เสียงรถที่ขับเข้ามาในบ้านทำให้คุณพรประภาหันไปมองที่ต้นทาง ในใจแอบลุ้นว่าเป็นลูกชายคนไหนที่กลับมา ช่วงนี้ดูเหมือนว่าทั้งเกื้อกูลและการุณย์จะดูยุ่งจนลืมทางกลับบ้านกันทั้งคู่ แม้แต่นภิศาเองก็หายไปหลายเดือนแล้ว พอถามจากการุณย์ก็บอกแค่ว่าจะปรับตำแหน่งงานให้น้องเลยส่งไปเรียนภาษาเพิ่มในวันหยุดทำให้ไม่มีเวลามาเยี่ยม แต่บอกเจ้าตัวให้แล้วว่าท่านถามหา
ส่วนเกื้อกูลก็เงียบหายไม่ต่างกัน จากปกติที่กลับบ้านอยู่บ้างอาทิตย์ล่ะสองสามวัน แต่ที่ผ่านมาแทบจะกลายเป็นเดือนละครั้ง ถ้าคุณเกรียงศักดิ์ผู้เป็นบิดาไม่เรียกหาก็ยากที่จะได้เจอตัว
“ว่าไงล่ะ วันนี้ลมอะไรหอบมา แม่จะได้ไปขอบคุณพระพายท่านที่ได้เอาลูกชายมาส่ง”
ทันทีที่เห็นว่าคนที่เดินเข้าบ้านมาคือการุณย์ คุณพรประภาเองก็เอยถามอย่างประชดประชันออกไปทันที มีลูกชายถึงสองคน แต่ก็เหมือนไม่มีใคร พอจะมีลูกสาวกับเขาบ้างเจ้าลูกชายคนเล็กก็ส่งน้องไปเรียนเพิ่มจนไม่มีเวลาให้ท่านอีกเช่นกัน แบบนี้มันน่าน้อยใจน้อยเสียเมื่อไหร่
“ไม่มีลมอะไรหอบมาหรอกครับคุณแม่ ผมมีธุระนิดหน่อย ว่าจะมาหาพี่เกื้อเขากลับมาบ้านบ้างหรือเปล่าครับ”
“อ้าว! ทำไมไม่โทรหากันล่ะ ทำยังกะยุคโทรเลขที่ต้องรอกันเป็นวันสองวัน นี่แค่กดเบอร์โทร.ออกก็ติดต่อกันได้แล้วนะ หรือว่าเราหลงยุคมาเหรอการุณย์ ฮึ นี่ใช่ลูกชายฉัตัวจริงของแม่หรือเปล่านี่”
คุณพรประภาเอ่ยหยอกเย้า พร้อมกับเดินไปจับหน้าของการุณย์เอียงซ้ายเอียงขวาเพื่อสำรวจ แต่คนเป็นลูกกลับไปไม่ได้เล่นด้วยเหมือนทุกครั้ง สีหน้าท่าทางของเขาดูกังวลจนคุณพรประภาอดที่จะถามออกมาไม่ได้
“มีอะไรเหรอการุณย์ ทำไมดูเคร่งเครียด”
“ผมพยายามโทร.หาพี่เกื้อแล้วครับ แต่ติดต่อไม่ได้ ไปที่คอนโดฯ ก็ไม่เจอ”
“แล้วที่บริษัทล่ะ ไม่อยู่เหรอ หรือว่าไปหาแล้วไม่เจอตัวเหมือนกัน”
“มันไม่อยู่หรอก ผมพึ่งไปมาวันนี้ เห็นเลขาบอกว่าเจ้าเกื้อไม่เข้าบริษัทสามวันแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าไปไหน”
“เอ๊ะ มันยังไงแล้วคุณ แล้วนี่การุณย์ติดต่อพี่เขาได้ล่าสุดเมื่อไหร่ลูก”
