ร่างสูงเพรียวของฉินอ๋องก้าวเข้ามาในห้องทำงานของรองผู้บัญชาการทหารม้า เมื่อได้รับข่าวจากสุ่ยฝานหรง เขาก็รีบรุดมาอย่างเร็ว ดวงตายาวรีบัดนี้เปล่งประกายโหด
“ยังไม่สารภาพงั้นหรือ ถ้าเช่นนั้น ข้าจะสอบถามเอง”
เท่านั้นเอง หญิงสาวก็ร้องโหยหวน การสอบปากคำผู้ต้องหาของฉินอ๋องเป็นที่เลื่องลือ ไม่มีผู้ที่ฉินอ๋องสอบปากคำด้วยตนเองแล้วไม่คายความลับ ทันใดนั้น ร่างกายของนางก็ชักเกร็ง นัยน์ตาเหลือกลาน ฉินอ๋องตะโกนลั่น
“อย่าให้นางฆ่าตัวตาย”
แต่ก็สายไปเสียแล้ว ผิวของหญิงสาวเป็นสีม่วงคล้ำช้ำเลือดช้ำหนองอย่างรวดเร็ว นางขบกัดยาพิษที่ซ่อนไว้ในซอกฟันให้แตกออก พิษเข้าทำลายระบบหายใจอย่างรวดเร็วและยังมีผลต่อระบบการหมุนเวียนของโลหิต
เมื่อนายทหารคนสนิทของสุ่ยฝานหรงตรวจสอบศพ ก็พบว่านางมีสัญญลักษณ์กองโจรปีศาจคำราม รองผู้บัญชาการทหารม้าเคร่งเครียด เส้นเลือดปูดโปนบนขมับ เขาสั่งห้ามทุกคนแพร่งพรายเรื่องนี้ เพื่อมิให้กระทบต่อชื่อเสียงของสุ่ยเฉินเฟิง
คนของสุ่ยฝานหรงทำงานอย่างรวดเร็ว ร่างของหญิงสาวนางนั้นถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากที่ทำการรองผู้บัญชาการทหารม้าอย่างเงียบเชียบ
ภายในห้องทำงานของรองผู้บัญชาการทหารม้าเต็มไปด้วยผู้คนที่มีสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อเหลียงจื้อและจางชุนซึ่งฉินอ๋องส่งไปหาข่าวกลับมารายงาน ด้วยเครือข่ายการข่าวที่กว้างขวางของฉินอ๋อง มีเบาะแสว่าสุ่ยเฉินเฟิงน่าจะถูกลักพาตัวไปยังเขาเกาชาน
เมื่อรู้สถานที่สุ่ยฝานหรงผุดลุกขึ้นทันที ความวิตกกังวลห่วงความปลอดภัยของน้องสาวเกินขีดจำกัด เขาจะต้องไปช่วยเหลือนางเดี๋ยวนี้
ฉินอ๋องรีบบอกว่า “เขาเกาชานอันตรายมาก มีของจำเป็นที่ต้องใช้ รอซักครู่เถิด” แล้วจึงหันไปสั่งจางชุน “เจ้าไปพบพ่อบ้านที่จวน บอกเขาว่าข้าต้องใช้ห่อของที่มีรูปใบไม้สีแดงอยู่ด้านบนสองห่อและของในกล่องสีเขียวที่ต้องใช้คู่กัน แล้วเจ้ารีบนำมาให้ข้าภายในหนึ่งเค่อ” จางชุนรับคำสั่งแล้วเร่งรีบไปยังจวนฉินอ๋องทันที
สุ่ยฝานหรงหันไปสั่งการฝูซิง นายทหารคนสนิท “ฝูซิงไปนำแผนที่ของเขาเกาชานจากห้องหนังสือของที่ทำการมาเดี๋ยวนี้”
เมื่อได้รับแผนที่ สุ่ยฝานหรงกางแผนที่ลงบนโต๊ะ ทุกคนในห้องเข้าไปรุมล้อมแล้วต่างก็มีสีหน้าผิดหวังไปตามกัน แผนที่มีเพียงข้อมูลทั่วไปเช่น ที่ตั้ง พื้นที่ป่า พื้นที่แม่น้ำ เท่านั้น ไม่มีรายละเอียดอื่นใด ฉินอ๋องและสุ่ยฝานหรงใช้ข้อมูลเท่าที่มีร่วมกันวางแผนจู่โจมกองโจรปีศาจคำราม
