งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างสนุกสนาน อย่างไรก็ตาม หญิงสาวทั้งหลายและชายหนุ่มทั้งปวงก็ได้แต่มองกันห่าง ๆ จนกระทั่งเสนาบดีกรมคลังกล่าวเชิญแขกทุกท่านร่วมสนุกแข่งขันยิงธนู โดยไม่แบ่งแยกหญิงชาย ทุกคนจึงไปรวมตัวกันที่ลานกว้างซึ่งเป็นสถานที่จัดแข่งขัน สุ่ยเฉินเฟิงซึ่งแทรกกลุ่มหญิงสาวเข้ามาใกล้พี่ชายกล่าวเสียงใส
“พี่ใหญ่ ท่านก็ลองสักหน่อย ของรางวัลก็น่าสนใจมิใช่น้อย”
ทันใดนั้น บุรุษในเครื่องแต่งกายสีเขียวเข้ม ปักลวดลายสวยงามก็ก้าวเข้ามา
“หากคุณหนูสุ่ยต้องการของรางวัล ข้าจะนำมาให้”
พลันสายตาทุกคู่จับจ้องไปที่เจ้าของเสียง บุตรชายคนเล็กแห่งจวนเสนาบดีกรมโยธานั่นเอง เขามีชื่อเสียงในฝีมือธนูอยู่พอสมควร สุ่ยเฉินเฟิงแย้มปาก
“ขอบคุณคุณชายมาก แต่พี่ชายของข้าก็จะนำมาให้ข้าอยู่แล้ว ไม่รบกวนคุณชาย”
จงเฝิ่นลู่สีหน้ามืดครึ้มแล้ว นางเม้มปาก พยายามกลืนความขุ่นเคืองใจลงท้อง งานนี้จวนเสนาบดีกรมคลังเป็นเจ้าภาพ คนที่โดดเด่นที่สุดก็ควรเป็นนาง แต่นี่อะไร บุตรีของแม่ทัพใหญ่แย่งความสนใจมากเกินไปแล้ว
บุตรชายเสนาบดีกรมโยธายังคงมียิ้มที่มุมปากก่อนเดินไปประจำจุดแข่งขัน สุ่ยฝานหรงก็เช่นกัน แน่นอนว่าสุ่ยฝานหรง รองผู้บัญชาการทหารม้าซึ่งเชี่ยวชาญทั้งอาวุธดาบและธนูย่อมสามารถคว้ารางวัลมาได้อย่างง่ายดาย กระแสความชื่นชมในตัวพุ่งสูงขึ้นอีก แม้ผู้ที่ได้รับของรางวัลอย่างแท้จริงคือ สุ่ยเฉินเฟิง แต่ผู้ที่ชื่นชมในตัวสุ่ยฝานหรงก็มิได้ใส่ใจ เพราะสุ่ยเฉินเฟิงเป็นน้องสาวแท้ ๆ นั่นเอง
เมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดแขกผู้มีเกียรติต่างก็ทยอยเดินทางกลับ ฝูซิงลูกน้องคนสนิทมาแจ้งข่าวเรื่องที่สุ่ยฝานหรงสั่งงานไว้ รองผู้บัญชาการทหารม้าจึงส่งน้องสาวขึ้นรถม้ากลับจวน ส่วนตัวเองไปทำงานต่อด้วยอาชาคู่ใจ เหมยกุ้ยก็ขึ้นรถม้ากลับจวนตนเอง
รถม้าจวนแม่ทัพใหญ่ผ่านตลาด อะไรบางอย่างกระทบรถ สุ่ยเฉินเฟิงเปิดม่านหน้าต่างออกดู พลันมองเห็นชายกระโปรงสีเหลืองปักดอกไม้สีขาวพริ้วไหวกำลังลับสายตาไปทางด้านหลังเหลาเฉียน
สงสัยว่าเหมยกุ้ยจะแอบมาชิมหมูหมักพุทราอีกแล้ว อาหารที่จวนเสนาบดีกรมคลังก็อร่อยแต่เหมยกุ้ยมัวแต่พูดคุย อย่างไรก็ตามหมูหมักพุทราทำให้เหมยกุ้ยน้ำหนักเพิ่ม เอวขยายถึงสองชุ่น ไม่นับว่าน้อยเลย ไหนว่าจะลดน้ำหนัก ต้องไปดูหน้าคนอดใจไม่ไหวซะหน่อยแล้ว สุ่ยเฉินเฟิงคิดขำ ๆ แล้วบอกให้หยุดรถม้า
นางลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว แอบเดินตามหลังเพื่อน เมื่อผ่านด้านหลังของเหลาเฉียนก็เลี้ยวขวาออกไปทางซอยแคบค่อนข้างเปลี่ยว สุ่ยเฉินเฟิงหยุดชะงักส่งเสียงเรียกเพื่อน "กุ้ยเอ๋อร์"
หญิงนางนั้นหันกลับมา ไม่คาดคิดมิใช่เหมยกุ้ย อย่างรวดเร็วกลิ่นยาฉุนเข้าสู่จมูก แขนขาอ่อนแรง สติพลันดับวูบลง ความรู้สึกสุดท้ายคือมีวงแขนแข็งแรงช้อนตัวนางไว้จึงมิได้ร่วงหล่นลงบนพื้น
ผู้ติดตามซึ่งสุ่ยเฉินเฟิงสั่งให้รอที่รถม้ารู้สึกแปลกใจที่คุณหนูยังไม่กลับมา เขาจึงไปที่ด้านหลังเหลาเฉียน ตามเส้นทางที่สุ่ยเฉินเฟิงเดินไป มีหญิงสาวสวมชุดสีเหลืองสดคนหนึ่งเดินสวนมา เขาจำได้ว่าเมื่อคุณหนูเห็นหญิงชุดเหลืองก็รีบร้อนเดินตามไป แล้วเหตุใดนางจึงเดินกลับเพียงลำพัง
“แม่นาง สตรีแต่งกายในชุดสีครีมที่เดินตามหลังท่าน ไปไหนเสียแล้ว”
หญิงสาวนางนั้นสีหน้าซีดขาวในฉับพลัน ท่าทีลุกลี้ลุกลน หลบสายตาลงมองพื้น ไม่ตอบแต่เดินหนีอย่างรวดเร็วแทบจะเป็นวิ่ง ผู้ติดตามเห็นมีพิรุธจึงสกัดนางไว้ หญิงสาวส่งมีดสั้นออกมาอย่างรวดเร็ว หวังจะสังหารผู้ขวางทาง แต่ไม่เกินความสามารถของผู้ติดตาม พริบตาเดียวนางก็สลบตัวอ่อนลงกองกับพื้น
