“เมี้ยว...เมี้ยว...”
มันร้องพลางเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่ช่วยชีวิตตัวเองด้วยแววตาเปล่งประกายซาบซึ้งและภักดี ทำให้จันทริกายิ้มบางๆ ออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวมันเบาๆ
“ไง...หายหนาวแล้วเนอะ”
แมวเหมียวไม่ตอบด้วยภาษาปาก แต่ตอบด้วยภาษากาย โดยการเอาหน้ามาถูข้างลำตัวของเธอ จากแมวจอมซ่าที่ถูกหมาฟัดจนตกน้ำป๋อมแป๋ม ตอนนี้มันกลายเป็นแมวขี้อ้อน ช่างคลอเคลีย แบบนี้เจ้าของมันคงจะหลงน่าดู
จันทริกาชอบแมว เธออยากเลี้ยงแมวมานานแล้ว เคยขอพ่อเรื่องนี้ แต่น้าสิริมากับศศิประภาคัดค้าน เพราะศศิประภาไม่ชอบสัตว์และสิริมากลัวว่ามันจะทำให้บ้านสกปรก ซึ่งพ่อของเธอก็ไม่กล้าขัดใจภรรยาใหม่ เธอจึงไม่เคยมีสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเองเลย แต่ก็ช่างเถอะเมื่อไหร่ที่เธอโตพอจะทำงานหาเงิน และมีบ้านเป็นของตัวเอง เธอจะเลี้ยงแมวให้เต็มบ้านเลย เอาสักห้าหกตัวจะได้ไม่เหงา
“ชื่ออะไรเหรอเรา ทำไมซ่านัก ไปฟัดกับบางแก้วตัวโตๆ แบบนั้นได้ยังไง” จันทริกาอุ้มเจ้าแมวเหมียวที่หนักราวๆ ห้ากิโลขึ้นมาวางบนตักแล้วถามมัน
“…”
เงียบ มันไม่ตอบเช่นเดิม เพราะพูดไม่ได้ ทำได้แต่มองหน้าเธอตาแป๋วเท่านั้น
“พี่ชื่อจันทร์นะ แต่พี่ว่าเราเป็นเพื่อนกันดีกว่า โอเคป่ะ”
“เมี้ยว...” คราวนี้แมวเหมียวร้องออกมา เหมือนกับพอใจที่ได้ยินแบบนั้น
“ตกลง...เราจะเป็นเพื่อนกันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป งั้นจันทร์ไปอาบน้ำก่อนนะ จันทร์อาบไม่นานหรอก เดี๋ยวอาบเสร็จจันทร์จะไปหาอะไรมาให้กิน”
จันทริกาวางมันไว้บนเตียงนอนของตัวเอง ก่อนจะลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะหลังจากนี้ต้องออกไปล้างจานและทำกับข้าว รวมถึงทำความสะอาดบ้าน ซึ่งเป็นงานที่เธอต้องรับผิดชอบทุกวันไม่ว่าวันนั้นจะเป็นวันที่ไปโรงเรียนหรือไม่ก็ตาม
ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง
เสียงกริ่งจากหน้าบ้านดังขึ้น ทำให้ศศิประภาออกจะหงุดหงิด เพราะปกติคนที่มีหน้าที่ต้องไปเปิดประตูคือจันทริกา แต่ตอนนี้ยังเก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง หลังจากหายเข้าไปพร้อมแมวสกปรกตัวนั้น
หญิงสาววัยยี่สิบห้าซึ่งแต่งตัวด้วยเสื้อยืดรัดรูป กางเกงขาสั้น เดินไปชะเง้อมองคนกดอย่างคนอารมณ์เสีย แต่พอเห็นว่าคนที่มายืนกดกริ่งหน้าบ้านอยู่นั้นคือหนุ่มหล่อ ศศิประภาก็รีบสาวเท้าออกไปหาอย่างเร่งรีบ ราวกับกลัวว่าผู้ชายคนนั้นจะเปลี่ยนใจเดินหนีไปก่อน
