาของเขาแดงก่ำ ด้วยกำลังเกิดอารมณ์กระสันยากควบคุม
ฝ่ายเพ่ยจีนั้น นางมีสีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ ตัวสั่นเทาไม่หยุด ร่างอ้อนแอ้นเผยผิวขาวผ่องเห็นเนินอกรำไร เพราะถูกมือหนาดึงออกมากกว่าครึ่ง
ทว่าลี่เหยาถิงหาได้สนใจไม่ นางส่งสายตาดุดันไปทางบ่าวชายให้เข้าไปลากตัวฝ่ายหญิงออกมาจากฝ่ายชายให้จงได้
ในจังหวะที่บ่าวชายทั้งสองกำลังเดินปรี่เข้าไปทางสองชายหญิง หมายจับแยกเพ่ยจีออกจากอ้อมแขนของเหอหย่งหมิง ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องลั่นของเพ่ยจี นางหลับตาปล่อยน้ำตาไหลริน เบี่ยงตัวหนีอย่างอับอาย แล้วผลักอกเหอหย่งหมิงออกจากตัว ก่อนจะวิ่งปิดหน้าร้องไห้ออกจากห้องไป ไม่หันหลังกลับมาอีก
ลี่เหยาถิงแค่นเสียงในลำคอ สายตามีแต่ความดูแคลนตามหลังเพ่ยจีไป นางพยักหน้าน้อยๆ ส่งสัญญาณว่าให้บ่าวชายทั้งสองตามเพ่ยจี แล้วไล่ไปให้ไกล อย่าให้สตรีไร้ยางอายได้กลับเข้ามาอีก
เมื่อเหลือในห้องเพียงสองคนซึ่งบ่าวสาวแห่งค่ำคืนนี้
เหอหย่งหมิงจ้องลี่เหยาถิงอย่างเย็นชา สายตาคมดุจเหยี่ยวจ้องเหยื่อมองลี่เหยาถิงอย่างต้องการกินเลือดกินเนื้อ
หญิงสาวมองชายหนุ่มอย่างผิดหวัง ก้นบึ้งในดวงตาคู่งามมีพายุอันตรายก่อตัวขึ้น เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “คืนนี้เป็นคืนเข้าหอของข้ากับท่าน คนที่มีสิทธิ์ร่วมเตียงกับท่านมีเพียงข้า แต่ท่านกล้าที่จะร่วมรักกับสตรีอื่น ช่างหน้าไม่อาย!”
“หึ!” ดวงตาของผู้ถูกปรามาสฉายความรังเกียจออกมาชัดเจน เขาแค่นเสียงต่ำคำหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเย็นเยียบเล็ดลอดออกมาจากฟันที่ขบกันแน่น “มากเกินไปแล้ว...ทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของเจ้า อยากเข้าหอกับข้ามากสิท่าถึงกับกล้าลองดีกับข้า”
นัยน์ตาดำขลับวูบไหวเล็กน้อยยามจ้องมองสบตากับเจ้าบ่าวของตน สายตาเช่นนั้นบีบหัวใจของนางให้หดเกร็งไม่เบา แต่ริมฝีปากแดงจิ้มลิ้มยังคงกล่าวเสียงกร้าวว่า “แน่นอน ข้าย่อมมีสิทธิ์ทำทุกสิ่งกับท่าน เพราะท่านคือคนของข้า เหอหย่งหมิงคือคนของลี่เหยาถิงผู้เดียว สตรีไร้ยางอายคนใดก็ไม่มีสิทธิ์ทั้งนั้น โดยเฉพาะนังปีศาจเพ่ยจีนั่น”
ดวงตาคมเข้มทอประกายร้อนแรงดุจเปลวเพลิงพร้อมโหมไหม้ทุกสรรพสิ่งทันใด
ร่างสูงเดินเข้าหาร่างระหงโดยพลัน ก่อนจะจับเจ้าสาวของตนอุ้มขึ้นพาดไหล่หนา อาภรณ์สีแดงสดของทั้งสองเสียดสีไปมาจนเกิดเสียง
เหอหย่งหมิงแบกลี่เหยาถิงกลับเรือนหอ ตามด้วยปิดประตูห้องเสียงดังปัง หลังจากนั้นก็ไร้ซึ่งความปรานีอันใด
ทั้งสองเปิดศึกกันบนเตียงนอนสีแดงสดจนร้อนระอุดุเดือดกระทั่งแสงแรกอรุณมาเยือน
แน่นอนว่าย่อมไม่มีบ่าวไพร่คนใดเยี่ยมหน้าเข้ามาขวาง เพราะวันนี้คือวันแต่งงาน และนั่นก็คือค่ำคืนแห่งการเข้าหอที่มีค่ามากกว่าทองพันชั่ง ต่อให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวเร่าร้อนกันจนไฟลุกท่วมเรือน ก็มีแต่ต้องยินดีเท่านั้น...