ต่อมาไม่นานนัก เสียงเกือกม้ากระทบพื้นดินบอกให้รู้ว่าม้าฝูงนี้กำลังห้อตะบึงอย่างรวดเร็ว ฉินอ๋องสีหน้าถมึงทึงนำหน้า สุ่ยฝานหรงตามมาติด ๆ พื้นที่ตั้งเขาเกาชานอยู่ทางทิศตะวันตกบนรอยต่อระหว่างเมืองหลวงและเมืองฮวง ไม่มีผู้คนสัญจรผ่านทาง เส้นทางขรุขระเหลือทน ในที่สุดขบวนม้าก็มาถึงเชิงเขาเกาชาน
เขาเกาชานเป็นแหล่งกบดานของกองโจรปีศาจคำราม ภาครัฐพยายามปราบปรามมาหลายครั้งแต่ยังไม่สำเร็จ ด้วยมีป่าไม้กินเนื้อคนเป็นที่กำบัง แม้แต่พรานป่าที่ชำนาญในการเดินป่าอื่น ๆ ก็เป็นอาหารของบรรดาต้นไม้เสียนักต่อนัก อีกทั้งยังมีแม่น้ำที่กระแสน้ำไหลเชี่ยวกรากขวางกั้นก่อนถึงเขตป่าไม้กินเนื้อคนอีกด้วย
กองกำลังทหารมิได้หยุดพักแม้แต่น้อย ทุกคนมุ่งหน้าไปยังยอดเขา แต่การขี่ม้าขึ้นภูเขาค่อนข้างลาดชันทำให้การเดินทางไม่เร็วเท่าที่ใจต้องการ
ในที่สุดก็มาถึงริมแม่น้ำ ทุกคนมองตรงไปยังฝั่งตรงกันข้าม ต้นไม้ขนาดหลายคนโอบยืนต้นเรียงรายเต็มภูเขา ผิวไม้สีน้ำตาลอมแดง มียางไม้สีแดงไหลออกมาแห้งเกรอะกรังตามลำต้น ใบไม้สีเขียวสดสวยงาม แทบมองไม่เห็นใบที่แห้งเหี่ยวเลย ถ้าไม่เพราะมีกลิ่นคาวรุนแรงลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ ก็จะเป็นป่าไม้ที่สมบูรณ์แบบมากทีเดียว
ฉินอ๋องพยักหน้าให้จางชุน องครักษ์ฝีมือดี จางชุนเสียบไก่ตายซึ่งซื้อมาจากในเมืองเข้ากับปลายธนู จากนั้นยิงข้ามแม่น้ำไปยังฝั่งตรงข้าม
ทันใดนั้น เหมือนลมพายุพัดผ่าน ต้นไม้หลายต้นกิ่งใบกวัดไกวอย่างรุนแรง ดูราวจะถอนรากโคนเพื่อแย่งอาหาร ก่อนที่ไก่จะตกถึงพื้น ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งก็ยื่นกิ่งมารับไว้ได้และใช้กิ่งก้านรัดแน่นจนเหยื่อแหลกเหลว เลือดไก่ที่ไหลถูกดูดซึมเข้าไปในกิ่งก้านอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวแม้แต่ซากก็ไม่เหลือ
“ฝั่งนั้นเป็นป่าไม้กินเนื้อคนยาวเหยียด ยากที่จะผ่านพ่ะย่ะค่ะ” สุ่ยฝานหรงสีหน้าหม่นหมอง
“ใช้ไฟเผาไม่ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ” จางชุนเสนอแนะ
ฉินอ๋องส่ายหน้า “หากเผาก็จะเกิดไฟป่ายากเกินควบคุม คนบนยอดเขาอาจเสียชีวิตทั้งหมด และอาจลามไปยังพื้นที่ป่าอื่นอีกด้วย” ทุกคนนิ่งเงียบใช้ความคิดว่าจะมีอะไรเหมาะสมกว่าแผนที่วางหรือไม่ เพราะแผนนั้นก็อันตรายเหลือเกิน จะมีทางใดปลอดภัยกว่าและต้องช่วยเหลือสุ่ยเฉินเฟิงได้ทันเวลาด้วย
หลังจากเงียบขรึมไปอึดใจหนึ่ง ฉินอ๋องตัดสินพระทัยเด็ดขาด กล่าวว่า “ข้าจะไปทางน้ำ จางชุน เหลียงจื้อ และหน่วยมัจฉาพระกาฬมากับข้า ส่วนท่านดำเนินการตามที่สั่งไว้”
