ดวงตาของเด็กน้อยเหม่อมองไปทางหน้าต่าง ขณะที่หมอหลวงกำลังตรวจชีพจรให้
หมอหลวงถอนหายใจอย่างโล่งอก “ตอนนี้ท่านหญิงใหญ่พ้นขีดอันตรายแล้ว ให้ดื่มยาอีกสามเทียบและให้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ก็หายดีแล้ว”
แล้วก็กำชับกับพี่เลี้ยงของท่านหญิงอีกสองสามประโยค
ชุนลี่พยักหน้า แล้วเดินออกไปส่งหมอหลวงที่หน้าตำหนัก
เมื่อไม่มีใครอยู่ในห้อง หลินเฟยหลันก็ถอนสายตาตัวเองกลับมา
สามวันก่อนหน้า นางมีเรื่องทะเลาะกับน้องสาวต่างมารดา จนเป็นเหตุให้นางตกน้ำแล้วหมดสติ
ในระหว่างที่หลับใหล นางฝันถึงเหตุการณ์หลายอย่าง ซึ่งเกี่ยวพันกับตัวนางเองทั้งสิ้น
สิ่งที่ได้เห็นในฝันนั้นน่ากลัวนัก นางพยายามที่จะลืมตาตื่นจากฝันร้าย หากแต่ทำไม่ได้ จนมาถึงเหตุการณ์สุดท้ายที่นางได้เห็นตัวเองถูกลากไปตัดหัวต่อหน้ามารดา
ราวกับว่านางและตัวของนางในฝันหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว เมื่อคมดาบตวัดลงมาที่ลำคอ นางก็ได้สติขึ้นมาพร้อมกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
หมอหลวงจึงถูกตามตัวกลางดึกอย่างกะทันหันเพื่อมาตรวจอาการ
นางพยายามที่จะอธิบายสิ่งที่อยู่ในฝันร้ายให้ทุกคนฟัง หากแต่พวกเขาไม่รับฟัง และแอบไปนินทาหาว่านางสติฟั่นเฟือน
ดังนั้น นางจึงปิดปากเงียบ
อย่างไรเสีย ด้วยนิสัยเอาแต่ใจของนางก็ทำให้บ่าวไพร่เอือมระอาอยู่แล้ว
หยดน้ำตาไหลออกจากหางตาของเด็กน้อย
ในตำหนักอันกว้างใหญ่ ไม่มีอะไรที่นางอยากได้แล้วไม่ได้ หากแต่ว่าตอนนี้ เหตุใดจึงรู้สึกว่า โดดเดี่ยวเหลือเกิน
รุ่งเช้า
หลังจากดื่มยา ปากเล็กของคนป่วยก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “วันนี้เป็นวันอะไร”
“วันที่สิบเพคะ ท่านหญิงหมดสติไปสามวัน บ่าวกังวลใจยิ่งนัก แต่พอท่านหญิงฟื้นขึ้นมา บ่าวก็โล่งใจเพคะ” ชุนลี่ตอบด้วยน้ำเสียงแช่มชื่น
เด็กน้อยถามต่อด้วยน้ำเสียงเศร้า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ไปไหนหมด เหตุใด...”