คุณพรประภาเอ่ยถามลูกชายคนเล็กของท่านด้วยความร้อนใจ ไม่รู้ว่าเกื้อกูลหายตัวไปไหน แล้วยังติดต่อไม่ได้แบบนี้คนเป็นแม่อย่างท่านก็เริ่มใจคอไม่ดี
“เมื่อวานครับ ตอนโทรไปเห็นบอกว่ากำลังกลับจากสุโขทัย”
“สุโขทัย ไปทำไม”
คราวนี้เป็นคุณเกรียงศักดิ์บ้างที่เป็นคนเอ่ยถามเพราะความสงสัย แต่ยังไม่ทันที่ท่านจะได้คำตอบโทรศัพท์มือถือของการุณย์ก็มีสายเรียกเข้า เขาจึงขอตัวออกไปรับให้ห่างออกมาจากบิดามารดาเพราะกลัวว่าจะเป็นเกื้อกูลที่อาจจะคุยกันในเรื่องที่กำลังปิดบังพวกท่านอยู่ แต่ทันทีที่รับสายเนื้อความที่คนโทร.เข้ามาบอกกับเขาก็ทำเอาชายหนุ่มถึงกับตกใจ
“คุณพ่อคุณแม่ครับ พี่เกื้อรถชนอยู่ที่โรงพยาบาล”
หลังจากได้ฟังความจากลูกชายคุณพรประภาไม่ใช่เพียงแค่ตกใจ แต่ท่านถึงกับเข่าอ่อนลงทันทีจนคนเป็นสามีต้องรีบเข้าประคอง
“เป็นอะไรมากมั้ยการุณย์ ตอนนี้พี่เขาเป็นยังไงบ้าง”
คุณเกรียงศักดิ์รีบถามทันทีที่พาภรรยามานั่งลงที่โซฟาแล้วเรียกหายาดมยาหอมจากแม่บ้านมาด้วยความร้อนใจ
“เห็นบอกว่าขับรถชนแผงลอยข้างทางครับ โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไรมาก แต่พี่เกื้อวูบหมดสติไปเพราะมีไข้สูง”
หลังจากนั้นไม่นานการุณย์และบิดามารดาก็พากันแห่ไปที่โรงพยาบาลทันทีด้วยความเป็นห่วงลูกชายคนโตของบ้าน
เมื่อเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยเข้ามาคุณพรประภาก็ถึงกับรีบถลาเข้าไปดู สองมือของคนเป็นแม่ลูบไล้ไปตามใบหน้าและสำรวจดูเนื้อตัวของลูกอย่างถี่ถ้วน โดยภาพรวมที่เห็นแล้วไม่เป็นอะไรมากนอกจากว่ามีแผลแตกที่หน้าผากเท่านั้น แต่ร่างกายกับใบหน้าของเกื้อกูลกลับดูซีดและโทรมลงไปถนัดตา ทั้งที่ท่านไม่ได้เจอหน้าเขาแค่เดือนกว่าเท่านั้นเอง
“นี่มันอะไรกันการุณย์ ทำไมพี่เราเป็นแบบนี้ล่ะ”
คุณพรประภาถามลูกชายคนเล็กของท่านพลางดึงเอามือของลูกชายคนโตขึ้นมาจับแล้วลูบคลำ ส่วนการุณย์เองไม่รู้จะต้องตอบผู้เป็นแม่ยังไงจึงได้แต่นิ่งเงียบ รอให้พี่ชายตื่นขึ้นมาแล้วอธิบายเองคงจะดีกว่า
“นัท..”