หลังจากผ่านค่ำคืนร่ำลาด้วยสุราหลายไหยามเช้าย่ำรุ่งผ่านเข้ามาจึงถึงเวลาเอ่ยคำลาที่แท้จริงท่านหมอซุนยังคงเอ่ยสำทับอีก หากว่ามาเยี่ยมเยือนกันคราวหน้า ให้มีลูกเล็กมาด้วยจึงจะดีลี่เหยาถิงได้ฟังก็หน้าแดงหูแดงก้มหน้ารับคำพึมพำ ในขณะที่เหอหย่งหมิงสบประสานสายตากับท่านหมอแน่วนิ่งด้วยความหมายที่รู้กันเฉพาะพวกเขาว่าท่านหมอบำรุงนางอยู่สองปีเพื่อการนี้…เนื่องจากลี่เหยาถิงเคยตกเลือดจนอวัยวะภายในช้ำหนัก การมีลูกอีกคราเกรงว่าจะยากนัก ท่านหมอจึงปรุงยาบำรุงให้นางมาโดยตลอด และยังมอบให้เหอหย่งหมิงทั้งหมด จากนี้ความสามารถเรื่องทายาทก็เป็นหน้าที่ของคนเป็นสามีแล้วเหอหย่งหมิงพาลี่เหยาถิงเดินทางออกมาจากหมู่บ้านซื่อเจี้ยนจวงมาถึงเมืองหลวงในหลายวันถัดมาชายหนุ่มตัดสินใจพาหญิงสาวเข้าเฝ้าฮ่องเต้ซึ่งนับได้ว่าเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่เจี้ยนหยางฉีฮ่องเต้ทรงแปลกพระทัยเป็นอย่างมาก ที่เหอหย่งหมิงยังไม่ตายยิ่งกว่านั้น หลานสาวของพระองค์ก็ยังมีชีวิตอยู่สวรรค์!แล้วศพเหล่านั้นคืออันใด?ดวงพระเนตรหรี่มองตลอดเวลาอย่างไม่อยากเชื่อถือว่าจะเป็นไปได้ “โชคดีเหลือเกินที่เรายังมิได้เรียกคืนจวนแม่ทัพแล้วส่งต่อ
ผ่านไปอีกสองวันสองคืน ในที่สุดการแข่งขันก็รู้ผลผู้ชนะสูงสุดของการประลองคือเหอหย่งหมิงที่สามารถกำชัยคว้าตำแหน่งเจ้าสำนักเหอเสียงคนใหม่เอาไว้ได้ตามประสงค์หลังงานเลี้ยงแต่งตั้งเจ้าสำนักจบลง เหอหย่งหมิงที่ใช้นามว่าฉางยวนก็ใช้เวลาเพียงไม่นาน ในการจัดการสำนักให้อยู่ในที่ในทางเหอหย่งหมิงที่เป็นถึงแม่ทัพดูแลทหารในอาณัติแห่งราชสำนักนับสิบหมื่น จึงมิใช่เรื่องยากหากฉางยวนจะดูแลสมุนในอาณัติของเหอเสียง เปลี่ยนรูปแบบของเหอเสียงแห่งโจรป่าเป็นสำนักคุ้มภัยในใต้หล้าเรื่องนี้ชายหนุ่มได้รับวาจาเห็นชอบจากเจ้าแห่งยุทธภพที่ควบคุมเหนือพิภพด้วยตนเอง จึงง่ายดายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือยามบ่ายฟ้าใสไร้เมฆบดบังแสงตะวันพาให้สายลมอุ่นร้อนโชยผ่านผืนป่าเขียวขจีระลอกแล้วระลอกเล่าจากเดือนหนึ่งล่วงเลยไปอีกเดือนหนึ่งเดือนแล้วเดือนเล่า ในที่สุดท่านหมอเทวดาก็เดินทางกลับมาจากหาสมุนไพรในป่าใหญ่เหนือหุบเขายอดเมฆาท่านหมอผู้นี้มีนามว่า ซุนผินเขาเป็นชายวัยกลางคน รักสันโดษแต่ชอบช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ด้วยวิชาแพทย์ที่มีเหนือสามัญหากเปรียบเป็นนักพรต เขาย่อมเป็นนักพรตที่ตบะสูง หากเปรียบเป็นชาวยุทธ์ คงไม่แคล้วเป็นรองเพียงเจ้ายุทธภพ
