“เฮียเคยนอนกับคนรู้จักไหม? นอนกันแล้วไม่ได้คบ…แล้วเฮียวางตัวยังไง?” ลลิตาอยากรู้ว่าหลังจากคืนนี้เธอจะต้องวางตัวยังไงกับเขา ถามไปก็จิบไวน์ไปตามที่เขาบอก
“เคย ก็ทำตัวปกติเพราะตกลงกันแล้ว เลิกคิดนะว่านอนกับใครแล้วต้องได้คบเป็นแฟนหรือแต่งงาน นี่ยุคไหนแล้ว เซ็กซ์ก็คือเซ็กซ์ แม่งก็แค่กิจกรรมหนึ่งที่ต้องทำกันเป็นคู่ ก็เหมือนตีเทนนิส”
“เหอะ! เปรียบเทียบเซ็กซ์กับเทนนิสเนี่ยนะ?”
“ก็กิจกรรมคู่ที่ต้องใช้ร่างกายเหมือนกันปะวะ?”
“ก็ใช่ แต่มันไม่เหมือนกัน…เล่นเทนนิสมันไม่ต้องใช้ความรู้สึกลึกซึ้ง ไม่ต้องแก้ผ้า ไม่ต้องเอาตัวมาแนบชิดกันนี่”
“ถึงได้บอกไงว่าอย่าเอาใจลงมาเล่น อย่าใช้ความรู้สึกทางใจ ถ้าเธอไม่รู้สึกอะไร…จะแก้ผ้าหรือแนบชิดกันแค่ไหนมันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าแค่กิจกรรมทางเพศ แยกให้ออก…เรามาร่วมเพศกัน ไม่ใช่ร่วมรัก”
“เฮียดูช่ำชองจริง ๆ นะ แสดงว่าที่ผ่านมาเฮียไม่เคยหลงรักคู่นอนมาก่อนเลยสิ?”
“หึ ไม่เคย” เขาส่ายหน้าตอบพร้อมกับหันไปวางแก้วไวน์ของตัวเองที่โต๊ะหัวเตียง
“แล้วเฮียเคยรักใครไหม? เออว่ะ…หลินไม่เคยเห็นเฮียคบใครเป็นตัวเป็นตน อ๊ะ! อื้อ!” ถามไม่ทันจบประโยค ลลิตาก็ถูกอธิติคว้าท้ายทอยเข้าไปประกบปากจูบ เกิดมาอายุยี่สิบแปดปี เธอเพิ่งจะเคยจูบกับผู้ชายเป็นครั้งแรก ก็ตกใจอยู่ไม่น้อย พอตั้งสติได้ก็คิดจะจูบเขาตอบ ทว่าเขากลับสอดลิ้นเข้ามาในโพรงปาก แบบนี้เธอทำไม่เป็น ต้องเอาลิ้นตัวเองไปไว้ตรงไหน?
“เอาจริงดิวะหลิน?” อธิติถอนจูบออกมานิ่วหน้าถาม จูบเดียวก็ทำให้เขารู้ได้ว่าเธอคนนี้ไม่เป็นงาน ถ้าแม้แต่จูบยังทำไม่เป็น ก็อาจเป็นไปได้ว่าเธอไม่เคยมีเซ็กซ์ เธอคิดได้ยังไง…คิดจะเอาครั้งแรกมาเดิมพันกับคู่นอนในแอปน่ะหรือ?
“อะ อะไร? เอาจริงอะไร?” ลลิตารู้สึกประหม่าหนักกว่าเดิม ตอนนี้มีความเขินอายเพิ่มเข้ามาด้วย เธอไม่กล้าจะสบตาเขาแล้วด้วยซ้ำ
“ไม่เคยจูบเหรอ?”