เสียงครางแผ่วเอ่ยเรียกหาคนที่อยู่ในความคิดผ่านออกมาจากริมฝีปากที่แห้งผาก จนคนที่อยู่ใกล้ฟังความได้ไม่ถนัดนัก
“อะไรนะ เกื้อ นี่แม่เองนะลูก ได้ยินแม่มั้ย เมื่อกี้ลูกว่าอะไรนะ”
คุณพรประภาบีบมือลูกชายแล้วพยายามจะฟังอีกครั้งว่าเขาพูดอะไร แต่เกื้อกูลก็เงียบไป จนกระทั่งการุณย์ขยับมาเรียกเขาที่ข้างเตียงอีกฝั่งถึงได้เห็นว่าชายหนุ่มพยายามจะลืมตา
“การุณย์ เจอนัทมั้ย”
ทันทีที่เห็นหน้าน้องชาย เกื้อกูลก็เอ่ยถามถึงคนที่เขาเฝ้าตามหาทันที จนคนเป็นพ่อแม่หันมองหน้ากันด้วยความสงสัย
“อะไร ทำไมตาเกื้อตื่นมาถึงถามหานัทเลย มีอะไรเหรอการุณย์”
คุณเกรียงศักดิ์ถามมาด้วยความแปลกใจ การุณย์มองหน้าพ่อของเขาแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะโทร.ตามพยาบาลให้มาดูอาการพี่ชายที่พึ่งตื่น แล้วจึงมานั่งสารภาพในเรื่องที่เกิดขึ้นให้พ่อกับแม่ฟัง
เกื้อกูลนอนหลับตาเมื่อคุณพรประภาเดินเข้ามาหาเขาที่เตียงอีกครั้ง หลังจากที่พยาบาลมาตรวจดูอาการเบื้องต้นแล้วก็ออกไปแล้ว
“ไหน จะเอายังไงบอกแม่มาซิ”
เขาลืมตาขึ้นมามองผู้เป็นแม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วตอบออกไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ผมจะไปตามหานัทครับ”
“ที่เจ็บอยู่นี่ก็เพราะตามอยู่ไม่ใช่เหรอ ตามมากี่เดือนแล้วล่ะ ป่านนี้แล้วยังไม่เจอเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้นัทกับหลานของแม่เขาจะเป็นยังไงกันบ้าง เกื้อนะเกื้อแม่อุตส่าห์ไว้ใจ เห็นว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว แล้วทำไมถึงได้ทำแบบนี้”
“ที่ว่าไปสุโขทัยมา ไปตามนัทเขาที่บ้านแม่มาเหรอ” คุณเกรียงศักดิ์ถามขึ้นมาบ้าง เพราะจำได้จากการุณย์ว่าเกื้อกูลพึ่งกลับมาจากสุโขทัย
“ครับ” คนเจ็บเอ่ยตอบเสียงเบา “แต่นัทเขาไม่ได้กลับบ้าน คุณแม่ของนัทก็ไม่รู้ว่านัทหายตัวไป”
“แล้วเกื้อได้บอกเขามั้ย”
“ไม่ได้บอกครับพ่อ”
“พี่เกื้อ”
การุณย์เดินกลับมาในห้องพักผู้ป่วยหลังจากออกไปโทรศัพท์อยู่สักพัก สีหน้าเขาดูตื่นเต้นจนคนนอนป่วยอยู่แทบจะทนรอฟังไม่ได้
“มีอะไรการุณย์ เจอนัทแล้วเหรอ”
“คุณปานโทรมาบอกว่าเมื่อบ่ายนี้เจอนัทที่ห้างแถวรังสิต”
“จริงเหรอการุณย์ แล้วนัทเขาเป็นยังไงบ้าง ปานเขาได้คุยกับนัทบ้างมั้ย”
เกื้อกูลขยับลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงด้วยอาการร้อนรน ข่าวที่การุณย์เอามาบอกทำเอากำลังเขาฟื้นขึ้นมาแทบจะทันที