“พระชายายังถูกกักบริเวณที่เรือนเพคะ ส่วนท่านอ๋องพาชายารองกับท่านหญิงรอง ท่านชายสาม ไปงานล่าสัตว์เพคะ ออกเดินทางเมื่อวานนี้ ท่านหญิงอย่าน้อยพระทัยไปเพคะ ท่านอ๋องและพระชายารองล้วนเป็นห่วงท่านหญิงทั้งนั้น เพียงแต่ว่า ฮ่องเต้ก็มีรับสั่งให้ท่านอ๋องไปร่วมงานให้จงได้ ท่านอ๋องจึงไม่อาจขัดพระประสงค์ได้เพคะ” ชุนลี่พยายามอธิบายให้ท่านหญิงของตนเข้าใจได้ง่าย
หากเป็นเมื่อก่อน หลินเฟยหลันคงเชื่อเช่นนั้น แต่หลังจากที่ตื่นจากฝันร้าย ความรู้สึกของนางก็เปลี่ยนไป
เห็นท่านหญิงพยักหน้า ชุนลี่ก็ลอบถอนหายใจ
ราวหนึ่งเค่อที่ร่างเล็กหลับ ชุนลี่กับบ่าวทั้งสองก็ถอยออกมาเพื่อให้ผู้เป็นนายได้พักผ่อน เหลือไว้เพียงบ่าวสองคนให้ยืนเฝ้าที่หน้าประตูห้อง
ลับหลังชุนลี่ร่างเล็กที่หลับก็ลืมตาขึ้นมา แววตาของเด็กน้อยสั่นไหว มือเล็กยกขึ้นมาตบที่แก้มตนอย่างแรงอยู่สองที
อูยยยย เจ็บ
ไม่ใช่ความฝันหรอกรึ
เทศกาลล่าสัตว์? เหตุใดจึงเหมือนที่อยู่ในฝัน
เสด็จแม่ถูกกักบริเวณ เพราะเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่นาง และพวกเขาสี่คนก็ไปร่วมงานเทศกาลล่าสัตว์ โดยไม่มีใครสนใจนางเลย
ซึ่งมันเหมือนกับในฝันของนางทุกอย่าง
สองคืนมานี้ หลินเฟยหลันรู้สึกหวาดระแวงไปหมดราวกับคนฟั่นเฟือน แต่เมื่อถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวก็ทำให้นางเริ่มได้สติ
ทุกอย่างเหมือนกับที่อยู่ในฝันของนาง แม้แต่คำพูดของชุนลี่ก็เช่นกัน
มาถึงตรงนี้ หลินเฟยหลันไม่รู้ว่าต้องจัดการกับความรู้สึกนี้อย่างไร
นางอายุเพียงสิบสองขวบนะ จะให้คิดอะไรได้ นางไม่ได้เก่งกาจเหมือนเสด็จแม่นี่
เสด็จแม่ เอ๊ะ...ใช่แล้ว เสด็จแม่ ข้าต้องไปหาเสด็จแม่
ว่าแล้วร่างเล็กก็ก้าวรัวๆ ออกไปจากห้อง จนบ่าวหน้าห้องวิ่งตามแทบไม่ทัน
เท้าเล็กวิ่งไปยังเรือนของมารดาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
แต่เมื่อถึงหน้าเรือนของมารดา ท่านหญิงตัวน้อยกลับถูกห้ามโดยทหารองครักษ์ “ท่านอ๋องมีรับสั่งกักบริเวณพระชายา ห้ามผู้ใดเข้าออกพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ากล้าขวางข้างั้นรึ” ท่านหญิงตัวน้อยตวาดลั่น
แต่ทหารองครักษ์ก็ยังคงยืนกราน “ท่านหญิงใหญ่ได้โปรดกลับเรือนไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่ไป ข้าจะพบเสด็จแม่” ว่าแล้วนางก็กระทืบเท้าอย่างเอาแต่ใจเหมือนเช่นเคย
