LOGIN....เสียงฝนโปรยปรายลงบนหลังคา กลิ่นหินและดินชื้นผสมกลิ่นสมุนไพรคละคลุ้ง
ไป๋เยว่หลิงนั่งนิ่งตรงเก้าอี้ไม้ใกล้เตียง ชุดขาวของเขาสะอาดหมดจด ตัดกับความมืดรอบห้อง สายตาคมกริบไม่กะพริบ จ้องเพียงร่างบนเตียง คล้ายไม่ใช่สายตาของมนุษย์ แต่เป็นสัตว์ร้ายที่จ้องสมบัติชิ้นเดียวในโลกของมัน
“คุณชายไป๋… จ้องข้าแบบนี้ข้ากลัวนะ ...อย่างกับจะกลืนกินเสียอย่างนั้นแหละ บรื๋อ!”
เลี่ยหยางหัวเราะแห้ง ๆ ทั้งที่เจ็บจนขยับแทบไม่ได้
ไป๋เยว่หลิงยกมือช้า ๆ วางลงบนอกแข็งแรงที่เปื้อนเลือด นิ้วเรียวยาวกดแน่นจนเลี่ยหยางขมวดคิ้วเพราะเจ็บ
เลี่ยหยางกัดฟันแน่น แต่ริมฝีปากยังคงยกยิ้ม “โอ้ย! คุณชาย! ข้าเจ็บนะ!”
ไป๋เยว่หลิงโน้มกายลงใกล้ กระซิบติดริมฝีปาก “นี่… เพราะเจ้าทิ้งผลไม้ข้าตกพื้น” น้ำเสียงหวานปนบีบบังคับ
เลี่ยหยางหัวเราะแหะ ๆ เบา ๆ ทั้งที่หายใจหอบ “ข้าไมได้ได้ตั้งใจคุณชาย....ข้าแค่เห็นท่านงดงาม!”
ไป๋เยว่หลิงนิ่งไปเพียงชั่วครู่ ก่อนจะกดมือแน่นลงบนบาดแผลที่แผ่นหลัง เลี่ยหยางสะดุ้งเฮือก เจ็บจนกัดฟันเลือดซึมริมฝีปาก
“อึก…(เจ็บ)!!”
“ข้างดงาม?”
แต่เลี่ยหยางกลับหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา “ไม่ใช่อย่างนั้น … ข้าหมายถึงท่วงท่ากระบี่ท่านงดงาม กระบวนท่ากระบี่สุดท้ายนั่นไง”
"จนข้าเผลอทำผลไม้ท่านตกพื้น ...ข้าขอโทษ"
เงียบ…
2 ร่างใกล้กันจนลมหายใจสอดประสาน ริมฝีปากแทบจะประสานแต่ยังเว้นระยะไว้
เลี่ยหยางหอบหายใจแรง ร่างสูงสั่นสะท้านจากความเจ็บปวด แต่ริมฝีปากยังคงยกยิ้ม ทั้งดวงตาวาววับเต็มไปด้วยแววท้าทาย
“อึก… ฮ่า ๆ … ท่านนี่เป็นคนแปลกนะ คุณชาย”
ไป๋เยว่หลิงก้มหน้าลงใกล้จนลมหายใจปะทะกัน เสียงทุ้มเย็นเอื้อนเบา
นิ้วเรียวยาวของเขาเลื่อนจากบาดแผลขึ้นมาที่ลำคอ แผ่วเบาราวกับลูบไล้ แต่แรงกดแฝงอยู่ในปลายนิ้ว แรงพอจะพรากลมหายใจได้ทุกเมื่อ
เลี่ยหยางยกคางขึ้นเอง ราวกับจงใจยั่ว “ท...ท่านจะบีบให้ข้าตายหรือไง คุณชายไป๋”
ไป๋เยว่หลิงเงียบไปชั่วขณะ สายตาที่เย็นชากลับสั่นไหว ก่อนจะถอนหายใจแผ่ว สายตาเต็มไปด้วยความบิดเบี้ยวอันลึกล้ำ