“แต่ทางน้ำก็อันตรายมากนะพ่ะย่ะค่ะ ไม่แน่ว่ารากไม้ที่อยู่ในน้ำจะยอมนิ่งเฉย เฟิงเอ๋อร์เป็นน้องสาวของกระหม่อม ได้โปรดทรงอนุญาตให้กระหม่อมไปทางน้ำเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้ ข้าว่ายน้ำ ดำน้ำ ได้ดุจมัจฉา เก่งกว่าท่านมากนัก อีกทั้งครั้งนี้เป็นการทวนกระแสน้ำขึ้นสู่ที่สูง ความยากลำบากย่อมมีมากขึ้น ท่านรับห่อนี้ไปดำเนินการตามแผนเถิด” ฉินอ๋องพยักหน้าให้จางชุนส่งสิ่งของห่อใหญ่สองห่อให้สุ่ยฝานหรง “ระมัดระวังด้วย สิ่งนั้นอันตรายมากถึงชีวิต แล้วพบกันบนยอดเขา”
สุ่ยฝานหรงรับห่อของมา มองเทียนตี้หย่งพร้อมหน่วยมัจฉาพระกาฬเคลื่อนตัวลงน้ำอย่างแผ่วเบา ร่างสูงเพรียวของฉินอ๋องและหน่วยมัจฉาพระกาฬเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียวในน้ำ ลัดเลาะริมฝั่งนี้ เมื่อมองไปยังฝั่งตรงข้าม มองเห็นรากไม้ในน้ำพยายามยืดรากออกมาจนสุด หวังจะเกี่ยวกระหวัดกลุ่มคนไปเป็นอาหาร บางรากถึงขนาดพุ่งออกมาจากลำต้นหวังจะแทงทะลุร่างกำยำหลายร่างที่ดำน้ำท้าทาย น่าเสียดายที่เมื่อหลุดจากขั้วก็ร่วงผลอยเป็นปุ๋ยอยู่ในน้ำ
หน่วยมัจฉาพระกาฬโผล่ขึ้นหายใจเป็นช่วง ๆ ต้องเร่งรีบว่ายน้ำไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด ระยะเวลาต้องสอดคล้องกับการดำเนินการที่ต้นทางของสุ่ยฝานหรง ในที่สุดฉินอ๋องและหน่วยมัจฉาพระกาฬก็มาถึงใจกลางเขาเกาชาน ดวงตะวันคล้อยต่ำลงเรื่อย ๆ กลุ่มคนปีนป่ายขึ้นยอดเขาอย่างว่องไว ต้องไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากสิ่งที่จะมาพร้อมความมืด
สิบปีผ่านไป ณ ตำหนักคุนหนิง ฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง นั่งดื่มชาในสวนดอกไม้ อากาศอบอุ่น มีลมพัดผ่านเบา ๆ นึกถึงชะตาชีวิตที่แปลกประหลาด ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่มีชีวิตสงบสุขเหมือนคุณหนูสูงศักดิ์ทั่วไป แต่เมื่อถึงวัยมีคู่ครองก็มีเรื่องเดือดร้อนไม่จบไม่สิ้น ชีวิตเหมือนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง กว่าจะฝ่าฟันมาถึงวันนี้ก็ได้รับประคับประคองจากพระสวามีผู้สง่างามและครอบครัวเดิม สุ่ยเฉินเฟิงสัญญากับตนเองว่าจะทะนุถนอมความรักของพวกเขาไว้อย่างดีฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง และฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมห้าองค์ องค์ชายหย่งเฉิงคล้ายเสด็จพ่อมากที่สุดทั้งรูปร่างหน้าตา อุปนิสัย และความรู้ความสามารถ องค์ชายหย่งเฉิงชื่นชอบการฝึกซ้อมอาวุธทุกประเภท