ในเช้าวันถัดมาเกื้อกูลนั่งอ่านรายงานที่เลขาส่งมาให้ในห้องทำงานที่ออฟฟิศของบริษัท สิบโมงเช้าเขาจะต้องเข้าประชุมกับทีมฝ่ายขาย แต่รายงานที่อ่านไปกลับไม่เข้าหัวเอาซะเลย
ตั้งแต่เมื่อวานที่เขาจากมาจนกระทั่งถึงตอนนี้นภิศายังคงเงียบหาย เธอไม่ติดต่อกลับมาหาเขาและเขาก็ไม่ได้ติดต่อกลับไปหาเธอเช่นกัน เขาไม่ต้องการให้เธอท้อง เรื่องนี้มันเข้าใจยากตรงไหน เคยบอกไปแล้วว่าให้ป้องกันให้ดี แล้วทำไมนภิศาถึงได้ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกจนได้
ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วง เขาไม่ต้องการหาทางแก้อย่างอื่นนอกจากการที่จะให้นภิศาเอาเด็กออก เขาไม่ต้องการให้เธอท้อง ไม่ต้องการเลย
โทรศัพท์มือถือเครื่องบางของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะดังอยู่ครืดๆ ช่วยดึงความคิดของเกื้อกูลออกจากภวังค์ เขาหันไปมองที่หน้าจอเห็นว่าเป็นน้องชายโทร.มาจึงคว้ามากดรับสาย
“ว่าไงการุณย์”
“พี่เกื้อ นัทเขาไม่มาทำงาน พี่พาเขาไปไหนหรือเปล่า”
“เปล่า ฉันมาทำงาน”
“เขาไม่ได้โทร.มาลางานก่อนเลยนะพี่ ผมให้คุณปานโทร.หาก็ไม่รับโทรศัพท์ แล้วตอนนี้ก็ติดต่อไม่ได้แล้วด้วย เมื่อวานนี้ไม่สบายเป็นอะไรมากหรือเปล่าก็ไม่รู้ พี่ไปดูเขาบ้างหรือยัง”
“ไปแล้ว ไม่เป็นอะไรมากหรอก” เกื้อกูลบอกปัดน้องชาย เพราะไม่อยากให้เขารู้เรื่องที่นภิศาตั้งครรภ์
“แต่นัทเขาไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ เดี๋ยวผมจะไปดูเขาที่ห้อง”
“ไม่ต้องไป!”
“พี่ นี่พี่ไม่คิดจะเป็นห่วงนัทเขาบ้างเลยเหรอ”
“แล้วนายล่ะ เป็นห่วงเขามากนักหรือไง”
“เป็นห่วงสิ เป็นห่วงมากด้วย น้องสาวผมทั้งคนทำไมผมจะไม่เป็นห่วง ว่าแต่พี่เองเถอะ ไม่คิดจะเป็นห่วงเป็นใยเขาบ้างเลยเหรอ นัทเขาเป็นเมียพี่นะ”
เอ่ยจบการุณย์ก็กดตัดสายไป เกื้อกูลนั่งจ้องโทรศัพท์มือถือของตัวเองอยู่สักพักจึงลองกดโทร.ออกหานภิศาแต่ปรากฏว่าปลายสายติดต่อไม่ได้จริงอย่างที่การุณย์บอก จากเหตุการณ์เมื่อวานและอาการที่นภิศาแสดงออกมันทำให้ความรู้สึกบางอย่างวิ่งผ่านเข้ามาในใจจนไหววูบ
เกื้อกูลลุกเดินออกจากห้องทำงาน สั่งเลขาให้เลื่อนประชุมออกไปอย่างไม่มีกำหนด คนขับรถวิ่งตามทันทีที่เห็นเขาเดินมาแต่เขาขอแค่กุญแจรถแล้วขับออกไปเองคนเดียว