“…”
“ไม่ต้องตอบนะ ถ้าจะโกหกเพื่อเอาชนะ ให้ตายเถอะว่ะ…เฮียเหลือจะเชื่อกับเธอจริง ๆ”
“ก็หลินไม่เคยมีแฟน! หลินเคยได้ใช้ชีวิตจริง ๆ เหรอ? เฮียก็เห็นว่าป๊าม้าหลินเป็นยังไง! หลินต้องตั้งหน้าตั้งตาเรียนมาตั้งแต่เด็ก พอโตก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาทำงาน แล้วจะให้เอาเวลาที่ไหนไปหาแฟน? พอไม่เคยมีแฟนแล้วจะเคยจูบได้ยังไง? หลินไม่ใช่เฮียนี่…ที่จะขายจูบแลกเงินมาตั้งแต่เด็กอะ!”
“อย่ามาพาลใส่เฮีย เธอเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบนั้นเอง แล้วใครเขาให้ตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงานจนลืมหาความสุขใส่ตัว? รู้จักไหม…เวิร์ค ไลฟ์ บาลานซ์อะ?”
“เฮียเลิกทำตัวเหมือนเป็นไลฟ์โค้ชเหอะ เวิร์ค ไลฟ์ บาลานซ์นั่นอะ เฮียรู้เหรอว่ามันเป็นยังไง? ตัวเองเคยบาลานซ์อะไรได้ที่ไหนแล้วยังจะมาสอนคนอื่น แล้วจะให้หลินใช้ชีวิตแบบไม่สนโลกเหมือนเฮียเหรอ? ทำแบบนั้นป๊าม้าก็ฆ่าหลินตายสิ ทำแบบนั้นแล้วชีวิตหลินจะเป็นยังไง?”
“…” ลลิตาพ่นคำบ่นเชิงตอกกลับออกมาจนเหมือนจะมีไฟแลบ อธิติก็ได้แต่เงียบ ถ้าเถียงเธอต่อมันจะเสียบรรยากาศมากไปกว่านี้
“เงียบทำไมล่ะ? พูดมาสิว่าหลินเถียงเฮียจนคอขึ้นเอ็น จะว่าอะไรหลินก็ว่ามาเลย”
“ไม่ได้จะว่า เธออย่าคิดแทนเฮียดิ เฮียเหนื่อยจะเถียงกับเธอ แล้วก็ไม่ต้องตีโพยตีพายได้ไหม? ไม่เคยก็คือไม่เคย เดี๋ยวเฮียสอนให้เอง เชื่อเถอะว่าหลังจากนี้เธอจะจูบเก่งจนผู้ชายต้องอายเลย” ว่าแล้วก็ยื่นหน้าเข้าหา พอได้มองลลิตาใกล้ ๆ ได้เห็นแววตาสั่น ๆ ด้วยความประหม่าผสมกับความตื่นเต้นหรืออาจจะเป็นตื่นกลัวของเธอ อธิติก็หลุดยิ้มออกมาบาง ๆ ก็น่ารักแหละ เธอเป็นคนน่ารัก ถึงจะดื้อไม่น้อย หัวแข็งไม่ใช่เล่น แต่ก็ยังน่ารักอยู่
“เฮีย…”
“อะไร?”
“อย่ามองแบบนั้นได้ไหม? จะจูบก็จูบ…เอาแต่มองแบบนั้นหลินรู้สึกแปลก ๆ”
“แปลกยังไง?”