ผู้ติดตามลากหญิงสาวผู้นั้นกลับเข้าไปด้านหลังเหลาเฉียนก็พบแต่ความสงัด เมื่อเดินผ่านไปเล็กน้อยก็พบทางแยกเลี้ยวซ้ายและขวา ทางด้านซ้ายเป็นซอยตื้น ๆ มองจากปากซอยเข้าไปก็เห็นว่าสุดซอยเป็นซอยตัน เขาจึงเลี้ยวขวา สองข้างทางเป็นกำแพงสูงไม่มีที่ให้ผู้คนหลบซ่อน จนกระทั่งสุดซอยก็ไม่พบคนแม้แต่คนเดียว
เขาจึงนำหญิงสาวมามัดแน่นหนาไว้บนรถม้า ให้สารถีเฝ้าไว้แล้วตนเองก็เข้าไปในเหลาเฉียน เดินหาจนทั่ว เถ้าแก่เหลาเฉียนก็แจ้งว่าวันนี้คุณหนูสุ่ยไม่ได้มา
เขาตัดสินใจตรงไปยังที่ทำการของรองผู้บัญชาการทหารม้า ความตกใจปรากฏขึ้นในแววตาของคุณชายใหญ่ตระกูลสุ่ย เขาให้ทหารไปสอบถามเหมยกุ้ยก็ได้คำตอบว่า กลับจากงานเลี้ยงนางก็ตรงกลับจวนแล้วมิได้ออกไปไหนอีกเลย ชุดสีเหลืองก็ยังอยู่ที่จวนของนาง และสุ่ยเฉินเฟิงก็บอกกล่าวเหมยกุ้ยว่าจะกลับจวนแม่ทัพใหญ่เลยโดยไม่แวะที่ใด
ผู้ติดตามนำตัวหญิงสาวชุดเหลืองเข้ามาในสภาพถูกมัดมือไพล่หลัง นางฟื้นแล้ว หน้าซีด ปากสั่น เหงื่อเปียกชื้นไปทั้งตัว เมื่อถูกเค้นถามก็เข่าอ่อนทรุดไปกองกับพื้น แต่ก็ยังยืนกรานว่าไม่เกี่ยวข้องกับการที่สุ่ยเฉินเฟิงหายตัวไป
“บ่าวไม่รู้เรื่องจริง ๆ เจ้าค่ะ ไม่รู้จักด้วยซ้ำไปว่าคนที่ท่านถามหาหน้าตาเป็นเช่นใด”
“เสื้อชุดนี้ เจ้าได้มาอย่างไร” รองผู้บัญชาการทหารม้าถามเสียงเครียด มองแล้วคล้ายชุดของเหมยกุ้ยมาก ไม่แปลกที่สุ่ยเฉินเฟิงจะเดินตามหญิงชุดเหลืองไป มองด้านหลังนางก็คล้ายเหมยกุ้ยหลายส่วน
“บ่าวซื้อมาจากร้านเสื้อในตลาดเจ้าค่ะ”
เมื่อมองชัด ๆ แล้ว จะเห็นว่าเนื้อผ้า ความละเอียดของลวดลายแตกต่างกัน แต่หากมองไกล ๆ ก็จะคล้ายกัน สุ่ยฝานหรงสงสัยว่าการหายตัวของน้องสาวในครั้งนี้ จะมีคนของจวนเสนาบดีกรมคลังหรือคนที่ไปร่วมงานมีส่วนรู้เห็นด้วย เพราะทุกคนรู้ว่าเหมยกุ้ยแต่งกายด้วยชุดสีเหลืองแบบนี้ การจะให้สุ่ยเฉินเฟิงสำคัญผิดคิดว่าเป็นเพื่อนของนาง ต้องมีคนส่งข่าวเรื่องเครื่องแต่งกายให้คนร้ายแน่นอน
ร่างสูงเพรียวของฉินอ๋องก้าวเข้ามาในห้องทำงานของรองผู้บัญชาการทหารม้า เมื่อได้รับข่าวจากสุ่ยฝานหรง เขาก็รีบรุดมาอย่างเร็ว ดวงตายาวรีบัดนี้เปล่งประกายโหด“ยังไม่สารภาพงั้นหรือ ถ้าเช่นนั้น ข้าจะสอบถามเอง”เท่านั้นเอง หญิงสาวก็ร้องโหยหวน การสอบปากคำผู้ต้องหาของฉินอ๋องเป็นที่เลื่องลือ ไม่มีผู้ที่ฉินอ๋องสอบปากคำด้วยตนเองแล้วไม่คายความลับ ทันใดนั้น ร่างกายของนางก็ชักเกร็ง นัยน์ตาเหลือกลาน ฉินอ๋องตะโกนลั่น“อย่าให้นางฆ่าตัวตาย”แต่ก็สายไปเสียแล้ว ผิวของหญิงสาวเป็นสีม่วงคล้ำช้ำเลือดช้ำหนองอย่างรวดเร็ว นางขบกัดยาพิษที่ซ่อนไว้ในซอกฟันให้แตกออก พิษเข้าทำลายระบบหายใจอย่างรวดเร็วและยังมีผลต่อระบบการหมุนเวียนของโลหิตเมื่อนายทหารคนสนิทของสุ่ยฝานหรงตรวจสอบศพ ก็พบว่านางมีสัญญลักษณ์กองโจรปีศาจคำราม รองผู้บัญชาการทหารม้าเคร่งเครียด เส้นเลือดปูดโปนบนขมับ เขาสั่งห้ามทุกคนแพร่งพรายเรื่องนี้ เพื่อมิให้กระทบต่อชื่อเสียงของสุ่ยเฉินเฟิงคนของสุ่ยฝานหรงทำงานอย่างรวดเร็ว ร่างของหญิงสาวนางนั้นถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากที่ทำการรองผู้บัญชาการทหารม้าอย่างเงียบเชียบภายในห้องทำงานของรองผู้บัญชาการทหารม้าเต็มไปด้วยผู้คนที