“ใจเย็นก่อนพี่ คุณปานเขาไม่ได้คุยกับนัท แค่เห็นอยู่ไกลๆ แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราก็รู้แล้วว่านัทเขาอยู่แถวไหน ไม่ใช่หาไปเรื่อยอย่างทุกวันนี้”
“ให้คนไปตามดูให้พี่ทีการุณย์ ออกจากโรงพยาบาลแล้วพี่จะไปหาเขาเอง”
หลังกลับจากไปตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาล นภิศาขอให้ชิดชลช่วยพาไปซื้อของใช้ที่จำเป็นบางส่วนมาเก็บไว้เพื่อเตรียมไว้ให้ลูกหลังคลอด ถึงจะอายุครรภ์เจ็ดเดือนเข้าไปแล้วแต่ท้องของเธอก็ยังโตไม่ค่อยมาก แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวเล็กในท้องก็คงจะแข็งแรงมากทีเดียว เพราะตั้งแต่ที่อัลตราซาวด์จนรู้ว่าเป็นลูกชายพ่อหนุ่มน้อยในท้องของเธอก็แสดงวิทยายุทธโชว์คนเป็นแม่อยู่บ่อยๆ จนหลายครั้งที่เธอต้องเอนหลังรอให้เขาสงบก่อนถึงจะไปทำอะไรได้
“อีกสองสามวันพี่มีธุระไปต่างจังหวัด คงไม่ได้เข้าไปที่คลินิก ถ้าช่วงเลิกงานนัทก็ไม่ต้องไปขึ้นรถเมล์นะ ให้ขึ้นแท็กซี่เอา แล้วอย่ากลับค่ำล่ะ”
“ค่ะ ขอบคุณพี่ชลมากเลยนะคะ ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ นัทจะระวัง”
“เอ พี่ว่าไม่ดีกว่า ถ้านัทกลับเองพี่ไม่สบายใจเลย เดี๋ยวฝากขวัญเขาให้ช่วยมาส่งนัทที่คอนโดแทนพี่แล้วกัน”
“โธ่ พี่ชลคะ นัทกลับได้ค่ะ อย่าไปรบกวนพี่ขวัญเขาเลย”
นภิศาบอกอย่างเกรงใจ เธอไม่อยากรบกวนทั้งชิดชลและขวัญฤทัยพี่พนักงานประจำคลินิกของชิดชลที่ต้องคอยไปรับไปส่งเธอ ถึงแม้ทั้งสองคนจะบอกว่าเต็มใจเพราะเป็นห่วงแต่นภิศาเองกลับรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นภาระให้พวกเขาต้องลำบาก
“ตกลงตามนี้แหละ อย่าขัดใจพี่ เดี๋ยวพี่จะฟ้องหนูดีนะ”
คุณหมอชิดชลเอ่ยทีเล่นทีจริงพาดพิงถึงน้องสาว เพราะหลังแต่งงานกนกรัตน์ก็ได้มอบหมายให้เขาช่วยดูแลเพื่อนของเธอแทนเพราะตัวเธอเองต้องย้ายไปอยู่บ้านสามีที่ต่างจังหวัด ถึงแม้การดูแลนภิศาจะกลายเป็นเหมือนภาระผูกพันที่ชิดชลต้องรับผิดชอบแต่เขาก็เต็มใจ แม้จะรู้อยู่แล้วว่าในใจของหญิงสาวมอบให้เขาได้แค่ตำแหน่งพี่ชายก็ตามที
หลังจากที่ชิดชลกลับไปแล้วคุณแม่ท้องป่องก็กลับมานั่งมองข้าวของที่เธอพึ่งซื้อมา เกินครึ่งหนึ่งเป็นส่วนที่ชิดชลออกตัวจ่ายถึงแม้เขาจะบอกว่าซื้อให้หลานแต่มันก็ดูจะมากเกินไปสำหรับคนที่ไม่ได้มีความเกี่ยวพันกันในทางสายเลือดเลย