การุณย์ยืนโต้เถียงอยู่กับ รปภ.ของคอนโดฯเพื่อขอขึ้นไปที่ห้องของนภิศานานมากแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งเกื้อกูลมาถึง
“พี่เกื้อ”
ชายหนุ่มรีบวิ่งตามพี่ชายไปทันทีด้วยความร้อนใจไม่แพ้กัน เขาดีใจที่เกื้อกูลแสดงออกว่าเป็นห่วงเป็นใยนภิศาบ้างแต่ก็อดเป็นกังวลไม่ได้ว่าตอนนี้หญิงสาวจะเป็นยังไง อาการป่วยที่เขาเห็นเมื่อวานมันหนักหนามากเลยหรือถึงไม่ไปทำงานและไม่สามารถติดต่อเธอได้เลย
เมื่อขึ้นมาถึงหน้าห้องเกื้อกูลก็รูดคีย์การ์ดเข้าไปทันที ภายในห้องพักในส่วนของห้องนั่งเล่นว่างเปล่าไร้ตัวตนของคนเป็นเจ้าของ เขาตรงไปที่ห้องนอนเปิดออกดูก็ว่างเปล่าอีกเช่นกัน เป้าหมายสุดท้ายคือห้องน้ำ ในใจของเกื้อกูลภาวนาว่าขอให้เจอว่านภิศาอยู่ในนั้น แต่เคาะประตูเรียกเท่าไหร่ก็ไร้เสียงตอบรับจึงถือวิสาสะเปิดเข้าไป แต่ก็ไร้วี่แววของคนที่เขากำลังตามหาอีกเช่นเคย ชายหนุ่มกลับออกมาดูที่เตียงนอนอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่จะได้เปิดดูอะไรการุณย์ก็เดินมาบอกว่ากระเป๋าใบที่นภิศาใช้ประจำหายไป แต่เจอสร้อยคอที่เห็นเธอใส่อยู่ตลอดเวลาถอดวางไว้ที่หน้ากระจกบนโต๊ะเครื่องแป้ง
หัวใจของเกื้อกูลหล่นวูบ สร้อยคอเส้นนี้เขาเป็นคนซื้อให้ โดยที่เธอเป็นคนเลือกลายเองกับมือ
“คุณเกื้อคะ นัทขอเป็นจี้รูปหัวใจได้มั้ย แล้วให้ร้านเขาสลักชื่อคุณเกื้อไว้ที่ด้านหลังให้ด้วยได้หรือเปล่า”
“มันเป็นสร้อยเธอ จะสลักชื่อฉันไว้ทำไม”
“นัทอยากมีหัวใจของคุณเกื้อไว้กับตัวนี่คะ”
รอยยิ้มดีใจของเธอในวันนั้นเขายังจำได้หลังจากที่อนุญาตให้เธอได้ตามที่ขอ และหลังจากวันนั้นเขาก็เห็นสร้อยเส้นนี้ห้อยอยู่ที่คอของหญิงสาวตลอดเวลานับตั้งแต่วันที่เขาซื้อให้จนถึงวันนี้มันสามปีแล้ว
เขาเปิดดูลิ้นชักที่ตู้ข้างเตียงก็ไม่เห็นเอกสารสำคัญอะไรที่เธอเคยเก็บไว้ พอไปเปิดดูที่ตู้ใต้เตียงก็เห็นว่ากระเป๋าเดินทางใบเล็กของเธอหายไป ชายหนุ่มทรุดนั่งลงที่เตียงสองมือลูบหน้าแล้วถอนหายใจหนักหน่วง
“พี่เกื้อ มันเกิดอะไรขึ้น นัทหายไปไหน แล้วทำไมถึงหายไป”