ในลานกว้างบนยอดเขาเกาชาน บุรุษที่มีเครื่องหน้าละมุนนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่ประกอบขึ้นอย่างสวยงาม ใกล้กันมีร่างขาวผ่องในเครื่องแต่งกายสีครีมนั่งหน้าบึ้ง ชายฉกรรจ์จำนวนมากและหญิงสาวหกคนแต่งกายทะมัดทะแมงนั่งล้อมวง นอกจากมีไหเหล้าวางไว้ข้างกายแล้ว ยังมีอาวุธวางไว้ไม่ห่างกายทุกคน กลิ่นหมูป่าย่างโชยหอมมาแตะจมูก เสียงท้องของใครคนหนึ่งในหน่วยมัจฉาพระกาฬดังขึ้น ทุกคนในหน่วยหันหน้ามามองจางชุน เขายิ้มจืดๆ เอามือกุมท้อง ยังโชคดีที่หน่วยมัจฉาพระกาฬอยู่ห่างจากกลุ่มชายฉกรรจ์พอที่เสียงท้องร้องหิวไม่ดังไปเข้าหูเพราะมั่นใจในความปลอดภัยของพื้นที่ กองโจรปีศาจคำรามจึงจัดคนไว้ลาดตระเวนจำนวนหนึ่ง ที่เหลือฉลองกันเต็มที่ วันนี้ลูกพี่จะสมรสสมรักแล้ว อันที่จริงสุ่ยเฉินเฟิงก็เป็นคู่หมายของเมิ่งหยางมาตั้งแต่นางยังอยู่ในท้องมารดาแล้ว เพียงแต่ว่ายังมิได้มีพิธีหมั้นตามธรรมเนียม เมิ่งหยางก็เกิดเหตุเสียก่อนฉินอ๋องเขม้นมองว่าที่บ่าวสาวในกองโจร อย่างน้อยก็ยังสบายใจได้นิดหน่อยว่าสุ่ยเฉินเฟิงยังปลอดภัย จะบุกเข้าไปชิงตัวนางทันทีก็คงยาก กองโจรนี้มีจำนวนคนมากกว่าหน่วยมัจฉาพระกาฬหลายเท่าตัว ยังไม่แน่ว่ามีกับดัก
ทางสุ่ยฝานหรงนั้น เมื่อฉินอ๋องพร้อมหน่วยมัจฉาพระกาฬเคลื่อนกายลงน้ำไปแล้ว ชายหนุ่มส่งยาลูกกลอนเม็ดเล็ก ๆ ให้ฝูซิง นายทหารคนสนิทและทหารในหน่วยพยัคฆ์เหินอีกจำนวนหนึ่ง ก่อนจะหยิบห่อของที่ได้รับจากฉินอ๋องออกมาหนึ่งห่อแล้วกล่าวว่า“ยาลูกกลอนนี้ช่วยป้องกันพิษจากสมุนไพรที่จะทาลงบนเกราะ แม้ว่าสมุนไพรพิษมีผลเฉพาะพืช ไม่มีผลต่อคนหรือสัตว์ แต่ท่านอ๋องคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุด ไม่ต้องการให้มีผลกระทบใด ๆ จึงให้ผู้มีหน้าที่โรยสมุนไพรพิษกินยาลูกกลอนป้องกันไว้ก่อน”รองผู้บัญชาการทหารม้ากวาดตามองกองกำลังที่ติดตามมา แล้วกล่าวต่อไปว่า“ยาลูกกลอนมีจำกัด ไม่สามารถแจกจ่ายให้ทุกคนได้ ขอให้ผู้ที่ไม่ได้ทำหน้าที่โรยสมุนไพรพิษถอยไปอยู่เหนือลมก่อนเถิด”เหล่าทหารที่ไม่ได้กินยาลูกกลอนและม้าศึกทั้งหลายถอยไปตั้งมั่นอยู่เหนือลม สุ่ยฝานหรงเปิดห่อของ สมุนไพรพิษในห่อมีสีแดงคล้ำ กลิ่นเหมือนใบไม้หมักที่ทับถมกันมานานปีส่งกลิ่นฉุนเฉียวแรง สมุนไพรพิษผสมน้ำทาลงบนเสื้อเกราะของทหาร ทหารผู้กล้าล่องแพไม้ที่ต่อขึ้นอย่างลวก ๆ ไปยังฝั่งป่าไม้กินเนื้อคน กลิ่นสมุนไพรพิษดูเหมือนจะทำให้ต้นไม้ใหญ่ตระหนกไม่น้อยเลยทีเดียว พยายามเอนลำต้นออ
ตลอดทางเดินไปยังเรือนผู้นำ สุ่ยเฉินเฟิงพยายามสงบสติอารมณ์ กวาดตามองหาทางหนีทีไล่ แต่มองไปทางใดก็ล้วนแต่เห็นเวรยามของกองโจรยืนประจำจุดเรือนผู้นำเป็นเรือนไม้ขนาดกลางชั้นเดียว ก่อสร้างขึ้นแบบหยาบ ๆ ห่างออกไปเป็นเรือนของคนอื่นในกองโจร ปลูกในลักษณะกระท่อมขนาดเล็กหลายหลังเรียงรายกันไปเมื่อก้าวเข้าสู่ตัวเรือนผู้นำ ภายในเรือนตกแต่งด้วยสีแดง แม้จะไม่หรูหราแต่ก็แสดงถึงงานมงคล เมิ่งหยางจูงมือนางมานั่งที่โต๊ะ รินเหล้ามงคลใส่จอกส่งให้ สุ่ยเฉินเฟิงรับมาแต่โดยดี นางมีสีหน้าแปลกใจ“พี่หยางนำสิ่งของเหล่านี้ขึ้นมาบนยอดเขาได้อย่างไร”เมิ่งหยางกำลังอารมณ์ดี เมื่อเห็นสุ่ยเฉินเฟิงไม่ต่อต้าน ก็เข้าใจว่านางยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี“มีเส้นทางที่จะขึ้นมาได้โดยไม่ยาก วันหน้าเจ้าจะได้เห็น”สุ่ยเฉินเฟิงวางจอกเหล้าไว้บนโต๊ะ นางเดินชมสิ่งของภายในเรือนแล้วไปหยุดอยู่ตรงหน้าภาพวาดทิวทัศน์ เมิ่งหยางเดินเข้ามาทางด้านหลัง สอดแขนเข้ามาโอบเอว ก้มลงกระซิบว่า“เฟิงเอ๋อร์ เจ้าจะถ่วงเวลาให้เนิ่นช้าไปไย เราไปพักผ่อนกันเถอะ”ฉับพลัน สุ่ยเฉินเฟิงหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้า ในมือคว้าแจกันทองเหลืองฟาดลงไปบนศีรษะของเมิ่งหยาง ชายหนุ่มเบี