เขากดหน้าผากลงแนบกับอีกฝ่าย ดวงตาหลับแน่น ริมฝีปากกระซิบแผ่วสั่น "อย่าเรียกคุณชาย เจ้าต้องเรียกเยว่หลิง”
เลี่ยหยางกลืนน้ำลายดังอึก ไอ้หน้าหล่อคนนี้มันโรคจิตชัด ๆ เขาหัวเราะพร่า ๆ ในลำคอ แม้หายใจติดขัดจากแรงกดที่ลำคอ
“หึ…พูดแบบนี้ ข้าขอเรียกท่านว่าหลิงหลิงแทนละกัน”
ไป๋เยว่หลิงชะงักไปชั่ววินาที สายตาเย็นจัด นิ้วเรียวกดแรงขึ้นที่ลำคอจนเลี่ยหยางขมวดคิ้ว หายใจติดขัด
เลี่ยหยางกัดฟันหัวเราะอย่างบ้าบิ่น “ช...ใช่ หลิงหลิง”
เงียบ…
แล้วทันใดนั้น ไป๋เยว่หลิงก็กดปากลงใกล้ริมฝีปากของเลี่ยหยาง ๆ หลับตาปี๋ (จะโดนผู้ชายจูบแล้วตู +_+)
"ฟู่! .....ฟู่.....ฟู่"
เลี่ยหยางแง้มลืมตามอง เห็นเยว่หลิงกำลังใช้ปากเป่าลมที่ริมฝีปากเขา
"ปากเจ้ามีแผล เจ้าเป็นร้อนใน ข้าจะไปเอายาแก้ร้อนในมาทาให้"
เสียงเท้าของคุณชายตระกูลใหญ่ค่อยๆ เลือนหายเข้าไปในห้องด้านใน ทิ้งให้เลี่ยหยางนอนตะลึงค้างอยู่บนเตียง
“…แม่งเอ๊ย… ข้ากลัวจะถูกจูบใจจะขาด แต่สุดท้ายได้ยาแก้ร้อนในแทน!”
“เจ้าหลิงหลิง หึ!”
สายตาเขามองไปทางห้องที่เยว่หลิงเข้าไป แล้วยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
....ไม่กี่อึดใจ ไป๋เยว่หลิงเดินกลับออกมาจากห้อง มือเรียวขาวเนียนนั้นถือขวดยาเล็กๆ กับชามน้ำอุ่น เขานั่งลงข้างเตียงอย่างสงบ ใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ แต่แววตากลับเหมือนจับจ้องเหยื่อที่ไม่อาจหนีไปไหนได้
เลี่ยหยางกลืนน้ำลายเอื๊อก
ไป๋เยว่หลิงไม่ตอบ เอื้อมมือจับคางแข็งแรงของเลี่ยหยางบังคับให้หันมา ริมฝีปากบางกระซิบชิดหู
เลี่ยหยางสะดุ้ง “บ้าชิบ!… นี่มันฉากในนิยายเล่มไหนวะ!?” เขาพยายามเบือนหน้าหนี แต่แรงบีบที่คางกลับแน่นจนเจ็บ
“อ้าปาก!” ไป๋เยว่หลิงพูดซ้ำ น้ำเสียงเรียบเย็นแต่บังคับ
เลี่ยหยางกัดฟันแน่น
ไป๋เยว่หลิงนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วอยู่ๆ ก็… หยิบตะเกียบไม้ยาวออกมาจากแขนเสื้อ
เลี่ยหยางตาเหลือก “เฮ้ยๆๆ จะเล่นพิเรนอะไรอีกเนี่ย!?”