“อย่าพึ่งถามได้มั้ย ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“จะไม่ให้ถามได้ยังไง คนหายไปทั้งคน มิหนำซ้ำยังไม่สบายอีก เกิดอะไรขึ้นพี่ พี่กับนัททะเลาะกันเหรอ ไม่..ไม่ใช่ นัทเขารักพี่จะตาย ต่อให้ทะเลาะกันยังไงเขาก็ไม่มีทางหนีพี่ไปหรอก”
“การุณย์รู้จักเพื่อนของนัทบ้างมั้ย มีใครบ้างที่เขาพอจะไปหาได้”
“ไม่ ผมไม่รู้จักเลย พี่ล่ะ”
“เคยเห็นแค่บางคนแต่ไม่มีเบอร์ติดต่อ แล้วก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนด้วย”
“หรือว่านัทเขาอาจจะกลับไปหาแม่เขาที่ต่างจังหวัดหรือเปล่าพี่ อาจจะมีอะไรเร่งด่วนเลยไม่ได้บอกเราหรือเปล่า”
“ไม่หรอก”
เกื้อกูลตอบปฏิเสธเพราะรู้ดีว่านภิศาไม่มีทางกลับไปที่บ้านอย่างเด็ดขาด เธอหนีจากเขา เธอจะต้องไม่กลับไปที่บ้านแม่ของเธอแน่ๆ
“พี่รู้ได้ไง ทำไมถึงได้คิดว่าเขาจะไม่ได้ไปที่บ้านแม่ของเขา”
“เพราะนัทเขากำลังหนีพี่อยู่” เกื้อกูลตอบน้องชายโดยไม่หันไปสบตา สองมือกุมหน้าอย่างใช้ความคิด
“หนี! หนีทำไม พวกพี่มีปัญหาอะไรกันรุนแรงถึงขนาดที่นัทเขาจะต้องหนีพี่ไปเลยงั้นเหรอ”
“นัทเขาท้อง”
“หะ..ห๊ะ!” การุณย์ตะลึงงันเพราะคิดไม่ถึง ถ้าอย่างนั้นอาการของนภิศาที่ไม่สบายเมื่อวานนี้คืออาการแพ้ท้องอย่างนั้นเหรอ
“แล้ว..ท้องแล้วทำไมต้องหนี ถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้เรื่องนี้พวกท่านต้องดีใจแน่ๆ”
“ฉันให้เขาไปเอาลูกออก”
“พี่เกื้อ!! นี่พี่จะบ้าไปแล้วเหรอ นั่นลูกพี่นะ พี่บอกให้นัทเขาไปทำแท้งเหรอ พี่ทำอย่างนั้นได้ยังไง”
“ฉันไม่อยากให้เขาท้องนายก็รู้ ฉัน...”
เกื้อกูลหลับตานิ่งถอนหายใจหนัก พยายามควบคุมสติตัวเองไม่ให้ว้าวุ่นไปมากกว่านี้ ตอนนี้เขาเป็นกังวลไปหมด ทั้งเป็นกังวลแล้วก็กลัว เขาเอื้อมมือไปจับมือน้องชายแล้วเอ่ยบอกอย่างขอร้อง
“การุณย์ นัทเขากำลังท้อง และเขาก็คงจะมีอาการแพ้ท้องด้วย ช่วยพี่ที ช่วยพี่หาเขาที”
มือของพี่ชายที่แตะสัมผัสมันเย็นและสั่นจนการุณย์รู้สึกได้ เกื้อกูลรักนภิศาจริงๆ สินะถึงได้เป็นอย่างนี้ ที่ไม่อยากให้ท้องก็คงเพราะกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรไป
“พี่ใจเย็นๆ ก่อน ผมจะช่วยหา นัทเขาคงไม่เป็นอะไรหรอก เขาแข็งแรงดีจะตาย”
“ตอนนั้นเอื้อมดาวก็แข็งแรงดี”
หลังจากตัดสินใจหนีออกมาจากเกื้อกูลนภิศาก็ไม่รู้จะไปที่ไหน จะกลับบ้านก็ไม่ได้เพราะกลัวว่าเขาจะตามไป หญิงสาวเลือกที่จะโทรหากนกรัตน์เพื่อนสนิทที่สุดในจำนวนไม่กี่คนที่เธอมีอยู่