เหล่าทหารต่างพากันหันหน้าหนีอย่างเอือมระอากับท่าทีของท่านหญิงใหญ่ผู้นี้
นางช่างเอาแต่ใจนัก
“เสด็จแม่ เสด็จแม่ ฮือ ฮือ คนพวกนี้รังแกลูก ฮือ เสด็จแม่ ช่วยลูกด้วย แง้”
เสียงร้องเรียกหามารดาดังลั่นเข้าไปถึงห้องด้านใน บ่าวคนสนิทของพระชายาจึงออกมาดู
เมื่อเห็นว่าเป็นท่านหญิงของตน นางก็รีบเข้าไปรายงานผู้เป็นนาย
“เกิดอะไรขึ้น” เมื่อเสียงทรงอำนาจของพระชายาเสวียนดังขึ้น เหล่าทหารและนางกำนัลต่างพากันคุกเข่าลง
แม้พระชายาจะไม่เป็นที่โปรดปราน หากแต่ตำแหน่งที่นางดำรงอยู่ก็ใช่ว่าบ่าวอย่างพวกเขาจะปฏิบัติอย่างไรก็ได้
“พระชายา”
“ฮึก เสด็จแม่” ท่านหญิงใหญ่ยกมือเช็ดน้ำตาที่เปื้อนเปรอะใบหน้า
ถ้อยคำที่กำลังจะตำหนิบุตรสาวที่แต่งกายไม่เรียบร้อยถูกกลืนลงท้องไปเมื่อเห็นน้ำตาที่เปรอะเต็มใบหน้าพร้อมกับเสียงเสียงสะอื้นไห้
และเมื่อเห็นรอยเลือดที่ซึมเปื้อนกางเกงตรงหัวเข่าของบุตรสาว นางก็ถลาเข้าไปหาร่างเล็กทันที “หลันเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น”
ทันทีที่สัมผัสถึงมืออันอบอุ่นของมารดา ท่านหญิงตัวน้อยก็วูบลงในอ้อมกอดทันที
“หลันเอ๋อร์”
หลินเฟยหลันค่อยๆ ปรือตาขึ้น แสงจากดวงจันทร์ที่ส่องลอดหน้าต่างทำให้พอจะมองเห็นได้บ้าง
นี่ไม่ใช่ห้องของนาง แต่เป็นห้องของมารดา
และตัวนางนอนอยู่ใต้อ้อมกอดของมารดา
คิ้วน้อยๆ ย่นเข้าหากัน และต้องสะดุ้งเมื่อมารดาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “น้องชายไม่สบาย อย่าได้ส่งเสียงดัง”
ร่างเล็กจึงขยับเข้าไปกอดมารดาเอาไว้แน่น แล้วซุกใบหน้าเจ้าหาอกนุ่มอันอบอุ่น
พระชายาเสวียนขมวดคิ้ว เมื่อสัมผัสได้ถึงร่างบางของบุตรสาวที่สั่นสะท้านราวกับกำลังกลัวอะไรบางอย่าง นางจึงกระชับอ้อมกอดให้แน่นกว่าเดิม พลางลูบหลังเพื่อปลอบ
เสียงเพลงกล่อมจากมารดา ทำให้หลินเฟยหลันรู้สึกสงบใจจนหลับไปในอีกครึ่งเค่อต่อมา
เมื่อคืนกว่าจะได้หลับจริงๆ ก็เลยครึ่งคืน ทำให้พระชายาเสวียนตื่นสายกว่าปกติ เมื่อร่างเล็กในอ้อมกอดหายไป ก็พาให้หัวใจบีบรัดขึ้นมาเล็กน้อย
ได้แต่ปลอบใจตัวเอง
หนิงอ้ายได้ยินเสียงขยับกายของผู้เป็นนาย จึงเข้าไปปรนนิบัติ “บ่าวดีใจเหลือเกินที่พระชายาหลับได้สนิท เป็นเช่นนี้ทุกวันคงจะดีไม่น้อยเพคะ”
แต่เสวียนเยี่ยนฟางกลับถอนหายใจยาว
จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อ...