“ก็…ใจมันเต้นแรง หลินไม่ชอบที่ใจเต้นแรงกับเฮีย” เพราะมันอาจจะหมายความเธอหวั่นไหวให้เขา ซึ่งมันไม่ใช่ ต่อให้คืนนี้ทำมากกว่าแค่จูบ ลลิตาก็ไม่คิดที่จะหวั่นไหวให้ผู้ชายอย่างอธิติ
“เธอก็แค่ตื่นเต้น ครั้งแรกก็แบบนี้แหละ เดี๋ยวต่อไปทำบ่อย ๆ ก็ชินเอง” จบคำอธิติก็มอบจูบที่สองให้ลลิตา ครั้งนี้เขาค่อย ๆ จูบเธออย่างช้า ๆ ค่อยละเลียดขบเม้มเรียวปากอวบอิ่มแดงระเรื่อของเธอเบา ๆ เขาไม่เร่งรีบ แม้ว่ารสจูบมันจะหวานฉ่ำ แม้ว่าความไม่ประสีประสาของหญิงสาวจะยั่วเย้าสักแค่ไหน ก็จะมูมมามไม่ได้ เกิดเธอตกใจแล้วสั่งหยุดขึ้นมาเขาจะอดเสียก่อน
ยิ่งจูบก็ยิ่งหวาน ยิ่งได้ยินเสียงครางเบา ๆ ในลำคอของอีกฝ่ายมันก็ยิ่งปลุกเร้าความปรารถนา อธิติกำลังสอนให้ลลิตาจูบ ซึ่งเธอก็พยายามจะเรียนรู้ เธอพยายามจะขยับปากจูบตอบ พยายามปรับองศาให้ตรงตามที่เขาชี้นำ แล้วเธอก็ทำได้ดีขึ้นกว่าครั้งแรก พอเขาเริ่มสอดลิ้นเขาหา เธอก็ไม่ถอยหนี ไม่ดันลิ้นเขาออกมา แต่กลับสัมผัสลิ้นเขาเหมือนที่เขาสัมผัสเธอ
“ฮึก!” พอหมดลม ลลิตาก็ถอนจูบออกมาหายใจ เลือดฝาดมันแผ่ซ่านอยู่เต็มทั้งสองแก้ม สายตาที่มองอธิติเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เป็นไง?”
“ก็…ดีมั้ง” ดีมากเลยต่างหาก พอเริ่มจูบเป็นแล้วมันรู้สึกดีไม่น้อยเลยทีเดียว
“มีผู้หญิงคนนึงเคยยอมอดค่าเงินขนมหนึ่งอาทิตย์เพื่อมาซื้อจูบของเฮีย มันจะแค่ ‘ดีมั้ง’ ได้ยังไง?” ที่เขาลือ ๆ กันมันเป็นเรื่องจริง สมัยที่อธิติเรียนมัธยมปลาย เขาเคยขายจูบเพื่อหาเงิน ทั้งที่บ้านก็พอจะมีฐานะแต่เขากลับไม่ชอบใช้เงินที่พ่อแม่ให้ หรือบางทีก็อาจจะใช้ไม่ได้พอจนต้องหารายได้เสริม
“เฮียดูภูมิใจเนอะ…”
“ก็ประมาณนึง มีใครบ้างล่ะที่หาเงินได้จากการขายจูบ?” เขาก็พูดไปอย่างนั้น พูดไปตามประสาคนกวนประสาท ใครมันจะภูมิใจกับการขายจูบ ที่ภูมิใจน่ะมันคือลีลาจูบชั้นเลิศต่างหาก
“ที่ไม่มีก็เพราะไม่มีใครคิดอยากจะทำต่างหาก”
“ไม่อยากหรือไม่กล้า? ลองถ้าทำแล้วจะไม่ถูกมองไม่ดี มีเหรอที่จะไม่แห่กันทำ?”
“ช่างเถอะ หลินก็ไม่เคยเถียงสู้เฮียได้อยู่แล้ว”
“รู้ตัวนี่ งั้นก็ไม่ต้องเถียงแล้ว…เก็บเสียงไว้ครางชื่อเฮียอย่างเดียวพอ”
“เฮียอย่าพูดทะลึ่ง หลินไม่ชอบ”
“คำไหนที่ทะลึ่ง?”