สุ่ยเฉินเฟิงตัวสั่นสะท้าน ดวงตาเบิกกว้างอย่างตะหนก ฉินอ๋องดึงร่างบอบบางเข้ามากอดปลอบ“ปลอดภัยแล้วนะ เฟิงเอ๋อร์”หญิงสาวซุกตัวนิ่งอยู่ในอ้อมอกของเทียนตี้หย่ง ความอบอุ่นแผ่ซ่านครอบคลุมจิตใจ เพียงอึดใจเดียวนางก็เงยหน้าขึ้น“เราไปช่วยพวกเขากันเพคะ”ฉินอ๋องและสุ่ยเฉินเฟิงรีบกลับไปยังลานบ้านที่เสียงอาวุธกระทบกันยังดังต่อเนื่อง ก่อนถึงลานบ้าน ฉินอ๋องกดไหล่บอบบางของสุ่ยเฉินเฟิงให้หลบหลังแนวต้นไม้ใหญ่“เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่”หญิงสาวพยักหน้าแล้วทรุดตัวลงนั่งเงียบ ๆ หลบซ่อนไม่ให้ใครเห็นเมื่อจัดการให้สุ่ยเฉินเฟิงซ่อนตัวแล้ว ฉินอ๋องตรงเข้าร่วมกับหน่วยมัจฉาพระกาฬฟาดฟันกองโจรปีศาจคำราม ทุกครั้งที่ดาบตวัดออกไปย่อมมีหลายชีวิตปลิดปลิวแต่กองโจรปีศาจคำรามยังคงดาหน้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แม้กองโจรปีศาจคำรามจะสูญเสียผู้นำคือเมิ่งหยางไปแล้ว ก็มิได้สูญเสียกำลังใจ หากแต่ยิ่งเพิ่มความโกรธแค้นแม้ทักษะการต่อสู้ของกองโจรปีศาจคำรามจะห่างชั้นมาก แต่ด้วยจำนวนคนที่มากมายกว่าหลายเท่าตัว อีกทั้งการดำน้ำมายังทำให้หน่วยมัจฉาพระกาฬไม่สามารถสวมใส่เสื้อเกราะได้ ตามร่างกายของหน่วยมัจฉาพระกาฬก็มีบาดแผลบ้างเช่นกันทันใดนั้นเสี
เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนลงจากเขาเกาชานใช้เส้นทางที่ต้องผ่านป่าไม้กินเนื้อคน สมุนไพรพิษที่ฉินอ๋องให้สุ่ยฝานหรงเก็บไว้หนึ่งห่อได้ถูกนำมาใช้เปิดเส้นทางบรรดาต้นไม้ยังอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจากสมุนไพรพิษของเมื่อวาน วันนี้เหล่าทหารผู้กล้าโรยสมุนไพรพิษเพิ่มเติมอีกก็ได้แต่ยืนต้นสลบไสล กระนั้นสุ่ยเฉินเฟิงก็ยังตะหนกตกใจกับสิ่งที่พบเห็นตามเส้นทางเมื่อพ้นพื้นที่ป่าไม้กินเนื้อคน ฉินอ๋องให้พักม้าริมแม่น้ำฝั่งตรงข้าม แล้วสั่งการให้กองกำลังส่วนหนึ่งไปค้นหาศพของเมิ่งหยางซึ่งตกลงในน้ำเมื่อคืนที่ผ่านมาสุ่ยฝานหรงและสุ่ยเฉินเฟิงนั่งทอดตามองไปยังฝั่งตรงข้าม ฝูซิงสวมเสื้อเกราะเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นสมุนไพรพิษลอยมา สุ่ยเฉินเฟิงทำจมูกฟุดฟิด อ๋องฉินมองเห็นก็ยิ้มแล้วเดินมานั่งร่วมวงก่อนเอ่ยว่า“สมุนไพรพิษปรุงขึ้นจากเถาวัลย์มรณะ เปลือกต้นผูกวิญญาณจากทุ่งน้ำแข็ง หางแมงป่องหิมะพันปีที่ตายโดยธรรมชาติไม่เกินสามวัน และยางสดของคางคกในถ้ำใต้สมุทร ในสัดส่วนที่ถูกต้องบดละเอียดให้เข้ากัน แม้มีส่วนผสมที่เป็นพิษหลายอย่าง แต่ก็มีส่วนผสมของโสมพันปีและเกสรดอกดาวสวรรค์ข่มพิษมิให้มีอันตรายต่อคนและสัตว์”“มิน่าเล่า กลิ่นรุนแรงนัก” สุ่ยเฉ
เมื่อพ่อค้าผักเห็นชายหนุ่มทั้งสองก็ยิ้มแย้มแจ่มใส“ท่านรองผู้บัญชาการมีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ หากจะจัดงานเลี้ยงต้องการผักชนิดใดบ้างสั่งมาได้เลยขอรับ”สุ่ยฝานหรงยิ้มแล้วเอ่ยถามว่า “ตี๋น้อยสบายดีหรือไม่”พ่อค้าผักยิ้มจนตาหยีเมื่อกล่าวถึงบุตรชาย“สบายดีขอรับ ตอนนี้ตั้งใจศึกษาวิชา บอกว่าเมื่อโตขึ้นจะไปสมัครเป็นทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านรองผู้บัญชาการขอรับ”พ่อค้าผักยังกล่าวต่อไปด้วยว่า“ตั้งแต่วันที่ใต้เท้าช่วยเขาไว้จากการจมน้ำ เขาก็เปลี่ยนไป ไม่ดื้อรั้นเอาแต่วิ่งเล่นซุกซนเหมือนเดิมอีกแล้ว บัดนี้เขามีท่านรองผู้บัญชาการเป็นวีรบุรุษในใจแล้วขอรับ”สุ่ยฝานหรงยิ้มแย้มแจ่มใส ถามด้วยน้ำเสียงชวนพูดคุยว่า“เมื่อวันที่จวนเสนาบดีกรมคลังจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้ฮูหยิน ทางร้านได้รับเหมาส่งผักให้จวนใช่หรือไม่”“ใช่ขอรับ งานเลี้ยงวันเกิดฮูหยินเสนาบดีกรมคลังมีการสั่งผักมากมาย ข้าน้อยไปส่งให้ถึงสองรอบ รอบแรกส่งก่อนวันงานหนึ่งวัน แต่แขกมามากมายจึงมีการสั่งผักบางอย่างเพิ่ม จึงไปส่งให้ในวันที่มีงานเลี้ยงขอรับ”“การส่งผักใช้ประตูใดหรือ”เมื่อถึงคำถามนี้ พ่อค้าผักงง เหตุใดรองผู้บัญชาการทหารม้าสุ่ยฝานหรง