ท้องฟ้าแจ่มใสหมู่เมฆเคลื่อนหายเหล่านกกาบินขับขาน ยามใดที่มีเทศกาลในหมู่บ้าน ทั้งสี่คนก็มักจะจับจูงมือกันเป็นคู่ๆ ไปเที่ยวชมงานวันนี้ก็เช่นกัน หมู่บ้านซื่อเจี้ยนจวง กำลังมีงานครื้นเครงเป็นอย่างมาก เนื่องจากสำนักเหอเสียงแห่งยุทธภพกำลังขาดผู้นำสูงสุด เพราะเจ้าสำนักคนเก่าหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย เจ้าสำนักคนใหม่นามว่าเฉิงอู่ก็ครองตำแหน่งได้เพียงสามวันพลันจบชีวิตลงอย่างปริศนา อีกทั้งสำนักเหอเสียงแห่งเดิมก็โดนถล่มจนพินาศย่อยยับไม่เหลือซาก ต่อมาเจ้ายุทธภพที่ควบคุมทุกสำนักในใต้หล้าจึงได้ก่อตั้งสำนักเหอเสียงขึ้นมาใหม่ให้อยู่ในอาณาเขตหมู่บ้านแห่งนี้ เพื่อเป็นเกียรติอดีตจอมกระบี่อันดับหนึ่งของแคว้นและจัดงานประชันผู้กล้าขึ้นมา เพื่อคัดเลือกนายเหนือหัวแห่งเหอเสียงคนใหม่ เพื่อเป็นหลักให้ลูกสมุนที่ไร้หัวเหลือแต่หางงานนี้เซียนเซียนจึงส่งเหวินเต๋อร์เข้าประลอง เผื่อว่าจะได้นั่งในตำแหน่งนายหญิงของเจ้าสำนักเหอเสียงแต่ทว่า...หญิงสาวได้หลงลืมไป ว่าสามีตนมิใช่ยอดฝีมือ งานนี้จึงได้เห็นสามีพ่ายแพ้ยับเยิน เซียนเซียนจึงได้แต่ปลอบใจ ว่าไม่เป็นไร ที่บ้านใกล้หมอและมียา หากเหวินเต๋อร์ตายไปก็จะหาสามีใหม่เ
นางกล่าวเสียงเข้มแม้พวงแก้มจะแดงก่ำไปทั่วถึงลำคอเหอหย่งหมิงได้แต่เหม่อมองริมฝีปากนาง ด้วยดวงตาทอประกายร้อนแรงแห่งเพลิงปรารถนากระทั่งถูกฝ่ามือเล็กเอื้อมมาปิดตานั่นล่ะ เขาถึงได้สติกลับมาจากการถูกปีศาจราคะครอบงำ เห็นคนงามส่งค้อนวงใหญ่ใบหน้างอง้ำ จึงตีท่าทางเคร่งขรึมนั่งนิ่งให้นางทายากว่าจะได้กินข้าว ก็หยอกเย้ากันในห้องครัวจนไฟแทบลุกเผาไหม้เครื่องเรือนอยู่เป็นนานหลังมื้ออาหารตามด้วยดื่มยาจนหมดเทียบตามคำสั่งเฉียบขาดของภรรยา เหอหย่งหมิงจึงได้เอ่ยคำอีกครั้ง“เราควรกลับบ้านกันได้แล้ว ข้าจะพาเจ้าเข้าเฝ้าฝ่าบาท”ลี่เหยาถิงพยักหน้าเห็นด้วย ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้นางไม่คิดจะกลับไป แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน นางมีสามีพากลับบ้าน ย่อมแตกต่างจากการที่นางรอนแรมกลับไปเพียงลำพัง“รอท่านหมอกลับมาจากหาสมุนไพรก่อนเถิด แล้วเราค่อยลาท่านจากไปพร้อมกัน”หญิงสาวกล่าวเสียงนุ่ม ชายหนุ่มยกยิ้มตอบรับ“ย่อมเป็นเช่นนั้น ท่านหมอเป็นผู้มีพระคุณต่อเราสอง ท่านช่วยชีวิตเจ้าและข้าเอาไว้”เหอหย่งหมิงพอจะจำได้เลือนราง ว่ายามที่เขาตกหน้าผาลงมา มีท่านหมอวัยกลางคนผู้หนึ่งช่วยต่อลมหายใจให้เขาย่างเข้าเดือนสี่ อากาศร้อนกำลังดีเซียนเ