นภิศารู้ดีว่าชิดชลคิดอย่างไรกับตน และเธอเองก็ได้พูดเรื่องนี้กับเขาแล้วอย่างตรงไปตรงมาด้วยไม่อยากเอาเปรียบเขาในด้านความรู้สึกเพราะต้องการความช่วยเหลือ เหตุผลไม่ใช่แค่เธอลืมเกื้อกูลไม่ได้ แต่เธอไม่สามารถเอาเปรียบเขาได้ในทุกๆ ทาง ไม่ว่าจะเรื่องลูกที่เขาต้องมารับผิดชอบแทนคนอื่น หรือแม้แต่ภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะตามมาอีก ทุกวันนี้ในหลายเรื่องที่เขาให้ความช่วยเหลือมาเธอก็เกรงใจเหลือเกิน จนตอนนี้เริ่มคิดแล้วว่าถ้าคลอดลูกแล้วเธออาจจะย้ายที่อยู่อีกสักครั้งเพื่อไม่ให้เป็นภาระของใคร
“ถ้าหนูคลอดออกมาแล้ว เราจะไปอยู่ที่ไหนกันดีคะ เราจะกลับไปหาคุณยายกันดีมั้ย”
เธออยากถามลูกว่าจะเสียใจมั้ยถ้าจะพาเขาไปให้ไกลจากคนเป็นพ่อ แต่แค่คำว่าพ่อที่เอ่ยปากออกมาเพื่อคุยกับลูกเธอก็ไม่อยากเอ่ยให้เขาได้ยิน หากว่าลูกของเธอเกิดมาจนรู้ความแล้วรับรู้ว่าคนเป็นพ่อไม่ต้องการเขา เขาจะรู้สึกยังไง แล้วเธอต้องปลอบลูกหรืออธิบายให้ลูกฟังว่ายังไงดี
“ทำไมถึงได้ใจร้ายแบบนี้นะคุณเกื้อ”
เอ่ยลอยๆ ไปถึงเขาแต่น้ำตาเธอกลับหยดแหมะลงที่หลังมือในขณะที่กำลังลูบท้องสัมผัสลูกน้อยในครรภ์อยู่เบาๆ ยิ่งรู้สึกถึงการดิ้นที่สะเทือนถึงฝ่ามือน้ำตาคนเป็นแม่อย่างเธอก็ยิ่งไหล หนึ่งชีวิตที่กำลังจะเกิดมา หนึ่งชีวิตที่เป็นสายเลือดของเขาแท้ๆ ทำไมถึงได้คิดทำลายได้ลงคอ
การจากมาของเธอครั้งนี้เขาจะรู้สึกยังไงบ้าง นึกถึงกันบ้างมั้ย ใส่ใจกันบ้างหรือเปล่า ป่านนี้แล้วเขาก็ยังคงเงียบหาย ในขณะที่เธอเองนอนร้องไห้แทบทุกคืน ที่ผ่านมาเธอคงไม่มีค่าอะไรสำหรับเขาเลยนอกจากนางบำเรอคนหนึ่ง ที่คิดถึงก็มาหา มีค่าแค่ตอนที่เขาอยากนอนกับใครสักคน แล้วคนคนนั้นก็เป็นเธอที่เป็นเหมือนเมียบำเรอผูกขาด มีค่ามีตัวตนแค่ตอนอยู่ด้วยกันตามลำพัง นอกเหนือจากนั้นเธอก็แค่เด็กในอุปการะของแม่เขาก็เท่านั้นเอง
นภิศาปาดน้ำตาออกจากแก้ม แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นเพื่อจัดเก็บของให้เข้าที่ มีหลายๆ อย่างที่เธอต้องเตรียมไว้ เพราะลูกของเธอใกล้คลอดเต็มที ต่อไปนี้จะไม่คิดถึงเขาอีกแล้ว ชีวิตของเธอจะมีแค่ลูกเท่านั้น พอแล้วกับคนใจร้ายที่เดินหันหลังให้เธอไปในวันที่เธอร้องไห้อ้อนวอนขอเขาเก็บลูกไว้ นอกจากจะไม่ไยดีแล้ว เขายังทิ้งเธอเอาไว้ให้ฟูมฟายอยู่คนเดียว ไม่คิดจะเหลียวแลหรือแม้แต่คำโกหกปลอบโยนเหมือนที่ผ่านมา