หลายวันต่อมา ข่าวแพร่ไปทั่วเมืองหลวง ฉินอ๋องนำกองกำลังปราบปรามกองโจรปีศาจคำรามสำเร็จ หมู่บ้านบริเวณเชิงเขาเกาชานซึ่งเป็นที่หลบซ่อนของกองโจรถูกเผาทำลายวอดเหลือเพียงซากปรักหักพังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเดิมนั้นเป็นหมู่บ้านร้างที่ถูกฉินอ๋องอุปโลกน์ให้เป็นที่ซ่องสุมของกองโจร เพื่อปกปิดแหล่งกบดานที่แท้จริงซึ่งอยู่บนยอดเขาเกาชาน อาวุธที่ยึดมาได้เมื่อครั้งต่อสู้บนเขาเกาชานถูกส่งมอบเข้าคลังอาวุธหลวงณ จวนฉินอ๋อง เจ้าของจวนและรองผู้บัญชาการทหารม้านั่งดื่มสุรากันใบหน้าครุ่นคิด ผิดวิสัยการสังสรรค์ คิ้วหนาของฉินอ๋องขมวดมุ่น“ก่อนส่งอาวุธเข้าคลังหลวง ข้าพบว่าเหล็กที่นำมาตีดาบมีความเหนียวและแข็งแกร่งมาก อาวุธของพวกมันดีกว่ากองทัพด้วยซ้ำ ที่พ่ายไปก็เพราะฝีมือการสู้รบ”“ฝีมือการตีดาบยังไม่ดีพอพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอ๋องนิ่งไปอึดใจ ใคร่ครวญอะไรบางอย่างแล้วกล่าวว่า“ข้าสงสัยว่าบนเขาเกาชานจะมีแร่เหล็ก อีกประการคือพวกเรายังไม่พบเส้นทางที่กองโจรปีศาจคำรามใช้เดินทาง พรุ่งนี้พวกเราไปสำรวจกันหน่อย”ก่อนตะวันขึ้น คนกลุ่มเล็ก ๆ ก็ควบม้าอย่างรวดเร็วตรงไปยังเขาเกาชาน ครั้งนี้ก็ใช้สมุนไพรพิษจึงผ่านเส้นทางป่าไม้กินเนื้อคนเข้า
สิบปีผ่านไป ณ ตำหนักคุนหนิง ฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง นั่งดื่มชาในสวนดอกไม้ อากาศอบอุ่น มีลมพัดผ่านเบา ๆ นึกถึงชะตาชีวิตที่แปลกประหลาด ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่มีชีวิตสงบสุขเหมือนคุณหนูสูงศักดิ์ทั่วไป แต่เมื่อถึงวัยมีคู่ครองก็มีเรื่องเดือดร้อนไม่จบไม่สิ้น ชีวิตเหมือนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง กว่าจะฝ่าฟันมาถึงวันนี้ก็ได้รับประคับประคองจากพระสวามีผู้สง่างามและครอบครัวเดิม สุ่ยเฉินเฟิงสัญญากับตนเองว่าจะทะนุถนอมความรักของพวกเขาไว้อย่างดีฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง และฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมห้าองค์ องค์ชายหย่งเฉิงคล้ายเสด็จพ่อมากที่สุดทั้งรูปร่างหน้าตา อุปนิสัย และความรู้ความสามารถ องค์ชายหย่งเฉิงชื่นชอบการฝึกซ้อมอาวุธทุกประเภท อีกทั้งยังชำนาญหมากล้อมและการฝึกเชาว์ปัญญาต่าง ๆ เรียกว่าเก่งทั้งบู๊และบุ๋นองค์หญิงเฟิงซินหน้าตาคล้ายเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ ทำให้นางเป็นที่โปรดปรานของเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือยิ่งนัก บางครั้งฮ่องเต้ยังจำใจต้องอนุญาตให้องค์หญิงเฟิงซินไปพักค้างที่ตำหนักนอกวังบ้างเพราะทนการรบเร้าของผู้เป็นมารดาไม่ไหว แรก ๆ ก็ไปพักค้างครั้งละหนึ่งคืน พอนานเข้าเสด็จย่าไทเฮา