เสียงหายใจหอบกระชั้นสั่นระรัวดังผสานกรุ่นกลิ่นอายวสันต์ เร่าร้อนตลบอบอวลกายแนบกาย ใจชิดใกล้ไม่คิดห่างหายแม้เสี้ยวเวลาเดียว…ถึงแม้เหอหย่งหมิงยังคงนึกหวาดหวั่นว่านางจะจำได้ขึ้นมา ว่าเขาได้ทำพลาดมากมายปานใดแต่ทว่า...ขอเพียงแค่ได้นางคืนมา ได้ยื้อเวลาเพื่อให้นางไม่จากไปไหน จะให้เขาทำอะไร เขายอมทั้งนั้นหวังเพียงอยากเป็นอยู่อย่างนี้ ที่มีนางให้รักต่อไป ยืดเวลาให้เขาได้พิสูจน์หัวใจต่อนางได้อีกครา ก่อนที่วันหนึ่งความทรงจำนางจักกลับมา แล้วเกลียดเขาวันนั้นอาจจะเป็นวันที่สองเราเชื่อมกายใจผูกพันลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณ ยากถอนคืนเขาหวังแค่เท่านั้น มีนางเป็นดวงใจตลอดกาล...ยามรุ่งเช้าเข้าวันใหม่ แสงแดดสาดส่องทอประกายไปทั่วใต้นภาในครัวหลังน้อยมีกลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยวนไปทั่วในอากาศผสมผสานกลิ่นยาขมฝาดแสบจมูก ที่ตั่งตรงโต๊ะในครัวมีสามีภรรยาดูแลเอาใจใส่กันและกันไม่ห่าง“สามีข้า นอกจากงามสง่า ยังกร้าวแกร่งยิ่งนัก”เสียงกังวานของลี่เหยาถิงที่ดังออกมาแฝงไปด้วยแววหยอกเย้าและติติงประชดประชัน ยามนั่งดูบาดแผลให้ชายผู้เป็นสามีที่บัดนี้ปริแตกไปทั่วเนื้อตัว จนนางต้องจัดยาสมุนไพรห้ามเลือดและสมานแผลมาพันให้“เป็
ย่ำรุ่งที่เท่าไหร่มิอาจนับยามต้องนั่งเหม่อมองอย่างไร้ตัวตน ย่ำพลบค่ำที่เท่าไหร่แล้วที่เดียวดายหลั่งน้ำตาถามตนเองซ้ำๆ ว่านางเป็นใครในห้องหับอันโดดเดี่ยวอ้างว้าง นางเฝ้าครุ่นคิดอย่างเศร้าสร้อย เฝ้ารอคอยใครบางคนด้วยความทุกข์ระทมไร้ขอบเขตไร้เหตุผลนานเท่าไหร่แล้วที่คาดหวังว่าใครบางคนจักมองมากี่คราแล้วที่หัวใจดวงนี้เพรียกหาเพียงเขาให้เห็นนางด้วยหัวใจอย่างแท้จริงเหอหย่งหมิง...นั่นคือถ้อยประโยควาจาที่ดังสะท้อนกึกก้องอยู่ในห้วงนิทราลี่เหยาถิงสะดุ้งตื่นอย่างตกใจจนร่างอรชรสั่นเทามิอาจควบคุม“เป็นอะไร?”เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามทันใดเมื่อสัมผัสได้ถึงร่างระหงในอ้อมกอดที่สั่นไหว นางคล้ายกับตกใจในบางสิ่งหญิงสาวกะพริบตาปริบๆ จ้องมองฝ่าความมืดสลัวในห้องนอน ที่ยามนี้เปลี่ยนจากทิวาเป็นราตรีมานานแล้ว“หย่งหมิง” ลี่เหยาถิงตะเบ็งเรียกนามเจ้าของอ้อมแขน พร้อมผงกศีรษะขึ้นมาแล้วเอื้อมมือกุมสันกรามเขา“อันใด?” ชายหนุ่มนึกฉงนระคนหวาดหวั่นพลันระแวง“เป็นท่าน” หญิงสาวกล่าวเสียงดังเหอหย่งหมิงตั้งใจฟังด้วยอาการตัวเกร็ง“อะไร? จำอะไรได้หรือไร?” เกรงกลัวเหลือเกินว่านางจะจำเรื่องราวเลวร้ายได้ แล้วเกลียดเขาเสียงแหล