อีกทั้งยังชำนาญหมากล้อมและการฝึกเชาว์ปัญญาต่าง ๆ เรียกว่าเก่งทั้งบู๊และบุ๋นองค์หญิงเฟิงซินหน้าตาคล้ายเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ ทำให้นางเป็นที่โปรดปรานของเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือยิ่งนัก บางครั้งฮ่องเต้ยังจำใจต้องอนุญาตให้องค์หญิงเฟิงซินไปพักค้างที่ตำหนักนอกวังบ้างเพราะทนการรบเร้าของผู้เป็นมารดาไม่ไหว แรก ๆ ก็ไปพักค้างครั้งละหนึ่งคืน พอนานเข้าเสด็จย่าไทเฮา
ราษฎรต้อนรับการประสูติขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงอย่างเอิกเกริก ร้านค้าในตลาดและบ้านเรือนราษฎรปักธงถวายพระพร เหลาเฉียนจัดทำอาหารพิเศษแจกจ่ายให้ลูกค้าโดยไม่คิดเงิน ร้านขายผลไม้ก็นำส้มมงคลมาแจกจ่ายให้ผู้คนที่สัญจรไปมาเมื่อครั้งเทียนตี้หย่งยังดำรงตำแหน่งฉินอ๋อง ราษฎรก็รักใคร่ชื่นชม แม้ในจวนอ๋องจะไม่มีพระชายา พระชายารอง หรืออนุ ก็ไม่มีผู้ใดใส่ใจ ต่อมาขึ้นครองราชย์ ราษฎรก็ปลื้มปิติ แต่ก็กังวลเพราะฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ลั่นวาจาไว้ว่าจะมีฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิงเพียงพระองค์เดียวแม้ในขณะที่แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งฮองเฮา พระนางจะตั้งครรภ์แล้วก็ตาม หากเป็นพระราชธิดาพวกเขาก็ยังไม่วางใจ ดังนั้นเมื่อองค์ชายน้อยหย่งเฉิงประสูติ จึงเป็นทั้งความยินดีและความโล่งใจของราษฎรทั้งหลาย อย่างน้อยก็สบายใจได้ว่า แคว้นต้าเจียมีผู้สืบทอดบัลลังก์มังกรแล้วในแต่ละวันขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงมีเสด็จย่าทั้งสองและท่านยายผลัดกันมาดูแล คือเสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้ เสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ และท่านยายเจียงจือไฉ แต่เสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้จะได้เปรียบมากกว่าเพราะประทับในวังเช่นเดียวกัน จึงมาดูแลเกือบทุกวัน เว้นแต่วันที่เสด็จย่าไทเฮ
พระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮาเป็นไปอย่างเรียบง่ายตามความประสงค์ของสุ่ยเฉินเฟิง ตำหนักคุนหนิงของฮองเฮาได้รับการปรับปรุงใหม่ มีห้องสำหรับทารกติดกับห้องบรรทมของฮองเฮา สำหรับฮ่องเต้เทียนคงอิงฉงนั้นแม้จะมีตำหนักเฉียนชิง แต่พระองค์ก็จะมาบรรทมที่ตำหนักคุนหนิงเป็นประจำ เว้นแต่ช่วงที่ทรงงานดึกจึงจะพักผ่อนที่ตำหนักเฉียนชิงเพื่อให้ฮองเฮาพักผ่อนเต็มที่ ไม่ต้องตื่นกลางดึกสุ่ยฝานหรงซึ่งบัดนี้ได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีนั้น บางวันจะพาเหมยกุ้ยเข้าวังมาส่งที่ตำหนักคุนหนิงในช่วงเช้า และมารับกลับหลังจากประชุมขุนนางเสร็จ ชีวิตของสุ่ยเฉินเฟิงจึงไม่เงียบเหงาเกินไป ส่วนถิงถิงซึ่งบัดนี้เป็นนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาก็ช่างมีเรื่องซุบซิบมาเล่าให้ฟัง แม้กระทั่งองค์หญิงนาราที่เสวยผลไป่เซียงกั่วเพื่อให้เกิดผื่นจะได้ยืดเวลาการอยู่ในวังหลวงเพื่อมีเวลาขอถวายตัวเป็นสนมก็มาเล่าให้ฟัง เรียกได้ว่าทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ถิงถิงไม่ค่อยจะพลาดข่าว ถิงถิงมีความเห็นว่ารู้มากหน่อยดีกว่ารู้น้อยไปเมื่อสุ่ยฝานหรงเข้ารับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแล้ว ฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ก็ต้องวางกำลังคนที่ไว้ใจให้ควบคุมหน่วยกำลัง
ไทเฮาสือจินอวี้ลุกขึ้นจากที่ประทับ ตรงไปยังองค์หญิงนาราที่นั่งคุกเข่า ใช้สองพระหัตถ์แตะไหล่ประคองให้องค์หญิงน้อยลุกขึ้นยืน แล้วตรัสว่า “องค์หญิงนารามีหน้าตาสวยงามและเพียบพร้อมด้วยความรู้ ไม่ควรจะมาเป็นสนม ความหวังดีนี้ไม่อาจรับไว้ได้ ขอให้แคว้นต้าเจียและเผ่าตู้ผูกพันเป็นมิตรที่ดีต่อกันเถิด”ภายนอกมีเสียงดังขึ้นว่า “ฮ่องเต้เสด็จ”เมื่อร่างสูงสง่าของฮ่องเต้ก้าวเข้ามาในโถงกลางของวังหลัง พระองค์ทำความเคารพไทเฮาก่อน แล้วจึงหันไปตรัสแก่ผู้อื่นที่ทำความเคารพว่า “ไม่ต้องมากพิธี” องค์หญิงน้อยมองด้วยสายตาหลงใหลเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อยแล้วตรัสด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เจิ้นขอบใจในน้ำใจของถู่ซือและองค์หญิง แต่ไม่อาจรับไว้ได้ ต้าเจียและเผ่าตู้ไม่จำเป็นต้องผูกพันกันด้วยการอภิเษกหรือการเป็นสนม แต่ยังเป็นพันธมิตรกันต่อไปได้”องค์หญิงน้อยทำได้เพียงกล่าวเสียงเบาว่า “เพคะ” รู้สึกอับอายแทบแทรกแผ่นดิน ไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกปฏิเสธแม้แต่การเป็นสนม เทียนตี้หย่งหันไปทางทูตเผ่าตู้แล้วตรัสว่า “เผ่าตู้มีสินค้าหายากหลายอย่างที่ต้าเจียไม่มี เจิ้นจะให้ทูตการค้าต้าเจียหารือเรื่องการพัฒนาการค้าขายระหว่างกันดีห