ราษฎรต้อนรับการประสูติขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงอย่างเอิกเกริก ร้านค้าในตลาดและบ้านเรือนราษฎรปักธงถวายพระพร เหลาเฉียนจัดทำอาหารพิเศษแจกจ่ายให้ลูกค้าโดยไม่คิดเงิน ร้านขายผลไม้ก็นำส้มมงคลมาแจกจ่ายให้ผู้คนที่สัญจรไปมาเมื่อครั้งเทียนตี้หย่งยังดำรงตำแหน่งฉินอ๋อง ราษฎรก็รักใคร่ชื่นชม แม้ในจวนอ๋องจะไม่มีพระชายา พระชายารอง หรืออนุ ก็ไม่มีผู้ใดใส่ใจ ต่อมาขึ้นครองราชย์ ราษฎรก็ปลื้มปิติ แต่ก็กังวลเพราะฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ลั่นวาจาไว้ว่าจะมีฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิงเพียงพระองค์เดียวแม้ในขณะที่แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งฮองเฮา พระนางจะตั้งครรภ์แล้วก็ตาม หากเป็นพระราชธิดาพวกเขาก็ยังไม่วางใจ ดังนั้นเมื่อองค์ชายน้อยหย่งเฉิงประสูติ จึงเป็นทั้งความยินดีและความโล่งใจของราษฎรทั้งหลาย อย่างน้อยก็สบายใจได้ว่า แคว้นต้าเจียมีผู้สืบทอดบัลลังก์มังกรแล้วในแต่ละวันขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงมีเสด็จย่าทั้งสองและท่านยายผลัดกันมาดูแล คือเสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้ เสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ และท่านยายเจียงจือไฉ แต่เสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้จะได้เปรียบมากกว่าเพราะประทับในวังเช่นเดียวกัน จึงมาดูแลเกือบทุกวัน เว้นแต่วันที่เสด็จย่าไทเฮ
พระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮาเป็นไปอย่างเรียบง่ายตามความประสงค์ของสุ่ยเฉินเฟิง ตำหนักคุนหนิงของฮองเฮาได้รับการปรับปรุงใหม่ มีห้องสำหรับทารกติดกับห้องบรรทมของฮองเฮา สำหรับฮ่องเต้เทียนคงอิงฉงนั้นแม้จะมีตำหนักเฉียนชิง แต่พระองค์ก็จะมาบรรทมที่ตำหนักคุนหนิงเป็นประจำ เว้นแต่ช่วงที่ทรงงานดึกจึงจะพักผ่อนที่ตำหนักเฉียนชิงเพื่อให้ฮองเฮาพักผ่อนเต็มที่ ไม่ต้องตื่นกลางดึกสุ่ยฝานหรงซึ่งบัดนี้ได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีนั้น บางวันจะพาเหมยกุ้ยเข้าวังมาส่งที่ตำหนักคุนหนิงในช่วงเช้า และมารับกลับหลังจากประชุมขุนนางเสร็จ ชีวิตของสุ่ยเฉินเฟิงจึงไม่เงียบเหงาเกินไป ส่วนถิงถิงซึ่งบัดนี้เป็นนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาก็ช่างมีเรื่องซุบซิบมาเล่าให้ฟัง แม้กระทั่งองค์หญิงนาราที่เสวยผลไป่เซียงกั่วเพื่อให้เกิดผื่นจะได้ยืดเวลาการอยู่ในวังหลวงเพื่อมีเวลาขอถวายตัวเป็นสนมก็มาเล่าให้ฟัง เรียกได้ว่าทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ถิงถิงไม่ค่อยจะพลาดข่าว ถิงถิงมีความเห็นว่ารู้มากหน่อยดีกว่ารู้น้อยไปเมื่อสุ่ยฝานหรงเข้ารับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแล้ว ฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ก็ต้องวางกำลังคนที่ไว้ใจให้ควบคุมหน่วยกำลัง
ไทเฮาสือจินอวี้ลุกขึ้นจากที่ประทับ ตรงไปยังองค์หญิงนาราที่นั่งคุกเข่า ใช้สองพระหัตถ์แตะไหล่ประคองให้องค์หญิงน้อยลุกขึ้นยืน แล้วตรัสว่า “องค์หญิงนารามีหน้าตาสวยงามและเพียบพร้อมด้วยความรู้ ไม่ควรจะมาเป็นสนม ความหวังดีนี้ไม่อาจรับไว้ได้ ขอให้แคว้นต้าเจียและเผ่าตู้ผูกพันเป็นมิตรที่ดีต่อกันเถิด”ภายนอกมีเสียงดังขึ้นว่า “ฮ่องเต้เสด็จ”เมื่อร่างสูงสง่าของฮ่องเต้ก้าวเข้ามาในโถงกลางของวังหลัง พระองค์ทำความเคารพไทเฮาก่อน แล้วจึงหันไปตรัสแก่ผู้อื่นที่ทำความเคารพว่า “ไม่ต้องมากพิธี” องค์หญิงน้อยมองด้วยสายตาหลงใหลเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อยแล้วตรัสด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เจิ้นขอบใจในน้ำใจของถู่ซือและองค์หญิง แต่ไม่อาจรับไว้ได้ ต้าเจียและเผ่าตู้ไม่จำเป็นต้องผูกพันกันด้วยการอภิเษกหรือการเป็นสนม แต่ยังเป็นพันธมิตรกันต่อไปได้”องค์หญิงน้อยทำได้เพียงกล่าวเสียงเบาว่า “เพคะ” รู้สึกอับอายแทบแทรกแผ่นดิน ไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกปฏิเสธแม้แต่การเป็นสนม เทียนตี้หย่งหันไปทางทูตเผ่าตู้แล้วตรัสว่า “เผ่าตู้มีสินค้าหายากหลายอย่างที่ต้าเจียไม่มี เจิ้นจะให้ทูตการค้าต้าเจียหารือเรื่องการพัฒนาการค้าขายระหว่างกันดีห