คิดแล้วก็ถามหาบุตรชาย “ฉีเอ๋อร์เล่า”
บ่าวคนสนิทจึงตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดี “เสวยมื้อเช้ากับท่านหญิงใหญ่เพคะ ท่านหญิงใหญ่ลงมือทำด้วยพระองค์เอง ล้วนมีแต่ของโปรดของท่านชายน้อยทั้งนั้น แล้วก็ยังมีของโปรดของพระชายาด้วยนะเพคะ”
เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับ คุณหนูหลายคนก็ยังไม่อยากจะกลับ เพราะอยากจะอยู่คุยกับพี่สาวหลิน จนหลินเฟยหลันต้องรับปากว่า อีกครึ่งเดือนจะเชิญมาที่จวนอีก ดรุณีน้อยจึงยินยอมอย่างว่าง่ายเสวียนเยี่ยนฟางรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ครั้งนี้ชื่อเสียงของบุตรสาวเป็นไปในทางที่ดี ทั้งสิบตระกูลมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา แม้ไม่สามารถเกี่ยวดองกันได้ แต่หากสามารถสร้างสายสัมพันธ์ที่ดี บุตรสาวของนางย่อมไม่เสียเปรียบ ส่วนบุตรชายก็พลอยได้รับประโยชน์ไปด้วยเมื่อส่งทุกคนกลับไปหมดแล้ว นางจึงเอ่ยกับบุตรสาว “ดึกแล้วไปพักผ่อนเถอะ วันนี้ลูกคงเหนื่อยมาก”หลินเฟยหลันจึงกอดเอวมารดาอยา่งออดอ้อน “เพคะ เชื่อฟังเสด็จแม่ รักเสด็จแม่ที่สุดเลย”หลินเฟยฉีก็ไม่ยอมหน่อยหน้าพี่สาว “ฉีเอ๋อร์ ก็รักเสด็จแม่ เชื่อฟังเสด็จแม่เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”“แม่ก็รักลูกทั้งสองคนเช่นกัน” เสวียนเยี่ยนฟางไม่หวงที่จะบอกรักบุตรทั้งสองนางได้รับคำแนะนำจากพี่สะใภ้ไม่น้อย เมื่อทำตามก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกนั้นดีขึ้นมากหลังจากที่ส่งน้องชายเข้าเรือน หลินเฟยหลันก็กลับไปยังเรือนของตัวเองที่อยู่อีกฝั่ง โดยมีจูฉีเดินตามหลังแต่เมื่อเดินผ่านตรงบริเวณสระน้ำ
แล้วฮ่องเต้อนุญาตให้พระชายาเสวียนย้ายไปพำนักที่จวนแถวชานเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้ชาวเมืองที่เห็นขบวนอันยาวเหยียด จึงสอบถามจากคนเฝ้าประตูก็ได้ความว่า ท่านหญิงหลินได้รับบาดเจ็บต้องพักรักษาตัว พระชายาเสวียนเกรงว่า ท่านหญิงหลินจะเบื่อที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้อง จึงย้ายที่ประทับไปที่จวนชานเมืองเป็นการชั่วคราวแม้ว่าฮ่องเต้จะออกคำสั่งห้ามแพร่งพราย แต่ปากคนหรือจะห้ามได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่องค์ชายสี่ดูแคลนท่านหญิงหลิน หรือเรื่องที่ท่านหญิงหลินและท่านชายหลินถูกองค์หญิงเก้าทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บหนัก ต่างแพร่สะพัดในเขตราชวังขุนนางที่มาร่วมประชุมในช่วงเช้าต่างก็พลอยได้ยินข่าวลือไปด้วยกำแพงล้วนมีหู ประตูย่อมมีช่องไม่นาน เรื่องราวก็กระจายไปทั่วเมืองหลวงฮองเฮาต้องปิดตำหนัก เว้นการให้สนมเข้าคารวะเป็นเวลาหนึ่งเดือนส่วนพระสนมชุนต้องปิดตำหนักเงียบเช่นกันองค์ชายสี่และองค์หญิงเก้า ถูกลงโทษเพียงแค่กักบริเวณในตำหนักเท่านั้นทำให้ขุนนางหลายฝ่ายเคลื่อนไหว เพราะท่านหญิงหลินถือเป็นคนในราชวงศ์เช่นกัน การที่ถูกดูแคลนจากคนของราชวงศ์ ขุนนางฝ่ายของเสนาบดีเสวียนย่อมไม่พอใจ ส่วนขุนนางฝ่ายตรงข้ามกับฮองเฮาและพระสนมช