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เทียนตี้หย่ง ขึ้นครองราชย์สถาปนาเป็นฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง ราษฎรทั่วแคว้นต้าเจียเฉลิมฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืน พวกเขาล้วนมีความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งใดที่เคยหวัง ต่างแคว้นล้วนส่งทูตมาแสดงความยินดี ไม่มีแคว้นใดหาญกล้าทดสอบความแข็งแกร่งของฮ่องเต้พระองค์ใหม่เผ่าตู้เป็นชนเผ่าที่เคยถูกแคว้นต้าเลี่ยงรุกรานและสร้างความอัปยศให้แก่องค์หญิงหลายองค์จนปลิดชีพตนเอง เมื่อแคว้นต้าเจียปราบปรามแคว้นต้าเลี่ยงทำให้เผ่าตู้ได้รับอิสระอีกครั้ง เมื่อมาแสดงความยินดีในครั้งนี้ มีองค์หญิงน้อยเผ่าตู้ร่วมเดินทางมาด้วย องค์หญิงนาราเป็นองค์หญิงองค์เดียวที่ปลอดภัยจากการรุกราน เนื่องจากช่วงเวลานั้นไม่ได้อยู่ในดินแดนเผ่าตู้ ในท้องพระโรง พระเจ้าเทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร พระพักตร์ขาวใส ดวงตาดำขลับยาวรีปลายชี้ฟ้า จมูกโด่งเป็นสัน ช่างสง่างามเหลือเกิน องค์หญิงน้อยมองดูด้วยความตะลึง หลงรักบุรุษผู้สง่างามนี้ทันทีเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์ขอบคุณแคว้นต่าง ๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดี และเชิญทูตทุกแคว้นทุกชนเผ่าเข้าร่วมงานเลี้ยงในตอนเย็น เนื่องจากยังไม่มีการแต่งตั
หลังจากพระเจ้าเต๋อหมิงได้รับบาดเจ็บ คณะหมอหลวงก็พยายามทุกวิธีในการรักษา เพราะฤทธิ์ยาระงับความเจ็บปวดที่หมอหลวงปรุงขึ้น แม้พระพักตร์จะขาวซีดแต่ก็ไม่แสดงถึงความเจ็บปวด เวลาผ่านไปสิบกว่าวัน ลมหายใจที่แผ่วเบานั้นก็หยุดนิ่ง หัวหน้าหมอหลวงตรวจชีพจรอีกครั้งก่อนจะหันมาทูลต่อไทเฮาสือจินอวี้ว่า“พระองค์กลับคืนสู่สวรรค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไทเฮาสือจินอวี้ตัวอ่อน เป็นลมล้มพับ ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง ที่ยืนอยู่ใกล้กันรับตัวเสด็จป้าสะใภ้ไว้ทันก่อนพระวรกายกระทบพื้น หมอหลวงแบ่งคนมาปฐมพยาบาลไทเฮา ความเศร้าโศกเสียใจล้นห้องบรรทมออกไปครอบคลุมวังหลวงและกระจายออกไปทั่วแคว้น พระเจ้าเต๋อหมิงเป็นผู้ปกครองใต้หล้าด้วยความเมตตา จึงเป็นที่รักใคร่ของราษฎร ในช่วงเวลาอันเศร้าหมอง ฉินอ๋องเป็นกำลังหลักในการสั่งการเรื่องต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยหลังจากพิธีการต่าง ๆ ผ่านพ้นไป ไทเฮาสือจินอวี้ก็เรียกฉินอ๋องเข้าเฝ้า สุ่ยเฉินเฟิงดูแลเครื่องแต่งกายให้พระสวามี ฉินอ๋องใช้นิ้วดันคางของนางให้เงยหน้าขึ้น“เฟิงเอ๋อร์ เจ้ากังวลอะไรหรือ”สุ่ยเฉินเฟิงถอนหายใจ “ไม่แน่ว่าการเรียกตัวเข้าเฝ้าในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับบัลลังก์ที่ว่างอยู่เพ