เสียงครางงึมงำของเกื้อกูลที่ดังอยู่ข้างหูทำให้นภิศาหันมามอง คนที่นอนอยู่ข้างๆเธอเขายังคงหลับตา แต่ริมฝีปากก็ยังพึมพำอะไรบางอย่างที่เธอฟังไม่ค่อยชัด“คุณเกื้อคะ คุณเกื้อ ละเมอเหรอคะ คุณเกื้อคะ”เธอพยายามเขย่าปลุกเรียกให้ตื่น แต่เกื้อกูลก็ยังคงเพ้อไม่หยุด“ไม่ ไม่จริง ไม่ใช่ ไม่จริง มันไม่ใช่ความจริง”คราวนี้นภิศาได้ยินชัดเพราะเขาพูดคำเดิมซ้ำๆและดังขึ้นเรื่อยๆเหมือนกำลังเถียงกับตัวเอง นอกจากนั้นท่าทางของเกื้อกูลยังดูหวาดกลัวในสิ่งที่ตัวเขาเองกำลังปฏิเสธมันออกมา“คุณเกื้อคะ คุณเกื้อ ตื่นค่ะ คุณเกื้อ เพี๊ยะ!!”เมื่อเห็นว่าแค่ปลุกเรียกเขาคงไม่ตื่น เธอจึงฟาดฝ่ามือลงที่ท่อนแขนที่โผล่พ้นเสื้อกล้ามออกมาเต็มแรง ทำเอาคนที่กำลังหลับละเมอสะดุ้งตื่น เขาหันมามองหน้าเธอสีหน้างงงวย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นภิศาจึงอธิบายให้ฟังว่าเขาละเมอ เธอพยายามปลุกอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ยอมตื่นเลยต้องฟาดฝ่ามือตีแรงๆ“พี่ละเมอเหรอ”“ค่ะ คุณเกื้อละเมอ จำได้มั้ยคะว่าละเมอว่าอะไร นัทได้ยินคุณเกื้อบอกว่าไม่ ไม่จริง
เค้กช็อคโกแลตก้อนใหญ่ปักเทียนเอาไว้โดยรอบ ถูกยื่นมาตรงหน้าของเจ้าหนูกุลกานต์ ที่ตอนนี้นั่งอยู่บนเก้าอี้เด็ก รายล้อมไปด้วยปู่ย่า พ่อแม่ และอา รวมทั้งคนงานในบ้านทุกคน ต่างมาร่วมอวยพรและร้องเพลงวันเกิดให้ ทำเอาน้องกานต์ชอบใจปรบมือแปะๆตามทุกคน ปากก็ร้องงึมงำงึมงำตามไม่เป็นภาษา จนเมื่อเพลงจบเกื้อกูลจึงบอกให้ลูกเป่าเค้ก พ่อกับแม่ช่วยกันเป่าดับไปแล้วบางส่วน เจ้าตัวเล็กเห็นแบบนั้นก็เอาบ้าง เป่าลมพรูออกจากปากจนน้ำลายกระเด็น แต่เทียนก็ยังดับไม่หมดจนคนเป็นพ่อต้องช่วยเป่าแทนอีกรอบ พอเทียนดับหมดน้องกานต์ก็ปรบมือแปะๆชอบใจ“หนึ่งขวบแล้วนะครับหลานย่า”คุณพรประภาก้มจูบลงที่ศีรษะของหลานรักด้วยความเอ็นดู คนเป็นปู่ก็ยื่นมือมายีหัวอย่างรักใคร่ ใครต่อใครต่างเข้ามาห้อมล้อมเต็มไปหมด จนเจ้ากานต์น้อยไม่รู้จะหันไปมองใคร จึงทำได้แต่กวักมือเรียกหาแม่อยู่ไหวๆ“แหมะๆๆ แหมะ”การุณย์ได้ยินหลานเรียกแม่แบบนั้นก็ขำใหญ่ หัวเราะงอหายท้องขดท้องแข็ง“โธ่ เจ้าอ้วนหลานอา นั่นแม่นะลูก ไม่ใช่แพะ จะมาเรียกแหมะๆแบบนั้นไม่ได้ ไหนเรียกใหม่ซิ แม่ เรียกเร็วเรียก แม่ ไ