“เสด็จแม่ น้องเป็นอย่างไรบ้าง” หลินเฟยหลันเปิดปากถามด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงหลินเฟยฉีกุมมือพี่สาวเอาไว้ “พี่หญิง ฉีเอ๋อร์ปลอดภัย ฮึก”เสวียนเยี่ยนฟางลูบศีรษะของบุตรสาว พร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พักผ่อนเสียก่อน อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย”แต่หลินเฟยหลันกลับร้องไห้สะอื้น นางเอ่ยกับมารดาด้วยน้ำเสียงสั่น “เสด็จแม่ ลูกเจ็บ ที่นี่น่ากลัวเหลือเกินเพคะ มีแต่คนเกลียดพวกเรา ฮึก...องค์ชายสี่ บอกว่าลูกร้ายกาจ บอกลูกว่าไม่คู่ควรเป็นเชื้อพระวงศ์ ลู่ฟางซินต่างหากที่สมควรอยู่ในตำแหน่งท่านหญิงแห่งชินอ๋อง ฮึก..หากเปลี่ยนเป็นลู่ฟางซินกับลู่เฟยเทียน คงจะมีแต่คนรัก ฮืออออ...เสด็จแม่ ลูกไม่เป็นแล้วท่านหญิง ไม่เป็นแล้ว..ลูกจะไปอยู่กับท่านตา ไปเป็นคุณหนูเสวียน พาลูกกลับ ลูกกลัว พาลูกไปอยู่กับท่านตานะเพคะ ฮือออออออ”เห็นน้ำตาที่ไหลออกมาราวกับสายน้ำ ทำเอาเสวียนเยี่ยนฟางสะท้านในใจ จึงตอบ “ได้ๆ พวกเรา จะไปอยู่กับท่านตา”นางมิได้ล้อเล่น คนพวกนี้ทำร้ายร่างกายบุตรสาวนางยังไม่พอ ยังมาพูดจาทำร้ายจิตใจบุตรสาวของนางอีกคิดว่าข้าอยากเป็นเชื้อพระวงศ์นักรึ!องค์ชายสี่องค์หญิงเก้าอย่าหาว่าข้ารังแกเด็กก็แล้วกัน!หมอหลวงหญิงและ
“พี่หญิงเขาไปแล้ว แล้วเราจะไปดูปลาที่ไหน” หลินเฟยฉีสะกิดพี่สาว เขาไม่ได้สนใจการมากันไปของผู้ใดทั้งสิ้น เขามีเพียงพี่สาวเท่านั้น ในเมื่อองค์ชายสี่ไม่ใยดีต่อพี่สาว เขาก็ไม่จำเป็นต้องให้ความเคารพแก่องค์ชายผู้นี้เช่นกันหลินเฟนหลันมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นนางกำนัลสองคนกำลังเดินมา นางจึงเอ่ยกับน้องชาย “เช่นนั้นเราลองถามนางกำนัลเถอะว่าสระที่มีปลาอยู่แถวไหน”ไม่ช้าสองพี่น้องก็ได้คำตอบนางกำนัลสองคนของตำหนักฮองเฮา รู้ว่าทั้งสองเป็นบุตรของพระชายาเสวียน จึงนำทางสองพี่น้องมายังบ่อปลาของฮ่องเต้ทั่วพระราชวังย่อมรับรู้ว่า พระชายาเสวียนและบุตร ต่างได้รับป้ายทองพระราชทาน พวกนางที่พาท่านหญิงและท่านชายมาที่นี่ ย่อมไร้ความผิดเห็นปลาตัวโตสีขาว แต่มีลวดลายหลากสี ไม่ว่าจะเป็นสีส้ม สีแดง หรือบางตัวก็มีสีเหลืองแซม แหวกว่ายไปมา หลินเฟยฉีที่เพิ่งมีโอกาสได้เห็นจึงรู้สึกตื่นเต้น เขาวิ่งทางที่ปลาแหวกว่ายไปอย่างร่าเริงในอุทยานหลวงแห่งนี้เต็มไปด้วยดอกไม้ที่งดงาม ผีเสื้อหลากสีสันก็ต่างเข้ามาดอมดม หลินเฟยหลันเองก็รู้สึกว่าอยากจะวิ่งเล่นแบบนั้นบ้าง หลังจากที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องเพราะต้องพิษมาเป็นเวลานาน ตอนนี้มารด