“ก็เฮียบอกให้หลินเก็บเสียงไว้ครางชื่อเฮีย”
“ก็เธอจะต้องครางจริง ๆ เดี๋ยวจะได้ครางแน่…ถ้าไม่ครางเฮียให้ล้านนึงเลย”
“เหอะ! มีเหรอ…ล้านนึงอะ งานการไม่ทำแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาให้หลิน?”
“พูดมากจริง!”
“อื้อ!” พอโดนคว้าตัวเข้ามาแนบชิด โดนจู่โจมจูบเข้าใส่ ลลิตาก็ร้องออกมาด้วยความไม่ตั้งตัว อธิติไม่ได้ทำรุนแรง แต่เขาทำด้วยความรวดเร็ว ถาโถมจูบแสนเร่าร้อนทว่าแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน บดเบียดและดูดดึงก่อนจะถอนออกมาสบตาเพียงเสี้ยววินาทีเพื่อให้เธอได้กอบโกยอากาศเข้าปอดแต่แล้วก็จูบต่ออีกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้นยังคว้าเอาแก้วไวน์จากมือเธอไปวางที่โต๊ะหัวเตียงจากนั้นก็โอบคนตัวเล็กให้นอนลง ส่วนเขาก็ทาบทับเธอไว้
เขาไม่ทนแล้ว จะไม่รอให้ลลิตาเมาจะเคลิ้มแล้ว จูบเธอสองครั้งก็ทำเขากระเหี้ยนกระหือรือขึ้นมา ต้องยอมรับว่าความไม่ประสีประสาของเธอมันปลุกเร้าเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ปกติอธิติเจอแต่ผู้หญิงเป็นงาน แบบนั้นมันก็ดี ไม่ต้องพูดมาก ไม่ต้องระวังว่าจะทำใครให้ขวัญหนีดีฝ่อ แต่แบบนี้มันก็ดีไปอีกแบบ…มันตื่นเต้นยังไงก็ไม่รู้ เหมือนต้องเฝ้าประคบประหงม เหมือนต้องคอยลูบ ๆ คลำ ๆ ต้องทำอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้ผุพังเพราะเป็นของมีค่าที่ต้องดูแลอย่างดี
เขาหมายถึงเซ็กซ์
แค่เรื่องเซ็กซ์เท่านั้น
บทส่งท้ายในที่สุดวันที่ลลิตาและอธิติรอคอยก็มาถึง เป็นวันงานแต่งงานของเขาและเธอ ซึ่งแม้ว่าทั้งสองจะมีเชื้อสายจีนแต่ก็เลือกจะจัดงานตามความสะดวก เป็นพิธีแบบผสมผสานไม่ได้ตรงตามแบบแผนใด ๆ ช่วงเช้าจัดเป็นพิธีหมั้น มีการสวมแหวนและมอบสินสอด ส่วนช่วงบ่ายจนถึงเย็นก็เป็นงานเลี้ยงที่จัดขึ้นในสวนดอกไม้เจ้าบ่าวในชุดสูทสีน้ำเงินยืนรอเจ้าสาวอยู่ที่ซุ้มดอกไม้ เขาเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อเพลงบรรเลงเริ่มดังขึ้น หัวใจมันเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เขาที่เคยผิดหวังครั้งใหญ่ในชีวิตจนล้มเลิกความคิดเรื่องแต่งงานไปแล้ว ไม่คิดไม่ฝันว่าสุดท้ายจะอยากแต่งงานกับใครสักคนขึ้นมาอีกครั้ง และไม่คิดเช่นกันว่าคนคนนั้นจะเป็นลลิตา