ก่อนที่เขาจะทันดิ้น ไป๋เยว่หลิงก็ดันตะเกียบเข้าไปในปากเลี่ยหยาง… ใช้เป็นคีมงัดฟันให้อ้าค้างไว้ แล้วหยดน้ำยาสีขาวขุ่นลงไปช้าๆ
เลี่ยหยางสำลักแทบตาย ไอแค่กๆ ตาแดงก่ำ
ไป๋เยว่หลิงไม่ตอบ เขามองอย่างเย็นชา แล้วเอาตะเกียบออกจากปาก ราวกับไม่ได้ทำอะไรผิดแม้แต่น้อย พลางใช้ผ้าเช็ดปากเลี่ยหยางอย่างประณีตเหมือนกำลังดูแลคนรักที่บอบบางที่สุด ยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากเลี่ยหยางเบาๆ
“อย่าพูดมาก… เดี๋ยวแผลในปากเจ้าแตกอีก”
....ทันใดนั้น เสียงลมพัดแผ่วเข้าห้อง พร้อมกับสิ่งของบางอย่างพุ่งตรงมา
ไป๋เยว่หลิงใช้นิ้วเรียวยาวจับตะเกียบไม้คีบของบางอย่างไว้กลางอากาศ มันคือมีดบินขนาดเล็กจิ๋ว
ชายชุดดำหนึ่งคนโผล่จากหลังคา กระโดดลงมากลางห้อง กำดาบยาวตั้งท่า
แววตาไป๋เยว่หลิงเปลี่ยนจากเย็นชา… เป็นสายตาที่ฉายกลิ่นสังหารแบบสุดขั้ว
“อย่า… อย่าสู้กัน!” เลี่ยหยางตะโกน แม้เสียงยังแผ่วไปบ้างเพราะเจ็บแผล แต่ดวงตายังคงวาวแววตื่นเต้น
ชายชุดดำหันไปมองเลี่ยหยาง "ต...แต่ เพราะมันทำให้หัวหน้าเป็นแบบนี้ ข้าบอกแล้วว่าไม่ควรเก็บมันไว้!"
ไม่คุยเยอะ ชายชุดดำก็พุ่งเข้ามาหมายจะฆ่าเยว่หลิง จริง ๆ เขาสังเกตุมาสักพักแล้วว่าเยว่หลิงไม่มีกระบี่ในมือ
แต่เขาคิดผิด เยว่หลิงลุกขึ้นรูดเข็มขัดที่เอว ปรากฎว่ามันคือกระบี่บางๆเหนียวยืดหยุ่นสูงที่งอพันเอวเขาไว้
กระบี่นั้นไม่ได้รับดาบตรงๆแต่อาศัยแรงของผลักกลับไปให้โจมตีตัวผู้ถือเอง
ชายชุดดำถอยออกมา ทีนี้เขาตั้งท่า หมายจะใช้วิชาดาบสังหารเยว่หลิงให้ตายในดาบเดียว
เยว่หลิงจับดาบมือขวาชี้ลง เมื่อชายชุดดำพุ่งเข้ามา เขาวาดขึ้นมามาเล็กน้อยและค่อย ๆ โยนลอยเป็นวงกลมไปทางมือซ้าย
"เพลงกระบี่จันทรา!!"
เลี่ยหยางสะอึก! เขารู้ดีว่านั่นคือวิชาที่อันตรายแค่ไหน เขารีบพุ่งกระโจนออกไป
ดาบชายชุดดำหักครึ่ง ปลายกระบี่กำลังฟาดเข้าไปที่บริเวณคอของชายชุดดำหมายจะปลิดชีวิต
ทันใดนั้นเลี่ยงหยางก็เข้ามาบังชายชุดดำ เยว่หลิงตกใจ แต่ในวินาทีนั้นกระบี่ใกล้จะถึงคอเลี่ยหยางแล้ว!
แรงเหวี่ยง ....มันไม่ทันแล้ว เลี่ยหยางจะต้องถูกกระบี่ฟันคอแน่!