หลายวันผ่านไปห้องของเกื้อกูลที่รีโนเวทไว้ก็เรียบร้อย จากที่ตั้งใจจะเร่งให้เสร็จโดยไวแต่ก็ทิ้งระยะไปเป็นเดือนเพราะเตียงไซน์ใหญ่ที่เขาสั่งทำขึ้นมาใหม่ยังไม่พร้อมโชคดีเป็นของชายหนุ่มอยู่บ้างที่ระหว่างรอนั้นเขาคืนดีกับนภิศาได้แล้ว จึงทำให้มีที่หลับนอน ไม่อย่างนั้นก็คงต้องอาศัยห้องของการุณย์แล้วคอยตื้อขอนอนห้องเธออยู่อย่างนั้นจนกวาจะใจอ่อนวันนี้เกื้อกูลสั่งให้คนในบ้านช่วยกันย้ายข้าวของของนภิศากับลูกมาไว้ที่ห้องนอนของเขาจนเกลี้ยง แน่นอนว่าเกลี้ยงชนิดที่กลับมานอนอีกไม่ได้ แม้แต่ข้าวของเครื่องใช้บางอย่างเขาก็ยกให้คนงานในบ้านแบ่งกันเอาไปใช้ให้หมดเพราะเกื้อกูลคิดไว้แล้วว่าหากเผลอทำอะไรให้นภิศางอน จะต้องไม่มีห้องให้เธอหอบลูกหนีมานอนแยกกับเขาได้อีกหลังจากจัดแจงทุกอย่างเสร็จสรรพ รวมทั้งช่วยกันกับอินทรยกชั้นออกไปไว้ที่ห้องพักเขาก็เดินกลับเข้ามาในบ้าน พอเดินผ่านห้องนั่งเล่น พ่อกับแม่ของเขาก็เรียกให้เข้าไปหา“พ่อกับแม่มีอะไรจะคุยกับผมหรือเปล่าครับ”“มีสิ” คุณพรประภาเป็นคนตอบ ก่อนจะมองหน้าแล้วเอ่ยถามลูกชายด้วยสีหน้าจริงจัง&l
“อ๊ะ! อ๊า คุณเกื้อเบาๆ ค่ะ นัทเจ็บ”นภิศาห่อไหล่ครางซี้ดซ้าด ทั้งเจ็บทั้งเสียวจากแรงดูดดึงและขบเม้มของเกื้อกูล เขาผละจากอกอิ่มข้างหนึ่งมาดูดดึงอีกข้างหนึ่งจนพอใจ จึงลุกขึ้นมาถอดทิ้งเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมดก่อนจะโน้มลงคร่อมร่างของเธอเอาไว้แล้วกดจูบลงไปที่สองข้างแก้ม ริมฝีปาก ปลายคาง ซอกคอ หัวไหล่ซ้าย หัวไหล่ขวา ลูบไล้ไปทั่วผิวกายอ่อนละมุน กดจูบดอมดมไปทั่วทุกอณูเนื้อนวลสัมผัสแผ่วเบาของเขาลากเรื่อยไปตามผิวกายของนภิศาจูบไล่ลงมาตามร่องอก เคลื่อนริมฝีปากลงต่ำมาจนถึงสะดือเล็ก แล้วช้อนตาขึ้นมองเธออีกครั้งก่อนจะวางฝ่ามือลงที่หว่างขา ลูบไล้ไปมาเบาๆ ทำเอานภิศาถึงกับต้องกัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่นหัวใจสั่นไหวในตอนที่เขาจ้องมอง“อยากให้พี่ทำยังไงครับ”เกื้อกูลเอ่ยถามเสียงพร่า นภิศาปิดปากส่ายหน้า ไม่รู้ว่าจะต้องตอบเขาว่ายังไง ไม่ว่าเขาจะทำอะไรให้เธอก็ยินยอมทั้งนั้นเกื้อกูลยิ้มในหน้า ฝ่ามือของเขายังคงลูบไล้อยู่ที่กลุ่มใหมบางของเธอไปมา ก่อนจะกดปลายนิ้วเข้าหาความฉ่ำชื้นที่กำลังเอ่อไหลแล้วค่อยจมมิดหายเข้าสู่กายสาวถึงสองนิ้วพร้อมกันอย่างช้าๆ“อ๊ะ..อื้อ..คุณเกื