น้องสาวที่เขาเห็นหน้าเห็นตามาตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยคิดว่าจะรักเธอในรูปแบบนี้มาตั้งแต่แรกเขาไม่เคยคิดว่าชีวิตจะอยู่โดยมีเธอเข้ามาเป็นแรงผลักดันไม่เคยคิดเลยว่าอยู่ ๆ จะอยากเป็นเสาหลักค้ำชูใครจนกระทั่งเขาได้ตกหลุมรักเธอเข้าเต็มหัวใจถามว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้เขารักเธอได้มากมายขนาดนี้ อธิติตอบไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าเริ่มรักเธอในฐานะผู้ชายคนหนึ่งตอนไหน ไม่รู้เลยว่าเพราะอะไรถึงรัก รู้เพียงแต่ว่า…ไม่มีเธออยู่เคียงข
“คิดว่าเฮียรู้ไม่ทันเหรอว่าเธอแกล้ง?”“หลินแกล้งเฮียบ้างไม่ได้เหรอ? ทีเฮียชอบแกล้งหลินล่ะ?” ลลิตาเชิดหน้าพร้อมรอยยิ้มอย่างคนท้าทาย แต่สุดท้ายก็ต้องนิ่วหน้าเสียวเมื่ออธิติล้วงลึกเข้าไปถึงจุดสั่นไหว “อื้อ…เฮียอี้!”“เปียกเฉย…แค่อมให้เฮียก็ทำให้เธอเสียวได้เหรอ?”“คิดว่าตัวเองอยากเป็นคนเดียวหรือไง?”“บอกเฮียสิว่าเธออยากมากแค่ไหน” สองคนจ้องตากันและกัน เรียวนิ้วของอธิติสอดลึกเข้าถึงโพรงอุ่น ตวัดเกี่ยวกระทำความเสียวซ่านให้คนตัวเล็ก แล้วเธอก็ร่อนโยกสู้เรียวนิ้วเขาเป็นจังหวะ“อ๊ะ! โคตรอยากเลย…ฮึก! เฮียขา…หลินอยากโดนเฮียกระแทกแรง ๆ”“แรงแค่ไหน?”“แรงที่สุด…ฮึก! เฮียอี้…เอาหลินหน่อย…อ๊าห์! เอาหลินทีเฮียอี้” ไม่มีเหตุผลให้ลลิตาต้องเขินอาย อีกไม่กี่วันคนตรงหน้าก็จะได้ชื่อว่าเป็นสามีเธอแล้ว ความต้องการมันบังคับให้เธอร้องขอ โอบรอบคอเขามาประกบปากจูบ จูบแล้วก็จูบอีกทว่ามันยังไม่หนำใจ เหมือนได้เท่าไรก็ไม่พอ“ไม่อยากให้เฮียเลียให้ก่อนเหรอ?”“ฮึก! ไม่ต้องแล้ว…ใส่มาเลยได้ไหม? หลินต้องการเฮียจนจะทนไม่ไหวแล้ว อ๊ะ! อ๊าห์!” พูดไม่ทันขาดคำอธิติก็มอบสิ่งที่ลลิตาโหยหาให้เธอ ถลกชุดลูกไม้บาง ๆ ขึ้นแล้วเอาความเป็นเ
30 ที่รักกลับมาถึงคอนโดมิเนียมลลิตาก็เข้าครัวไปทำมื้อเย็น ส่วนอธิติก็เข้าห้องทำงานไปเคลียร์งานของตัวเอง ช่วงนี้เขาต้องทำงานหนักเพราะมีเกมใหม่ที่กำลังสร้าง ทำงานไปได้สักพักลลิตาก็มาเรียกให้ไปกินข้าว ดูเหมือนว่าความพยายามของลลิตาจะเริ่มแสดงผล เพราะข้าวอบกุ้งวันนี้รสชาติดีกว่าครั้งก่อน ข้าวสุกทุกเม็ด รสชาติไม่เค็มโดดแล้ว ถือว่าเป็นเมนูที่อร่อยใช้ได้“อร่อยไหม?” หญิงสาวเอ่ยถาม เธอชอบใจและมีความสุขทุกครั้งที่เห็นอธิติกินอาหารฝีมือเธอ“อะไรที่เธอทำก็อร่อยทั้งนั้นแหละ ถึงเธอเอาดินเอาโคลนมาให้กิน…เฮียก็ว่าอร่อย”“เวอร์! ใครจะเอาดินเอาโคลนมาให้สามีกิน”“…” เมนูแรกที่เธอทำก็เหมือนเอาโคลนมาผัด อธิตินึกอยากจะพูดคำนั้นแต่ไม่กล้า เขาไม่ใช่พ่อบ้านใจกล้าและไม่ชอบเวลาเมียงอนด้วย อีกอย่าง…คืนนี้เขายังอยากให้เธอง้ออยู่“ยังงอนหลินอยู่อีกเหรอ? หลินบอกแล้วไงว่าที่พูดไปว่าขาดทุนอะ มันไม่ได้หมายความว่าอยากไปนอนกับคนอื่นที่ไม่ใช่เฮีย…ขนาดนี้แล้วยังไม่เชื่อใจกันอีกเหรอ?”“ใครจะไปรู้ ต่อไปถ้าเจอใครมาทำเหมือนว่าเคยนอนกับเฮียอีก…เธอจะไม่พูดเรื่องนั้นขึ้นมาอีกเหรอ?” ที่จริงเขาหายโกรธหายงอนไปตั้งแต่ที่ได้ยินคำว่า
ลลิตาไม่ใช่แม่ศรีเรือนที่ชอบทำงานบ้านหรือทำกับข้าวเก่ง อาจต้องพูดว่าเธอแทบจะทำอาหารไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อรู้ตัวว่าจะต้องแต่งงานและเป็นแม่ของลูกในสักวัน เธอก็พยายาม…เริ่มทำงานบ้านให้ติดเป็นนิสัย เริ่มเข้าครัวฝึกทำอาหาร ซึ่งคนแรกและคนเดียวที่ต้องเป็นหนูทดลองชิมอาหารฝีมือเธอก็คือว่าที่คุณสามีหลังเลิกงานทั้งสองคนมักจะแวะซุปเปอร์เพื่อซื้อของเข้าบ้าน อธิติชอบทุกครั้งที่ได้มาซื้อของกับลลิตาแบบนี้ เขาจะคอยโอบเอว โอบไหล่เธอแบบที่ไม่ปล่อยให้เดินห่างจากกาย ไม่ว่าเธอจะเดินไปทางไหนเขาก็จะรีบตามติดเหมือนเป็นเงาตามตัว“วันก่อนที่หลินทำข้าวอบกุ้งให้กิน เฮียชอบไหม? อยากกินอีกไหม?” หญิงสาวเอ่ยถามขณะที่สองคนกำลังเดินเลือกซื้ออาหารสด“ข้าวอบกุ้งเหรอ?” อธิติจำได้ดีข้าวอบกุ้งที่เม็ดข้าวยังแข็งเพราะไม่สุกดี รสชาติก็เค็มจนแทบกลืนไม่ลง พูดได้เลยว่าลลิตาไม่เหมาะกับงานในบ้านเลยแม้แต่น้อย แต่เพราะเห็นถึงความพยายามเขาเลยกินมันจนหมดไม่เหลือสักเม็ด ชมเธอครั้งแล้วครั้งเล่าว่ามันอร่อยสุด ๆ“หรืออยากกินสปาเก็ตตีขี้เมาแบบวันนั้นอีก?”“เฮียกินอะไรก็ได้ เธอทำอะไรให้กินเฮียก็กินได้ทั้งนั้นแหละ” อธิติคิดแล้วคิดอีกว่าค
29 จากคู่นอนเป็นคู่รักนับจากวันที่อธิติได้สร้างเรื่องเซอร์ไพรซ์กับคนที่บ้านจนถึงวันนี้ก็นับเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว เขาและลลิตาย้ายมาอยู่ด้วยกันที่คอนโดมิเนียมหรูราคาหลายสิบล้านที่ซื้อไว้เก็งกำไร ตอนนี้ลลิตาได้ลาออกจากลุคแล้วกลับเข้ามาทำงานที่เรด ร็อกเก็ตในตำแหน่งหัวหน้าแผนก Project Coordinator