เยว่หลิงตาลุกโพลง กัดฟันกร่อด! ขาขวาก้าว หมุนตัวจากทางขวา ทำให้มือซื้อที่ถือกระบี่มีชะลอเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะใช้หมัดขวาชกมือซ้ายตัวเองสุดแรงเกิดจนกระบี่ถูกกระเด็นหลุดจากมือ
เนื่องจากขาพันกันจึงเสียจังหวะทำให้เขาเสียหลักล้มซบเลี่ยหยาง ๆ ใช้มือทั้ง 2 ข้างจับไหล่ประคองเยว่หลิง
"ฟู่! เหยียนลั่วหวัง(เทพผู้ปกครองนรก)ยังไม่คิดถึงข้านะ! ข้านึกว่าต้องได้ไปทำกระทะทองแดงใหม่ให้เขาแล้วจริง ๆ"
"หลิงหลิง เจ้าอย่าเล่นอะไรแบบนี้อีกนะ ข้ากลัวจนจะฉี่ราดอยู่แล้วเนี่ย!" ซึ่งเป็นเรื่องจริง ขาเลี่ยหยางสั่น มีเหงื่อก้อนโตๆอยู่บนใบหน้า
เยว่หลิงมองหน้าเลี่ยหยาง ที่จริงเขาจะผงะออกเลยก็ได้ แต่เขาก็ค้างแช่อยู่แบบนั้น แถมเอาศรีษะซบลงที่หัวไหล่เลี่ยหยางอีกด้วย
ใบหน้านั่น คมเข้ม ริมฝีปากยกยิ้มที่ข้าชอบ ดวงตาวาววับเหมือนนักล่าที่มีเสน่ห์ร้อนแรง คนๆ นี้เป็นของข้าผู้เดียว
ชายชุดดำยืนตัวแข็งทื่อ จิตหลุด ในใจคิด "ไม่น่าเลยตรู หมอนี่ไม่ใช่คนที่จะมาหาเรื่องได้"
เลี่ยหยางตบไหล่ชายชุดดำให้กลับมามีสติ "ข้ารักษาตัวอยู่ที่นี่อีกสักพัก เจ้ากลับไปก่อนเถอะ"
ชายชุดดำคำนับและรีบกระโดดหนีขึ้นกำแพงไปอย่างไว (คงเข็ดไปอีกนาน)
แล้วเลี่ยหยางก็ล้มลงเพราะเจ็บแผลซึ่งเริ่มมีเลือดไหล เยว่หลิงเลยมาประคองแทน และพาเขาไปนอนที่เตียง
"หลิงหลิง ข...ข้า...."
ฉึ่ก!
เข็มเล็ก ๆ ปักเลี่ยหยางลงที่จุดลมปราณเหวินฉวน(อยู่ตรงกลางลำคอด้านหน้าใต้คาง)
เลี่ยหยางค่อย ๆ เวียนศีรษะ ตราค่อย ๆ ปิด และสลบลงไปในที่สุด
เยว่หลินเอาผ้ามาห่มให้แล้วลุกขึ้นยืน เก็บกระบี่อ่อนนั้นใส่เอวเหมือนเดิม สายตามองมาที่ใบหน้าหล่อคมของเลี่ยหยางด้วยแววตาที่ลึกซึ้งและซับซ้อน
"พักผ่อนซะ..."
แล้วเขาก็ไปหยิบหนังสือมานั่งเก้าอี้อ่านข้าง ๆ เลี่ยหยาง กลิ่นหอมกำยาน ในบ้านหลังใหญ่ที่มีเพียงแค่พวกเขา 2 คนช่างเงียบสงบยิ่งนัก......
.....มหานครกว่างโจว ประตูทะเลใต้ของแผ่นดิน แม่ไม่ใช่เมืองชายแดน แต่คือประตูการค้า ที่เปิดสู่โลกภายนอกมาตั้งแต่โบราณตั้งอยู่ริมแม่น้ำจูเจียงที่กว้างใหญ่ ราวกับรู้ดีว่ามันแบกความมั่งคั่งของแผ่นดินทั้งภาคใต้ไว้ตัวเมืองล้อมด้วยกำแพงหินหนา คูน้ำรอบเมืองเชื่อมต่อกับแม่น้ำโดยตรง ถนนหลักปูด้วยหินสีคล้ำจากการเหยียบย่ำหลายร้อยปีซอยย่อยคดเคี้ยวแคบ ลึก และอับชื้น