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เทียนตี้หย่ง ขึ้นครองราชย์สถาปนาเป็นฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง ราษฎรทั่วแคว้นต้าเจียเฉลิมฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืน พวกเขาล้วนมีความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งใดที่เคยหวัง ต่างแคว้นล้วนส่งทูตมาแสดงความยินดี ไม่มีแคว้นใดหาญกล้าทดสอบความแข็งแกร่งของฮ่องเต้พระองค์ใหม่เผ่าตู้เป็นชนเผ่าที่เคยถูกแคว้นต้าเลี่ยงรุกรานและสร้างความอัปยศให้แก่องค์หญิงหลายองค์จนปลิดชีพตนเอง เมื่อแคว้นต้าเจียปราบปรามแคว้นต้าเลี่ยงทำให้เผ่าตู้ได้รับอิสระอีกครั้ง เมื่อมาแสดงความยินดีในครั้งนี้ มีองค์หญิงน้อยเผ่าตู้ร่วมเดินทางมาด้วย องค์หญิงนาราเป็นองค์หญิงองค์เดียวที่ปลอดภัยจากการรุกราน เนื่องจากช่วงเวลานั้นไม่ได้อยู่ในดินแดนเผ่าตู้ ในท้องพระโรง พระเจ้าเทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร พระพักตร์ขาวใส ดวงตาดำขลับยาวรีปลายชี้ฟ้า จมูกโด่งเป็นสัน ช่างสง่างามเหลือเกิน องค์หญิงน้อยมองดูด้วยความตะลึง หลงรักบุรุษผู้สง่างามนี้ทันทีเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์ขอบคุณแคว้นต่าง ๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดี และเชิญทูตทุกแคว้นทุกชนเผ่าเข้าร่วมงานเลี้ยงในตอนเย็น เนื่องจากยังไม่มีการแต่งตั
หลังจากพระเจ้าเต๋อหมิงได้รับบาดเจ็บ คณะหมอหลวงก็พยายามทุกวิธีในการรักษา เพราะฤทธิ์ยาระงับความเจ็บปวดที่หมอหลวงปรุงขึ้น แม้พระพักตร์จะขาวซีดแต่ก็ไม่แสดงถึงความเจ็บปวด เวลาผ่านไปสิบกว่าวัน ลมหายใจที่แผ่วเบานั้นก็หยุดนิ่ง หัวหน้าหมอหลวงตรวจชีพจรอีกครั้งก่อนจะหันมาทูลต่อไทเฮาสือจินอวี้ว่า“พระองค์กลับคืนสู่สวรรค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไทเฮาสือจินอวี้ตัวอ่อน เป็นลมล้มพับ ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง ที่ยืนอยู่ใกล้กันรับตัวเสด็จป้าสะใภ้ไว้ทันก่อนพระวรกายกระทบพื้น หมอหลวงแบ่งคนมาปฐมพยาบาลไทเฮา ความเศร้าโศกเสียใจล้นห้องบรรทมออกไปครอบคลุมวังหลวงและกระจายออกไปทั่วแคว้น พระเจ้าเต๋อหมิงเป็นผู้ปกครองใต้หล้าด้วยความเมตตา จึงเป็นที่รักใคร่ของราษฎร ในช่วงเวลาอันเศร้าหมอง ฉินอ๋องเป็นกำลังหลักในการสั่งการเรื่องต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยหลังจากพิธีการต่าง ๆ ผ่านพ้นไป ไทเฮาสือจินอวี้ก็เรียกฉินอ๋องเข้าเฝ้า สุ่ยเฉินเฟิงดูแลเครื่องแต่งกายให้พระสวามี ฉินอ๋องใช้นิ้วดันคางของนางให้เงยหน้าขึ้น“เฟิงเอ๋อร์ เจ้ากังวลอะไรหรือ”สุ่ยเฉินเฟิงถอนหายใจ “ไม่แน่ว่าการเรียกตัวเข้าเฝ้าในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับบัลลังก์ที่ว่างอยู่เพ