“สวัสดีค่ะคุณรังสิมันต์ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ” ศศิประภาถามเสียงหวานนุ่ม ผิดกับเสียงที่ใช้แว้ดใส่เด็กสาวร่วมชายคาเมื่อครู่นี้อย่างลิบลับ และแน่นอนเธอเรียกชื่อผู้ชายรูปร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาซึ่งกำลังยืนอยู่ที่ประตูรั้วนั้นได้ถูกต้องแม่นยำ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน แต่ใครล่ะจะไม่รู้จักเจ้าของบ้านหลังใหญ่และกว้างขวางมากที่สุดในละแวกนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้ร่ำรวยแค่ไหน เธอเคยแต่ชะเง้อมอง และคิดว่าผู้ชายแบบนี้อยู่สูงเกินเอื้อม ทว่าวันนี้เขากลับมายืนตรงหน้าแล้ว
“รู้จักชื่อผมด้วยเหรอครับ”
“รู้จักสิคะ ใครไม่รู้จักคุณรังสิมันต์ก็เชยแย่แล้วค่ะ ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมถึงได้มากดกริ่งหน้าบ้านศศิแบบนี้”
“พอดีแมวผมหายไปจากบ้านน่ะครับ ได้ยินเสียงเหมือนมันไล่ฟัดกับหมา นี่ก็นานเกือบชั่วโมงแล้วยังไม่กลับบ้าน ผมเลยจะมาถามว่าเห็นบ้างหรือเปล่า พอดีผมถามมาหลายบ้านแล้ว”
“แมว?” ศศิประภาย่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะนึกถึงแมวตัวที่จันทริกาอุ้มเข้ามาในบ้านเมื่อครู่นี้
“ครับ”
“มีอยู่ตัวหนึ่งค่ะ ศศิเห็นมันเหมือนกำลังต้องการความช่วยเหลือก็เลยช่วยเอาไว้ ตอนนี้อยู่ในห้องของศศิ ไม่รู้ว่าจะใช่แมวของคุณรังสิมันต์หรือเปล่านะคะ เดี๋ยวศศิจะไปเอามาให้ดูค่ะ”
ว่าแล้วศศิประภาก็รีบตรงเข้าไปยังห้องของจันทริกา ยกมือขึ้นเคาะรัวๆ แต่จันทริกาก็ไม่เปิด เธอจึงไปหยิบกุญแจสำรองมาไขเข้าไปเสียเอง
แมวตัวนั้นนั่งอยู่บนเตียงของจันทริกา และมีเสียงซ่าๆ ดังออกมาจากข้างใน ศศิประภาเหยียดยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะคว้าเอาสัตว์ที่ตัวเองเคยเกลียดนักเกลียดหนาออกจากห้องไป โดยไม่ยอมบอกกล่าวจันทริกาสักคำ
“ใช่ตัวนี้หรือเปล่าคะ”
“เมี้ยว...เมี้ยว...”
เมสซี่ร้องขึ้นอย่างดีใจทันทีที่เจอเจ้าของ และรังสิมันต์ก็เอื้อมมือไปรับคืนมาอุ้มไว้ พลางคลี่ยิ้มอย่างดีใจทันที
“ใช่ครับนี่แมวผมเอง มันชื่อ ‘เมสซี่’ ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยมันไว้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ศศิชอบแมวมากนะคะ แต่เข้าใกล้มันไม่ค่อยได้ เพราะศศิแพ้ขนแมวน่ะค่ะ”
“คุณศศินี่จิตใจดีจังเลยนะครับ ขนาดตัวเองแพ้ขนแมวก็ยังอุตส่าห์ช่วยแมวของผมไว้” รังสิมันต์เอ่ยชมพร้อมกับจ้องหน้าสวยๆ นั้นอย่างพอใจ ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้เขาจะได้เจอผู้หญิงที่น่ารักและจิตใจดีถึงสองคนในเวลาห่างกันไม่ถึงสองชั่วโมง
“พี่ศศิเห็นแมวที่จันทร์...”
เสียงหวานใสของคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จถามยังไม่ทันจบประโยค ศศิประภาก็หันไปทำตาดุใส่ พร้อมๆ กับที่จันทริกาเห็นว่าแมวตัวนั้นไปอยู่ในอ้อมแขนของพี่ชายใจดีเสียแล้ว
บทที่ 47สำหรับคนที่จมอยู่ในห้วงของความทุกข์ใจ วันเวลามักผ่านไปช้าเสมอ คนในบ้านที่รังสิมันต์ส่งไปทำงานที่ห้างสรรพสินค้าของเขา ยังไม่มีใครได้กลับมา ดังนั้นจันทริกาจึงต้องทำงานบ้านทุกอย่างแทบจะคนเดียวเช่นเดิม และยังมีสิ่งที่ต้องทำมากกว่าหน้าที่ของคนรับใช้ทั่วไป นั่นคือเธอต้องคอยรองรับไฟปรารถนาของรังสิมันต์ ไม่ว่าเขาต้องการยามใด เธอก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธได้สักครั้ง จันทริการู้ดีว่าเขาทำไปเพื่อระบายความแค้นเท่านั้น หากแต่ตอนนี้เธอกลับเริ่มรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเริ่มจะผูกพันกับเขาอย่างลึกซึ้งมากขึ้นทุกวัน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ทำให้เธอทุกข์ใจไม่น้อย หากจะมีสิ่งที่ทำให้เธออยู่บ้านหลังนี้ได้อย่างมีความสุข ก็คงจะเป็นความน่ารักของเมสซี่กับความเอ็นดูจากลุงหนานอินซึ่งเป็นรปภ.กับอุ้ยคำเท่านั้น ส่วนเจ้าของบ้าน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เขาก็ยังคงใจร้ายและเย็นชาใส่เธอดังเดิม แม้บางครั้งเขาเหมือนจะอ่อนโยน แต่นั่นก็เป็นเพียงเพราะเขาลืมตัว ครั้นพอเขาคิดได้ว่าเกลียดชังเธอแค่ไหน จันทริกาก็มักจะได้รับผลจากความเคียดแค้นชิงชังของเขาดังเดิมเช้านี้จันทริกาไม่ได้ทำอาหาร รังสิมันต์บอกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่
บทที่ 46“คำว่าเกมหัวใจ มันไว้สำหรับคนที่มีใจให้กัน”“แกไม่ได้คิดอะไรกับจันทร์ว่างั้น” จากที่ถูกไล่ต้อนตอนนี้ปรัชญ์เปลี่ยนเป็นฝ่ายไล่ต้อนรังสิมันต์บ้าง“คิด...คิดว่าเด็กคนนั้นทำให้เมียฉันตาย”“แน่ใจว่าคิดแค่นั้น แล้วนี่แต่งตัวจะไปไหน”“กลับเชียงใหม่สิวะ จะอยู่ทำไมล่ะ ก็ผู้หญิงที่ฉันตั้งใจจะมาจีบกลายเป็นเมียแกไปแล้วนี่ หรือแกจะให้ฉันแย่งเมียเพื่อนก็ได้นะฉันไม่ถือ”“ก่อนจะถามฉัน ถามตัวเองก่อนว่าคิดจะแย่งเมียฉันจริงๆ หรือแค่อยากให้เมียตัวเองหึง”คำพูดที่เหมือนกับมานั่งอยู่ในใจเช่นนั้น ทำให้รังสิมันต์ต้องทำหน้าตึงกลบเกลื่อน แม้สิ่งที่ปรัชญ์พูดมาจะไม่ตรงกับความจริงนักแต่ก็เฉียดสุดๆ เขาไม่ได้อยากให้จันทริกาหึง แค่อยากให้เธอเจ็บจริงหรือที่ว่าต้องการแค่นั้น?รังสิมันต์ถามตัวเอง...แล้วทำไมตอนที่เด็กคนนั้นทำหน้าเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับเขา เขาถึงได้หงุดหงิดนัก“ต้องให้ย้ำกี่ครั้งว่าเมียฉันตายแล้ว แกความจำเสื่อมหรือไงไอ้เชี่ยปรัชญ์” คนถูกต้อนคืนทำเสียงฉุนๆ ใส่“ฉันไม่ได้หมายถึงคนที่ตายแล้วเว้ย แต่หมายถึงคนที่แกอยู่ด้วยตอนนี้”“จันทริกาไม่ใช่เมียฉัน”“แล้วเป็นอะไร แค่อดีตน้องเมียที่ตอนนี้ถูกลดฐานะล