เหมาะแก่การค้า…และการหายตัวไปของคนเรือนอาคารส่วนใหญ่เป็นไม้ หลังคากระเบื้องโค้งต่ำ ออกแบบให้รับลมทะเลและระบายความชื้นกว่างโจวคือเมืองที่พ่อค้าจากเปอร์เซีย อาหรับ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดินปะปนกับพ่อค้าจีนภาษาในตลาดไม่เคยเป็นภาษาเดียว เงินตรา ข่าวลือ และคนแปลกหน้า ไหลเวียนเร็วกว่าแม่น้ำกลางวันเป็นเมืองดูมีชีวิต เสียงเจรจาซื้อขาย กลิ่นชา เครื่องเทศ ผ้าไหม และเกลือทะเลส่วนกลางคืน เมืองเปลี่ยนหน้า โรงน้ำชาแปรเป็นที่พบปะ ท่าเรือกลายเป็นจุดลักลอบ และกฎหมายอ่อนแรงลงตามแสงตะเกียง"ที่ใดเงินไหลแรง ที่นั่นคุณธรรมต้องว่ายน้ำเก่ง"กว่างโจวไม่ใช่เมืองที่คนเท่าเทียม พ่อค้ารวยกว่าขุนนางบางตำแหน่งขุนนางพึ่งพาพ่อค้า ยุทธภพแทรกซึมอยู่ตามท่าเรือ
....คืนนี้หิมะตกลงมาไม่ขาดสาย ราวกับสวรรค์ตั้งใจจะลบเลือนร่องรอยทุกสิ่ง ป่าใหญ่เงียบงันจนได้ยินเพียงเสียงลมพัดผ่านกิ่งสนแห้ง และเสียงหิมะที่ร่วงลงจากหลังคากระท่อมไม้ทีละก้อน กระท่อมที่หญิงชรานั่งบนรถเข็นหลังนี้ทั้งเก่า ทรุดโทรม แต่ยังดีที่โครงสร้างไม้นั้นแข็งแรงดีไป่เยว่หลิงถอดเสื้อนอนบนนอนบนเตียงไม้ใจเขาเหมือนหัวใจของใครบางคนที่แม้จะแตกสลาย เตาไฟอุ่นๆไม่ได้ทำให้ความหนาวเย็นในใจอบอุ่นขึ้นเลย มือของเขาจิกเข้าไปที่ผิวเนื้อตนเองจนมีรอยเลือด เปลวไฟส่องสะท้อนดวงตาที่ไร้ประกาย ราวกับแสงทั้งหมดในชีวิตเขา ถูกฝังกลบไปพร้อมกับร่างของผู้ใหญ่ที่จากไปอย่างไม่เป็นธรรมความตายอาจไม่ได้น่ากลัว เท่ากับการจากไปโดยไม่ทันได้บอกลา โดยทิ้งสิ่งต่างๆมากมายทิ้งไว้ให้ผู้ที่ยังมีชีวิตเลี่ยหยางยืนมองดูเยว่หลิงอยู่ข้างๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง แผ่นหลังนั้น ร่างผอมบางนั้น ปกติเจ้าก้เย็นชาไม่เปิดใจรับผู้ใดอยุ่แล้ว แต่บัดนี้เจ้าดูแข็งทื่อราวกับรูปสลักจากน้ำแข็งเสียแล้วเลี่ยหยางรู้ดี คำพูดในยามนี้ไร้ความหมาย การปลอบโยนที่ดีที่สุด คือ.....เขาวางฟืนเพิ่มลงในเตาไฟ เสียงไม้แตกดังขึ้นเล็กน้อย ไฟลุกโชนขึ้นอีกครั้