เมื่อจับร่างอันบอบบางขอบบุตรสาวหันซ้ายหันขวาขวาอยู่หลายครั้งจนพอใจ เสวียนเยี่ยนฟางก็พยักหน้า ทำให้หลินเฟยหลันต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกฮองเฮามีประสงค์ให้ทั้งสามเข้าเฝ้า นางก็ถูกมารดาจับแต่งตัวมาเกือบหนึ่งชั่วยาม เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกก็ยังไม่ถูกใจมารดาของนางเสียที หลินเฟยฉีที่นั่งกินขนมรอจนอิ่ม เขาแทบจะหลับไปอีกรอบรถม้าของพระชายาเสวียนมาถึงประตูพระราชวัง หลังจากได้รับการตรวจตราพอเป็นพิธี ทหารองครักษ์ก็นำทางทั้งสามไปยังทางเข้าพระราชวังฝ่ายในเส้นทางที่แคบ กำแพงสูงที่ขนาบตลอดทางเดินสร้างความกดดันให้หลินเฟยฉีไม่น้อย คิ้วของเขาขมวดยุ่งราวกับปมเชือกพอมาถึงประตูทางเข้าพระราชวังฝ่ายใน ทหารองครักษ์ที่นำทางก็ขอตัวกลับ พวกเขาไม่สามาถเข้าไปภายในเขตของฝ่ายในได้สามแม่ลูกเดินต่อไปจนถึงตำหนักของมารดาแผ่นดิน โดยที่ไม่มีแม้แต่นางกำนัลจะนำทางสีหน้าของพระชายาเสวียนยังคงเรียบเฉย นางไม่รู้สึกยินดียินร้ายที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ หากแต่ทดความโมโหนี้ไว้ในใจ โดยเฉพาะเจ้าของตำหนัก ที่ทำให้บุตรทั้งสองคนของนางต้องพลอยลำบากไปด้วยสองพี่น้องเหงื่อผุดเต็มใบหน้า พระชายาเสวียนมองภาพผู้เป็นพี่สาวใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเห
หลังจากที่รับสำรับมื้อเที่ยง ผู้ใหญ่จึงปล่อยให้เด็กๆ ได้เล่น ได้พูดคุยกัน เพื่อให้สนิทสนมกันมากขึ้น ส่วนพวกเขาก็นั่งอยู่ที่ศาลาแปดเหลี่ยมไม่ไกลจากสวนที่เด็กๆ เล่นอยู่เสวียนไห่จึงเอ่ย “เรื่องราวร้ายๆ ก็ผ่านไปแล้ว พี่ใหญ่ น้องเล็ก อย่าได้โทษตัวเองอีกเลย ท่านพ่อเองก็ไม่สบายใจที่ทั้งสองยังโทษตัวเองอยู่จนถึงทุกวันนี้”เสวียนเกาจึงหันไปสบตากับเสวียนเยี่ยนฟาง แล้วทั้งสองก็พยักหน้าเป็นเชิงรับปากเสียนหมิ่นจึงถามขึ้น “เอาล่ะเรื่องร้ายก็ผ่านไปแล้ว ต่อไปเจ้าจะทำอย่างไรน้องเล็ก ในเมื่อไม่สามารถหย่าขาดจากหลินเฉิงจวินได้”เสวียนเยี่ยนฟางถอนหายใจ “ข้ามาลองคิดดูแล้ว ตอนนี้อาจจะยังเป็นเวลาที่ไม่เหมาะสมที่จะหย่าขาดกับหลินเฉิงจวิน เพราะอย่างไรเสีย ข้าก็อยากให้หลันเอ๋อร์ได้ออกเรือนในฐานะบุตรสาวของชินอ๋อง”เสวียนเกาพยักหน้าเห็นด้วย พลางเอ่ยเสริม “พี่เห็นด้วย อย่างน้อยหากพี่และท่านพ่อถอนตัวจากราชสำนัก ฐานะบุตรีของชินอ๋องยังสามารถทำให้หลันเอ๋อร์ได้แต่งเข้าในตระกูลที่ดีได้”“แต่สิ่งที่ต้องระวังคือสมรสพระราชทานกับองค์ชาย”แค่เพียงเห็นใบหน้าของหลานสาว อีกไม่กี่ปีก็จะกลายเป็นโฉมสะคราญเช่นเดียวกับมารดา ก็ทำให้ท