“นัท นัทแน่ใจเหรอว่าจะไม่อยู่กับเราที่บ้านจริงๆ”
กนกรัตน์เอ่ยถามย้ำมาอีกครั้งหลังจากที่เธอได้คุยกันถึงเรื่องที่นภิศามาขอความช่วยเหลือและคุยกันถึงเรื่องที่พักอยู่หลายรอบแล้ว
ด้วยความเป็นห่วงเพื่อน และยิ่งรู้ว่านภิศากำลังท้องเธอยิ่งไม่อยากให้ไปอยู่ไกลหูไกลตา แต่นภิศาก็ยืนยันว่าจะไปอยู่ที่อื่นให้ได้เพราะไม่อยากรบกวน กนกรัตน์จึงพาเธอมาดูคอนโดฯของพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอที่ประกาศปล่อยเช่าอยู่พอดี
“ไม่หรอกหนูดี แค่นี้เราก็รบกวนมากแล้ว อีกอย่างเธอเองก็กำลังจะแต่งงาน อีกไม่นานก็ต้องย้ายไปอยู่บ้านแฟนไม่ใช่เหรอ”
“แต่ถึงอย่างนั้นเราก็อดเป็นห่วงไม่ได้นี่ แล้วนี่ถ้าคุณเกื้อเขามาตามหานัทกับเราจะให้เราตอบว่ายังไง แล้วเขารู้หรือเปล่าว่านัทท้อง”
“รู้ แต่เขาไม่ตามมาหรอก เขาไม่รักลูก”
“ทำไมถึงว่าอย่างนั้น ทะเลาะกันหนักมากเลยเหรอ นัทถึงได้หนีเขามาแบบนี้”
ถามออกไปแล้วก็อยากจะหยิกตัวเองให้เนื้อเขียว เพราะสีหน้าของเพื่อนสลดลงเลยต้องรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“เออนี่ แล้วนี่นัทจะทำยังไงต่อ ย้ายออกมาแบบนี้แล้วงานล่ะ ได้งานใหม่หรือยัง เราฝากงานให้เอามั้ย พี่ชลๆ” ถามเองเออเองแล้วหันไปเรียกพี่ชายที่เป็นเจ้าของห้องให้หันมาสนใจที่ตนกับเพื่อน
“มีอะไรหรือเปล่าหนูดี”ชิดชลชายหนุ่มร่างสูงผิวขาวหน้าตี๋ออกไปทางเชื้อสายจีนหันมาที่น้องสาวและเพื่อนน้องสาวทันทีที่ถูกเรียก
ในระหว่างพักเบลคหลังจบเคสรอบบ่ายโทรศัพท์ของคนเป็นน้องสาวก็โทร.เข้ามาพอดีแล้วบอกว่าสนใจจะเช่าห้องที่ประกาศไว้เขาจึงได้รีบออกมา พอมาถึงก็เห็นว่าคนที่ต้องการเช่าคือเพื่อนของน้องสาวที่เขาไม่คุ้นหน้าแต่ต้องตาจนอดที่จะมองไม่ได้
“คลินิกพี่ชลรับพนักงานเพิ่มหรือเปล่า หนูดีฝากนัทไปทำงานด้วยสิ”
ชิดชลเป็นทันตแพทย์โรงพยาบาลเอกชน และมีคลินิกทันตกรรมเป็นของตัวเองเปิดอยู่ไม่ไกลจากคอนโดฯนี้เท่าไหร่นัก แต่ที่ต้องปล่อยเช่าเพราะมารดาของเขาไม่ค่อยแข็งแรงตัวเขาเองเลยเลือกที่จะกลับไปอยู่ที่บ้าน ถึงจะไกลหน่อยแต่ก็มีเวลาได้อยู่กับท่านมากขึ้น