หนึ่งอาทิตย์ถัดจากนั้นคุณหมอชิดชลก็ถูกเชิญให้มาทานข้าวที่บ้านประชาพิพัฒน์ด้วยคำชวนของคุณพรประภา ทันตแพทย์หนุ่มยังคงงงงวยอยู่ไม่น้อยที่หลังจากที่เขามาพบนภิศาไม่นาน เธอกับเกื้อกูลก็คืนดีกัน ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าทั้งสองคนยังรักกันอยู่ แต่คุณหมอชิดชลก็ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นเร็วจนเขานึกไม่ถึง“ว่าไงครับเจ้าลูกหมู น้องกานต์ลูกพ่อชล มาหาพ่อหน่อยมา คิดถึงจังเลยลูก”เมื่อเห็นนภิศาอุ้มลูกชายเข้ามาหาคุณหมอหนุ่มก็ไม่รอช้าที่จะขออุ้มทันที เพราะตอนนี้เจ้าหนูกุลกานต์พึ่งอาบน้ำประแป้งมาซะตัวหอมเลยทีเดียวพอรับเจ้าลูกหมูมาไว้ในอ้อมแขนก็จัดการฟัดแก้มซ้ายขวาเอาซะหน้าคุณหมอหนุ่มติดแป้งขาวตามลูกชายของเขาจนนภิศาอดขำไม่ได้“อะ แฮ่ม!!”เสียงกระแอมที่ดังอยู่ไม่ไกลทำให้คุณหมอชิดชลเงยหน้าจากการฟัดแก้มยุ้ยขึ้นมามอง เห็นเกื้อกูลเดินมาหยุดซ้อนหลังแม่เจ้าอ้วนแล้วมองที่เขาตาขุ่นขวางก็เอ่ยทักทาย“เป็นไงบ้างครับคุณเกื้อกูล ดูเหมือนว่าลูกชายของเราจะโตวันโตคืนเชียวนะครับ”เอ่ยกับคนเป็นพ่อแล้วอุ้มเอาลูกเขาตรงไปที่ห้องรับแขกที่คุณพรประภาและคุณเกรียงศักดิ์นั่งรออยู่
เช้าวันใหม่สำหรับเกื้อกูลวันนี้เป็นเช้าที่สดใสที่สุดตั้งแต่มีชีวิตเกิดมาสามสิบกว่าปี ในอ้อมแขนของเขาคือเจ้าหนูกุลกานต์ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนในวัยห้าเดือนเศษ เขาตื่นมาพาลูกออกมาเดินเล่นที่สวนหน้าบ้านตั้งแต่ฟ้าเริ่มสาง ปล่อยให้นภิศาจัดการกิจวัตรของเธออยู่ในห้องเพียงลำพัง“ว่าไงครับลูกพ่อ หนูอยากไปไหนอีกมั้ย เมื่อยหรือยังลูก หืม หนูเมื่อยหรือยังครับ”“แอ้แอ้”เจ้าหนูน้อยนี่ก็ช่างเอาใจพ่อเก่ง พ่อพูดพ่อคุยอะไรมาก็ตอบรับอ้อแอ้ไปซะหมด ยิ่งทำให้เกื้อกูลได้ใจไปใหญ่ ถึงจะมีบางครั้งที่มือน้อยๆ นั้นจะยังหันมาฟาดหน้าพ่ออยู่บ้างแต่ก็ไม่เป็นไร เขาทนได้ถ้าลูกเขาชอบ“นั่นคุณเกื้ออุ้มน้องกานต์อยู่เหรอคะ”น้ำพลอยที่เดินผ่านมาเห็นเอ่ยถามด้วยความสงสัยท่าทางของเธอดูจะตกใจมากกว่าประหลาดใจเสียด้วยซ้ำ“ก็ใช่น่ะสิ ทำไม ก็ลูกฉัน ฉันจะอุ้มลูกตัวเองออกมาเดินเล่นบ้างไม่ได้เหรอ”“แต่คุณเกื้อถูกสั่งห้ามไม่ให้แตะต้องน้องกานต์นะคะ”“นั่นมันเป็นคำสั่งเก่า ตอนนี้นัทเขายอมให้ฉันแตะลูกได้แล้ว จริงมั้ยครับลูกพ่อ หืม น้องกานต์ชอบอยู่กับพ่อมั้ยครับลูก”ตอบก