....ณ หลังเขาแห่งหนึ่ง ที่นี่เคยปกคลุมทุ่งนาที่เขียวขจีด้วยต้นกล้าอ่อน เสียงไก่ขันและสุนัขเห่าเป็นจังหวะ เด็กๆ วิ่งเล่นไล่จับกันบนทางดิน เสียงควายไถนาสลับกับเสียงนกเกาะคันนา ที่นี่เคยมีหมู่บ้านอยู่อาศัยกลมกลืนกับธรรมชาติเวลาจะผ่านมาถึงราวๆ 170 - 180 ปีแล้วปัจจุบันกลายเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง เวลาที่ยาวนานเกินกว่าจะเป็นที่จดจำได้ของมนุษย์ปกติ ข่าวลือเรื่องที่มีคนตายทั้งหมู่บ้านค่อยๆสูญหายไปกับกาลเวลา จึงมีผู้คนใหม่ค่อยๆมาตั้งรกรากอาศัยจนเติบโตกลายเป็นเมืองเล็กๆอย่างไรก็ดีหลุมศพของหลันหลินนั้นยังอยู่ แม้จะเก่าโทรมไปมากแต่ก็ยังอยู่ราวกับรอวันที่พี่หลินเซียนของเธอจะกลับมาหาอีกครั้งในมือหลินเซียนมีเมล็ดดอกไม้,ขนมเคลือบน้ำตาล และหนังสือนิทานเล่มหนึ่ง เขาโรยเมล็ดดอกไม้นั้นรอบหลุมศพ แล้วให้เสี่ยวหมิงช่วยเร่งให้ดอกไม้เหล่านั้นเติบโตจนบานดอกสวยงามรอบหลุมศพ หลังจากนั้นเขาจึงวางขนมเคลือบน้ำตาลลง และคลี่อ่านหนังสือนิทานหน้าหลุมศพหลันหลินอยู่นาน มีสายลมพัดเย็นอยู่ตลอดเวลา ราวกับมีเด็กน้อยหลันหลินมานอนหนุนตักพี่หลินเซียนอนฟังนิทานดั่งแต่ก่อนเก่าเมื่ออ่านนิทานจบแล้วหลินเซียนใช้หินก้อนหนึ่งมาสลัก
.....ปรมาจารย์ยุทธภพ ในร่างชายชราชุดยาวสีขาวประดับลวดลายสวยงาม ลูบเคราจ้องมองไป๋เยว่หลิงด้วยแววตาเยือกเย็น ส่วนเลี่ยหยางนั้นก็ลุกขึ้นมาเคียงข้างเยว่หลิง ในมือถือดาบ แต่เยว่หลิงยังไม่ชักกระบี่ออกมาแต่อย่างใด"คนอย่างท่านทำไมถึงทรยศได้!" เจ้าสำนักหนึ่งที่ถูกจับในตาข่ายตะโกนเสียงดังปรมาจารย์ไม่สนใจ เขาพูดกับเยว่หลิงแทน"ถ้าเจ้ายอมสวามิภักดิ์ต่อองค์ชาย ข้าจะทูลเสนอแต่งตั้งให้เจ้าได้เป็นราชครูในอนาคต"องค์ชายทุ่งหญ้าหันหน้ามาทำท่าจะแย้ง แต่ท่านปรมาจารย์ห้ามไว้ เขาจึงไม่พูด แต่แววตามีความไม่พอใจเล็กน้อย"คนผู้นี้ หากได้เป็นพรรคพวก หลังจากข้าสิ้นลมไปแล้ว ย่อมคุ้มครองพระองค์และราชบัลลังค์ไม่ให้สั่นคลอนได้แน่นอน""ข้าก็จะได้จากไปโดยไม่มีห่วง"ผู้เฒ่าคิดการณ์ไกลกว่าองค์ชายเด็กน้อยยิ่งนัก แววตาที่เขามององค์ชายทุ่งหญ้าแสดงถึงความสัมพันธ์เกินกว่าธรรมดาปรมาจารย์อ้าแขนเชิญชวนไป๋เยว่หลิง"มาด้วยกันเถอะ ยังไงราชวงศ์นี้ก็ทำเลวกับพ่อและเจ้าไว้มาก ไม่ควรค่าแก่การปกป้องพวกมัน"เลี่ยหยางมองตาเยว่หลิง บัดนี้แววตาเขาเยือกเย็นกว่าเดิมยิ่งนัก เหมือนเขากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ลมพัด ใบไม้ร่วงปลิว บรรยากาศระหว่า