คำถามของน้องสาวทำเอาคุณหมอเจ้าของคลินิกรีบตอบรับด้วยความยินดี ถึงแม้จะแอบผิดหวังอยู่บ้างที่ทราบว่าเพื่อนของน้องสาวคนนี้กำลังตั้งครรภ์อยู่ก็ตาม และยิ่งเมื่อรู้ว่านภิศาพึ่งจะแยกทางกับพ่อของลูก ความสงสารและเห็นใจจึงเกิดขึ้นในใจอย่างห้ามไม่ได้
ด้วยความช่วยเหลือของกนกรัตน์เลยทำให้นภิศาได้ที่พักที่ดีและค่อนข้างปลอดภัย รวมทั้งได้งานใหม่ทำที่คลินิกทันตกรรมของคุณหมอชิดชลในตำแหน่งประชาสัมพันธ์ประจำเคาน์เตอร์ทันตกรรม
นอกจากกนกรัตน์ที่คอยให้ความช่วยเหลือเธอเป็นอย่างดีแล้ว คุณหมอชิดชลเป็นอีกหนึ่งคนที่คอยห่วงใยและใส่ใจเธออยู่ตลอดเวลา จนบางครั้งนภิศารู้สึกว่ามากเกินไปจนเกรงใจ หลายครั้งที่ชิดชลคอยมารับมาส่งหรือแม้กระทั่งพาไปหาหมอในวันที่เธอมีนัดตรวจ จนเพื่อนหมอที่รู้จักกันเอ่ยแซวเพราะเข้าใจว่าเธอเป็นภรรยาของเขาไปแล้ว
“พี่ชลไม่ต้องพานัทมาหาหมอทุกครั้งที่มีนัดก็ได้นะคะ นัทเกรงใจจริงๆ”
นภิศาเอ่ยบอกหลังจากที่เธอกับเขาเดินออกมาจากโรงพยาบาลด้วยกัน
“ไม่เป็นไรหรอกนัท พี่เต็มใจ แล้วยิ่งตอนนี้ท้องของนัทก็โตขึ้นเรื่อยๆ พี่จะปล่อยให้นั่งแท็กซี่มาคนเดียวได้ยังไง แดดก็ร้อน รถก็เยอะเกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาหนูดีได้บ่นพี่หนักเลย”
แม้ว่าจะอ้างน้องสาวแต่ความห่วงใยนั้นเป็นของชิดชลเองล้วนๆ คุณหมอหนุ่มยอมรับว่าแอบมีใจให้เพื่อนน้องสาวที่อยู่ในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยวคนนี้อย่างไม่ปิดบังและนภิศาเองก็รู้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าฐานะที่เขาได้รับจากเธอคือพี่ชายของเพื่อนเท่านั้น
“ขอบคุณนะคะพี่ชล ขอบคุณที่ดีกับนัทมากๆ มากจนนัทไม่รู้จะตอบแทนยังไง”
“ถ้าอยากตอบแทนพี่ ก็อย่าปฏิเสธความช่วยเหลือจากพี่แค่นั้นก็พอ ถึงเป็นพ่อให้เจ้าหนูนี่ไม่ได้ นัทก็ช่วยบอกกับลูกว่าพี่เป็นคุณลุงใจดีได้มั้ยล่ะ”
ชิดชลบอกพร้อมกับหันมาส่งยิ้มให้ ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วประคองคนท้องเข้านั่งในรถอย่างระมัดระวัง
เสียงครางงึมงำของเกื้อกูลที่ดังอยู่ข้างหูทำให้นภิศาหันมามอง คนที่นอนอยู่ข้างๆเธอเขายังคงหลับตา แต่ริมฝีปากก็ยังพึมพำอะไรบางอย่างที่เธอฟังไม่ค่อยชัด“คุณเกื้อคะ คุณเกื้อ ละเมอเหรอคะ คุณเกื้อคะ”เธอพยายามเขย่าปลุกเรียกให้ตื่น แต่เกื้อกูลก็ยังคงเพ้อไม่หยุด“ไม่ ไม่จริง ไม่ใช่ ไม่จริง มันไม่ใช่ความจริง”คราวนี้นภิศาได้ยินชัดเพราะเขาพูดคำเดิมซ้ำๆและดังขึ้นเรื่อยๆเหมือนกำลังเถียงกับตัวเอง นอกจากนั้นท่าทางของเกื้อกูลยังดูหวาดกลัวในสิ่งที่ตัวเขาเองกำลังปฏิเสธมันออกมา“คุณเกื้อคะ คุณเกื้อ ตื่นค่ะ คุณเกื้อ เพี๊ยะ!!”เมื่อเห็นว่าแค่ปลุกเรียกเขาคงไม่ตื่น เธอจึงฟาดฝ่ามือลงที่ท่อนแขนที่โผล่พ้นเสื้อกล้ามออกมาเต็มแรง ทำเอาคนที่กำลังหลับละเมอสะดุ้งตื่น เขาหันมามองหน้าเธอสีหน้างงงวย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นภิศาจึงอธิบายให้ฟังว่าเขาละเมอ เธอพยายามปลุกอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ยอมตื่นเลยต้องฟาดฝ่ามือตีแรงๆ“พี่ละเมอเหรอ”“ค่ะ คุณเกื้อละเมอ จำได้มั้ยคะว่าละเมอว่าอะไร นัทได้ยินคุณเกื้อบอกว่าไม่ ไม่จริง
เค้กช็อคโกแลตก้อนใหญ่ปักเทียนเอาไว้โดยรอบ ถูกยื่นมาตรงหน้าของเจ้าหนูกุลกานต์ ที่ตอนนี้นั่งอยู่บนเก้าอี้เด็ก รายล้อมไปด้วยปู่ย่า พ่อแม่ และอา รวมทั้งคนงานในบ้านทุกคน ต่างมาร่วมอวยพรและร้องเพลงวันเกิดให้ ทำเอาน้องกานต์ชอบใจปรบมือแปะๆตามทุกคน ปากก็ร้องงึมงำงึมงำตามไม่เป็นภาษา จนเมื่อเพลงจบเกื้อกูลจึงบอกให้ลูกเป่าเค้ก พ่อกับแม่ช่วยกันเป่าดับไปแล้วบางส่วน เจ้าตัวเล็กเห็นแบบนั้นก็เอาบ้าง เป่าลมพรูออกจากปากจนน้ำลายกระเด็น แต่เทียนก็ยังดับไม่หมดจนคนเป็นพ่อต้องช่วยเป่าแทนอีกรอบ พอเทียนดับหมดน้องกานต์ก็ปรบมือแปะๆชอบใจ“หนึ่งขวบแล้วนะครับหลานย่า”คุณพรประภาก้มจูบลงที่ศีรษะของหลานรักด้วยความเอ็นดู คนเป็นปู่ก็ยื่นมือมายีหัวอย่างรักใคร่ ใครต่อใครต่างเข้ามาห้อมล้อมเต็มไปหมด จนเจ้ากานต์น้อยไม่รู้จะหันไปมองใคร จึงทำได้แต่กวักมือเรียกหาแม่อยู่ไหวๆ“แหมะๆๆ แหมะ”การุณย์ได้ยินหลานเรียกแม่แบบนั้นก็ขำใหญ่ หัวเราะงอหายท้องขดท้องแข็ง“โธ่ เจ้าอ้วนหลานอา นั่นแม่นะลูก ไม่ใช่แพะ จะมาเรียกแหมะๆแบบนั้นไม่ได้ ไหนเรียกใหม่ซิ แม่ เรียกเร็วเรียก แม่ ไ