พระเจ้าเต๋อหมิงบาดเจ็บสาหัส นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุพระองค์ก็ยังไม่ลืมพระเนตรขึ้นมา มีเพียงชีพจรและลมหายใจแผ่วเบาเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ เกิดความโกลาหลในการบริหารงานเล็กน้อย ไทเฮาสือจินอวี้ต้องออกนั่งเป็นประธานการประชุมขุนนางในฐานะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พระนางไม่ประทับบนบัลลังก์มังกร แต่กลับให้คนนำเก้าอี้หงส์จากตำหนักของพระนางมาใช้ประทับเป็นการชั่วคราวแม้ว่าปกติไม่ว่าไทเฮาหรือฮองเฮาพระองค์ใดก็ตาม ไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการของวังหลวงได้ ผู้เป็นมารดาของแผ่นดินมีหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลวังหลังให้เป็นไปโดยเรียบร้อย แต่สถานการณ์ของแคว้นต้าเจียในคราวนี้แตกต่างออกไป พระเจ้าเต๋อหมิงไม่ได้อภิเษกสมรสเพราะอยู่ระหว่างการไว้ทุกข์ให้กับไท่ซ่างหวงซึ่งก็คือเสด็จพ่อของพระองค์นั่นเอง อีกทั้งพระเจ้าเต๋อหมิงก็ไม่มีสนมจึงยังไม่มีพระราชโอรสหรือพระราชธิดาแม้แต่พระองค์เดียว แคว้นต้าเจียจึงยังไม่มีรัชทายาทเดิมทีเหล่าขุนนางตั้งใจว่าหลังจากพ้นการไว้ทุกข์ให้ไท่ซ่างหวงแล้ว พวกเขาจะกดดันให้พระเจ้าเต๋อหมิงอภิเษกสมรสและแต่งตั้งฮองเฮา รวมทั้งให้เริ่มการคัดเลือกสนมเข้ามาปรนนิบัติตามธรรมเนียมท
ก่อนที่สุ่ยฝานหรงจะออกไป ฉินอ๋องสั่งการเพิ่มเติมว่า “ตอนที่จับกุมเมิ่งกุ้ยเฟย คนที่สุสานบรรพชนล้วนถูกลงโทษ นางกำนัลอู่ก็ติดตามกุ้ยเฟยไปที่สุสานด้วย ท่านตรวจสอบด้วยว่าผู้ใดช่วยเหลือให้นางหลบหนีจนรอดพ้นได้” “พ่ะย่ะค่ะ”สุ่ยฝานหรงออกไปแล้ว ฉินอ๋องกลับเข้าไปในห้องบรรทมของพระเจ้าเต๋อหมิง มีโต๊ะวางไว้มุมห้อง เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ จางชุนรินน้ำชาส่งให้ เขารับมาถือไว้นิ่ง ๆ มองตรงไปก็เห็นญาติผู้พี่นอนนิ่ง พระพักตร์ซีดเซียว นี่คือสิ่งที่เขากังวลอยู่เสมอว่าจะเกิดขึ้น และแล้วก็เกิดขึ้นจริง พี่สี่ของเขาพระทัยอ่อน ใช้สายพระเนตรที่เมตตามองผู้คนโดยรอบ ใช้พระคุณแต่เพียงอย่างเดียวในการปกครองเวลาผ่านไป แม่ทัพใหญ่สุ่ยฝานหรงกลับมาอีกครั้งเมื่อเข้ายามอิ๋น เขาสีหน้าไม่ดีนัก รายงานว่า“ตรวจสอบโดยละเอียดแล้วพ่ะย่ะค่ะ นางกำนัลอู่ไม่ถูกจับกุมเพราะนางลากลับบ้านเดิมเพื่อจัดการงานศพของมารดา เมื่องานศพเสร็จแล้ว ระหว่างทางที่เดินทางกลับเมืองหลวง ก็ได้ข่าวว่าคนที่สุสานบรรพชนถูกจับกุม นางจึงซ่อนเร้นตัว เมื่อทหารที่ไปตรวจค้นสุสานบรรพชนและทำลายเห็ดเมากลับไปแล้ว นางก็ลักลอบเข้าไปในสุสานบรรพชน เพราะนางอยู่ที่นั่นกั
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จป้าสะใภ้ หลานจะสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้สภาพในคุกไม่เหมาะสำหรับผู้บาดเจ็บ” เขาหันถามหัวหน้าหมอหลวงว่า “จะเคลื่อนย้ายฝ่าบาทได้หรือไม่ หรือต้องรอให้อาการดีขึ้นกว่านี้ก่อน”หัวหน้าหมอหลวงตอบว่า “สามารถเคลื่อนย้ายได้แล้วพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวัง คุกหลวงไม่เหมาะกับการรักษาผู้ป่วยจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”ในที่สุด พระเจ้าเต๋อหมิงก็ถูกเคลื่อนย้ายไปยังตำหนักเฉียนชิง ฉินอ๋องประคองไทเฮา สือจินอวี้ไปพร้อมกัน โดยให้สุ่ยฝานหรงซึ่งตามมาถึงแล้ว ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียด ไทเฮานั่งกุมพระหัตถ์พระราชโอรส พระพักตร์ของพระองค์และพระเจ้าเต๋อหมิงซีดขาวพอกัน"เสด็จป้าสะใภ้พักผ่อนก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ไทเฮาสือจินอวี้ส่ายพระพักตร์ “ป้าสะใภ้จะเฝ้าเต๋อเอ๋อร์ เมื่อเขาฟื้นจะได้เห็นหน้าแม่เป็นคนแรก”“ถ้าเช่นนั้นหลานจะให้คนจัดห้องด้านข้างเป็นที่บรรทมชั่วคราวดีไหมพ่ะย่ะค่ะ เสด็จป้าสะใภ้ไปพักผ่อนก่อน มิฉะนั้นอาจจะประชวรไปอีกพระองค์ หากพี่สี่รู้สึกตัวแม้เพียงเล็กน้อยจะให้คนไปทูลให้ทรงทราบทันที”ไทเฮาพยักพระพักตร์ ฉินอ๋องจึงสั่งให้ขันทีประจำตำหนักเฉียนชิงเร่งจัดห้องบรรทมช