.....หลังจากนั้นก็มีจอมยุทธคู่อื่นๆขึ้นไปประลองฝีมือกันบนลานต่อสู้อีกหลายคู่ ส่วนไป๋เยว่หลิงก้กลับมาที่ร้านน้ำชาร้านเดิมนั่งจืบชาพักเหนื่อยอย่างใจเย็น ส่วนเลี่ยหยางก็กินขนมอย่างเอร็ดอร่อยชมการต่อสู้อยู่ข้างๆ มีจอมยุทธหญิงหลายคนเข้ามาคุยคุณชายไป๋ เลี่ยหยางเอามือจับเยว่หลิงไว้ไม่ปล่อย แม้จะมองไปางลานประลอง แต่เขาก็แอบชำเลืองมองมาเป็นระยะๆทุกครั้งที่มีคนเข้ามาพูดคุยกับเยว่หลิง ซึ่งเยว่หลิงก็รู้ จึงไม่ค่อยพูด นั่นทำให้บทสนทนาไม่ยาว จอมยุทธเหล่านั้นก็ลาจากไปแล้วก็มีชายชราชุดยาวสีขาวประดับลวดลายสวยงาม สายตาเยือกเย็นและสง่างามมาหยุดตรงหน้าเยว่หลิงและเลี่ยหยาง เขาคือปรมาจารย์ผู้เป็นประธานงานประลองนี้นี่เอง เลี่ยหยางรีบวางขนมและลุกขึ้นโค้งคำนับ แต่เยว่หลิงยังคงนั่งจิบชาอยู่เช่นเดิม เลี่ยหยางพยายามสะกิดแต่เยว่หลิงก็ทำไม่สนใจ"ไม่เป็นไร ชายแก่เช่นข้าแค่มาทักเด็กหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์เท่านั้นเอง" เขามองเยว่หลิงด้วยแววตาเป็นมิตร"กี่คน?" เยว่หลิงมองที่ปรมาจารย์ และเอ่ยปากถาม ปรมาจารย์ทำหน้ายิ้มและงงกับคำถาม"เมื่อกี้ท่านฆ่าไปกี่คน?" "ข้าได้กลิ่นเลือดจากท่าน"ใบหน้าชายชราเปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็
.....เยว่หลิงชี้กระบี่ลง มือขวาจับกระบี่แน่น เขาตั้งใจใช้เพลงกระบี่จันทราอีกครั้ง"ไม่นะหลิงหลิง เจ้าไม่ไหวแล้ว" เลี่ยหยางตะโกนขึ้นไปบนลานประลอง แต่หยว่หลิงยังทำหน้าเย็นชา เขาเอียงศรีษะใช้หูฟังตำแหน่งคู่ต่อสู้แทนดวงตาชายร่างอ้วนแสยะยิ้ม เขาตั้งกระบวนท่า สุดลมหายใจเข้า เสื้อผ้าเขาพริ้วลมได้อย่างประหลาด"แย่แล้ว ฝ่ามือยมฑูต! เจ้าหนูรีบยอมแพ้ลงจากเวที!" เจ้าสำนักชื่อดังคนหนึ่งตะโกน แต่เยว่หลิงไม่สนใจ ท่าทางเขาสงบยิ่งนัก เลี่ยหยางมองด้วยสายตาที่เป็นห่วงมาก แต่ที่เขาไม่ขึ้นไปช่วย เพราะเชื่อมั่นในตัวเยว่หลิงไม่รอช้าชายร่างอ้วนพุ่งฝ่ามือเข้ามาหาตรงๆ พลังนั้นรุนแรงและเร็วมากจนอากาศเสียดสีเป็นเสียงออกมา"อ๊าก!" มือชายร่างอ้วนขาดกระเด็นทุกคนมองมาที่คุณชายชุดขาว เขายังไม่ได้ขยับกระบี่เลยนี่นา กระบี่ยังชี้ลงด้านล่างเช่นเดิม เขาทำได้ยังไง??แต่...ปรมาจารย์ลูบเคราและยิ้มอย่างมีนัยยะ เขารู้ว่าไป๋เยว่หลิงใช้อะไรตัดข้อมือชายอ้วนชายสูงสง่ารู้สึกเสียหน้า เขาสั่งให้ชายร่างกำยำอีกคนขึ้นไป คนนี้ถือดาบใหญ่ เป็นดาบที่ไม่เหมือนดาบในภาคกลางทั่วไป ดาบหยาบกร้าน แต่ดูใหญ่แข็งแรง เหมือนเป็นท่อนเหล็กทื่อๆมากกว






![กรงแค้นขังรัก [Mpreg]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)