หลายวันผ่านไปห้องของเกื้อกูลที่รีโนเวทไว้ก็เรียบร้อย จากที่ตั้งใจจะเร่งให้เสร็จโดยไวแต่ก็ทิ้งระยะไปเป็นเดือนเพราะเตียงไซน์ใหญ่ที่เขาสั่งทำขึ้นมาใหม่ยังไม่พร้อมโชคดีเป็นของชายหนุ่มอยู่บ้างที่ระหว่างรอนั้นเขาคืนดีกับนภิศาได้แล้ว จึงทำให้มีที่หลับนอน ไม่อย่างนั้นก็คงต้องอาศัยห้องของการุณย์แล้วคอยตื้อขอนอนห้องเธออยู่อย่างนั้นจนกวาจะใจอ่อนวันนี้เกื้อกูลสั่งให้คนในบ้านช่วยกันย้ายข้าวของของนภิศากับลูกมาไว้ที่ห้องนอนของเขาจนเกลี้ยง แน่นอนว่าเกลี้ยงชนิดที่กลับมานอนอีกไม่ได้ แม้แต่ข้าวของเครื่องใช้บางอย่างเขาก็ยกให้คนงานในบ้านแบ่งกันเอาไปใช้ให้หมดเพราะเกื้อกูลคิดไว้แล้วว่าหากเผลอทำอะไรให้นภิศางอน จะต้องไม่มีห้องให้เธอหอบลูกหนีมานอนแยกกับเขาได้อีกหลังจากจัดแจงทุกอย่างเสร็จสรรพ รวมทั้งช่วยกันกับอินทรยกชั้นออกไปไว้ที่ห้องพักเขาก็เดินกลับเข้ามาในบ้าน พอเดินผ่านห้องนั่งเล่น พ่อกับแม่ของเขาก็เรียกให้เข้าไปหา“พ่อกับแม่มีอะไรจะคุยกับผมหรือเปล่าครับ”“มีสิ” คุณพรประภาเป็นคนตอบ ก่อนจะมองหน้าแล้วเอ่ยถามลูกชายด้วยสีหน้าจริงจัง&l
“อ๊ะ! อ๊า คุณเกื้อเบาๆ ค่ะ นัทเจ็บ”นภิศาห่อไหล่ครางซี้ดซ้าด ทั้งเจ็บทั้งเสียวจากแรงดูดดึงและขบเม้มของเกื้อกูล เขาผละจากอกอิ่มข้างหนึ่งมาดูดดึงอีกข้างหนึ่งจนพอใจ จึงลุกขึ้นมาถอดทิ้งเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมดก่อนจะโน้มลงคร่อมร่างของเธอเอาไว้แล้วกดจูบลงไปที่สองข้างแก้ม ริมฝีปาก ปลายคาง ซอกคอ หัวไหล่ซ้าย หัวไหล่ขวา ลูบไล้ไปทั่วผิวกายอ่อนละมุน กดจูบดอมดมไปทั่วทุกอณูเนื้อนวลสัมผัสแผ่วเบาของเขาลากเรื่อยไปตามผิวกายของนภิศาจูบไล่ลงมาตามร่องอก เคลื่อนริมฝีปากลงต่ำมาจนถึงสะดือเล็ก แล้วช้อนตาขึ้นมองเธออีกครั้งก่อนจะวางฝ่ามือลงที่หว่างขา ลูบไล้ไปมาเบาๆ ทำเอานภิศาถึงกับต้องกัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่นหัวใจสั่นไหวในตอนที่เขาจ้องมอง“อยากให้พี่ทำยังไงครับ”เกื้อกูลเอ่ยถามเสียงพร่า นภิศาปิดปากส่ายหน้า ไม่รู้ว่าจะต้องตอบเขาว่ายังไง ไม่ว่าเขาจะทำอะไรให้เธอก็ยินยอมทั้งนั้นเกื้อกูลยิ้มในหน้า ฝ่ามือของเขายังคงลูบไล้อยู่ที่กลุ่มใหมบางของเธอไปมา ก่อนจะกดปลายนิ้วเข้าหาความฉ่ำชื้นที่กำลังเอ่อไหลแล้วค่อยจมมิดหายเข้าสู่กายสาวถึงสองนิ้วพร้อมกันอย่างช้าๆ“อ๊ะ..อื้อ..คุณเกื