ที่ว่างอยู่หลังจากที่เพชรไพลินย้ายกลับไปอยู่อเมริกา ซึ่งทีแรกอธิติไม่ต้องการให้ลลิตาทำงานอะไรเลย เขาอยากให้เมียนอนสบาย ๆ อยู่ที่บ้าน แต่พอเธอยืนกรานว่ายังไงก็ยังอยากออกไปทำงาน เขาก็เสนอให้เธอมาเป็นเลขาของเขา ซึ่งก็อีกเช่นกัน…เธอปฏิเสธ สุดท้ายอธิติก็ต้องยอมตามใจให้ลลิตาไปทำงานในตำแหน่งที่อยากทำตลอดหนึ่งเดือนมานี้สองคนผัวเมียต้องปรับตัวเข้าหากันอย่างมากมาย เพราะไม่เคยได้มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแบบยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบนี้มาก่อน เถียงกันได้ทุกวัน มีเรื่องให้ต้องทะเลาะกันได้ตลอด แต่พอถึงเวลาเข้านอนก็นอนกกนอนกอดกันแบบไม่เหลือที่เว้นว่าง ส่วนใหญ่เรื่องที่ทะเลาะก็เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเรื่องความไม่เป็นระเบียบของอธิติ เรื่องที่เขาไม่ยกฝาชักโครกบ้าง เรื่องเขาถอดกางเกงในม้วนเป็นเล็กแปดแล้วไม่ยอมใส่ไว้ใน
อธิติจูงมือลลิตาเข้ามาในบ้าน ทีแรกลลิตาบอกว่ายังไม่พร้อมให้อธิติมาเจอป๊าม้าตอนนี้ แต่ฝ่ายชายไม่ยอม เขาบอกว่าถ้าเว้นระยะเวลาอาจทำให้ผู้ใหญ่คิดว่าเขาไม่ให้เกียรติ เข้ามาแล้วก็เห็นกิตติคุณกับวรรณวิมลนั่งทำหน้ากลุ้มใจอยู่ที่โซฟา ส่วนกวินกานต์ก็นั่งอ่านบัญชีอยู่ที่โต๊ะกินข้าวซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน“ป๊า…ม้า…เฮียอี้อยากมาคุยด้วย” ลลิตาเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด แต่ไม่ทันที่คนเป็นพ่อแม่จะได้ตอบอะไร อธิติก็เข้าไปคุกเข่าตรงหน้าพวกท่านแล้ว“ผมขอโทษเจ๊กกับโกวครับ ที่ทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาหรือทำเหมือนไม่ให้เกียรติ ที่มานี่ก็เพื่อจะบอกว่าผมรักและอยากดูแลหลินจริง ๆ และผมเชื่อว่าผมเองสามารถทำให้หลินมีความสุขได้แน่นอน เราสองคนรักกันจริง ๆ ครับ” อธิติยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง เขาไม่รู้ว่าจะต้องพูดยังไงเพื่อให้ผู้ใหญ่ยอมรับได้ เลยได้แต่พูดในสิ่งที่คิดเท่านั้น“ถ้าขึ้นตั้งท้อง…โกวว่ามันเกินไปหน่อยนะอี้ สองคนรักกันแล้วทำไมไม่บอกให้ผู้ใหญ่รับรู้ โกวไม่เคยรู้เลยว่าหลินมีแฟน อยู่ ๆ ก็ท้องขึ้นมาซะอย่างนี้มันใช้ได้ที่ไหน โต ๆ กันแล้วทำไมเรื่องแค่นี้คิดไม่ได้?” วรรณวิมลรู้สึกผิดหวังเมื่อได้รู้ว่าลูกสาวคนเล็กท้องก่อนแต่ง