หนึ่งอาทิตย์ถัดจากนั้นคุณหมอชิดชลก็ถูกเชิญให้มาทานข้าวที่บ้านประชาพิพัฒน์ด้วยคำชวนของคุณพรประภา ทันตแพทย์หนุ่มยังคงงงงวยอยู่ไม่น้อยที่หลังจากที่เขามาพบนภิศาไม่นาน เธอกับเกื้อกูลก็คืนดีกัน ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าทั้งสองคนยังรักกันอยู่ แต่คุณหมอชิดชลก็ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นเร็วจนเขานึกไม่ถึง“ว่าไงครับเจ้าลูกหมู น้องกานต์ลูกพ่อชล มาหาพ่อหน่อยมา คิดถึงจังเลยลูก”เมื่อเห็นนภิศาอุ้มลูกชายเข้ามาหาคุณหมอหนุ่มก็ไม่รอช้าที่จะขออุ้มทันที เพราะตอนนี้เจ้าหนูกุลกานต์พึ่งอาบน้ำประแป้งมาซะตัวหอมเลยทีเดียวพอรับเจ้าลูกหมูมาไว้ในอ้อมแขนก็จัดการฟัดแก้มซ้ายขวาเอาซะหน้าคุณหมอหนุ่มติดแป้งขาวตามลูกชายของเขาจนนภิศาอดขำไม่ได้“อะ แฮ่ม!!”เสียงกระแอมที่ดังอยู่ไม่ไกลทำให้คุณหมอชิดชลเงยหน้าจากการฟัดแก้มยุ้ยขึ้นมามอง เห็นเกื้อกูลเดินมาหยุดซ้อนหลังแม่เจ้าอ้วนแล้วมองที่เขาตาขุ่นขวางก็เอ่ยทักทาย“เป็นไงบ้างครับคุณเกื้อกูล ดูเหมือนว่าลูกชายของเราจะโตวันโตคืนเชียวนะครับ”เอ่ยกับคนเป็นพ่อแล้วอุ้มเอาลูกเขาตรงไปที่ห้องรับแขกที่คุณพรประภาและคุณเกรียงศักดิ์นั่งรออยู่
เช้าวันใหม่สำหรับเกื้อกูลวันนี้เป็นเช้าที่สดใสที่สุดตั้งแต่มีชีวิตเกิดมาสามสิบกว่าปี ในอ้อมแขนของเขาคือเจ้าหนูกุลกานต์ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนในวัยห้าเดือนเศษ เขาตื่นมาพาลูกออกมาเดินเล่นที่สวนหน้าบ้านตั้งแต่ฟ้าเริ่มสาง ปล่อยให้นภิศาจัดการกิจวัตรของเธออยู่ในห้องเพียงลำพัง“ว่าไงครับลูกพ่อ หนูอยากไปไหนอีกมั้ย เมื่อยหรือยังลูก หืม หนูเมื่อยหรือยังครับ”“แอ้แอ้”เจ้าหนูน้อยนี่ก็ช่างเอาใจพ่อเก่ง พ่อพูดพ่อคุยอะไรมาก็ตอบรับอ้อแอ้ไปซะหมด ยิ่งทำให้เกื้อกูลได้ใจไปใหญ่ ถึงจะมีบางครั้งที่มือน้อยๆ นั้นจะยังหันมาฟาดหน้าพ่ออยู่บ้างแต่ก็ไม่เป็นไร เขาทนได้ถ้าลูกเขาชอบ“นั่นคุณเกื้ออุ้มน้องกานต์อยู่เหรอคะ”น้ำพลอยที่เดินผ่านมาเห็นเอ่ยถามด้วยความสงสัยท่าทางของเธอดูจะตกใจมากกว่าประหลาดใจเสียด้วยซ้ำ“ก็ใช่น่ะสิ ทำไม ก็ลูกฉัน ฉันจะอุ้มลูกตัวเองออกมาเดินเล่นบ้างไม่ได้เหรอ”“แต่คุณเกื้อถูกสั่งห้ามไม่ให้แตะต้องน้องกานต์นะคะ”“นั่นมันเป็นคำสั่งเก่า ตอนนี้นัทเขายอมให้ฉันแตะลูกได้แล้ว จริงมั้ยครับลูกพ่อ หืม น้องกานต์ชอบอยู่กับพ่อมั้ยครับลูก”ตอบก