บทที่ 45“เธอนอนหรือยัง” ถามทั้งๆ ที่รู้ว่าดึกดื่นขนาดนี้ จันทริกาต้องนอนแล้ว เพราะปกติถ้าคืนไหนที่เขาไม่ได้ให้เธอขึ้นไปหา หรือเป็นฝ่ายลงมาหาเธอ เด็กคนนั้นจะหลับเร็วเป็นพิเศษ“นอนแล้วค่ะ คุณโทร.มามีอะไรหรือเปล่าคะ”“ฉันแค่โทร.มาถามว่าเมสซี่เป็นยังไงบ้าง” ปากพูดไปตามที่สมองเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า หากแต่เสียงในใจเสียงหนึ่งกลับตะโกนก้องขึ้นมาว่า เพราะอยากได้ยินเสียงนุ่มๆ เรียบๆ ของเธอต่างหาก“เมสซี่อยู่กับจันทร์ค่ะ ตอนนี้หลับไปแล้ว”“ก็ดี ฉันแค่เป็นห่วงมัน”“ไม่ต้องห่วงนะคะจันทร์จะดูแลเมสซี่อย่างดี และสมบัติทุกชิ้นของคุณในบ้านหลังนี้ยังอยู่ครบค่ะ” จันทริกาพูดกับคนโทร.มาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะเป็นการบอกกล่าวตามปกติ ทว่าหัวใจกลับปวดแปลบ เมื่อตระหนักถึงความจริงที่ว่า คุณตะวันเป็นห่วงแค่เมสซี่เท่านั้น ไม่ได้ห่วงเธอแม้แต่นิด หากจะห่วงก็คงห่วงว่าเธอจะพาใครมาขโมยของในบ้านอย่างที่เขาพูดไว้ก่อนไปมากกว่า เพราะเธอเป็นผู้ร้ายในสายตาเขามาตลอดตั้งแต่ศศิประภาตายไป จันทริกาจึงต้องบอกเขาไปเช่นนั้น หากแต่คนฟังกลับรู้สึกว่าเธอกำลังประชด“สมบัติของฉันที่เธอว่าอยู่ครบทุกชิ้น รวมถึงเธอด้วยหรือเปล่า”จันทริกาห
บทที่ 44ผู้หญิงดีพร้อมที่เขาหมายถึงก็คือธรินดา น้องสาวบุญธรรมของปรัชญ์นั่นเอง เขารู้ดีว่าปรัชญ์รู้สึกลึกซึ้งกับธรินดามากกว่าน้องสาวนอกไส้ แต่มันก็ทำปากแข็งไม่เคยยอมรับความจริงกับเขาออกมาตรงๆ จนเขานึกอยากแกล้ง ถึงขนาดต้องลงทุนว่าจะไปหาธรินดาที่กรุงเทพฯ ซึ่งมันได้ผลเพราะไอ้บ้านั่นร้อนรนจนเปลี่ยนใจไปกับเขาเพื่อกันท่า ทั้งๆ ที่ตอนแรกปฏิเสธเสียงแข็งว่าจะไม่ไป ส่วนอีกเหตุผลที่เป็นเหตุผลส่วนตัวแบบไม่ได้บอกใคร ก็คืออยากทำให้ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้รู้ว่า แม้เขาจะร่วมรักกับเธอบ่อยแค่ไหนและบางครั้งอาจจะเผลออ่อนโยนไปบ้าง แต่เธอก็ไม่เคยมีความหมายมากไปกว่าเมียบำเรอ ที่เขาไม่เคยคิดจะยกย่องเชิดชู เขายังมองหาผู้หญิงอื่นมาอยู่เคียงข้างในฐานะภรรยาตัวจริงแทนที่ศศิประภา ซึ่งจันทริกาไม่มีวันจะได้เป็น ไม่มีวัน!“ค่ะ”‘ค่ะ’ สั้นๆ เหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปากเช่นเดิม จากนั้นก็ทำหน้านิ่งจนอ่านความรู้สึกไม่ออก ยิ่งทำให้คนที่กำลังจะไปหงุดหงิดมากกว่าเดิม ทั้งๆ ที่เขาบอกว่าจะไปหาผู้หญิงที่ดีพร้อมมากกว่า เพราะอยากเห็นสีหน้าและแววตาที่เจ็บปวดของเธอ แต่จันทริกากลับนิ่งเฉย นิ่งจนกลายเป็นเขาที่ออกอาการเ
บทที่ 43 อากาศในยามอรุณรุ่งยังคงมีหมอกลงหนาทึบ ทำให้บรรยากาศทั่วอาณาบริเวณหนาวเย็นเหมือนเช่นทุกเช้า โดยเฉพาะในช่วงเวลาตีสี่กว่าๆ แบบนี้ หากเช้านี้จันทริกากลับรู้สึกว่าความหนาวเย็นนั้นไม่ได้กระทบผิวกายของเธอมากเท่าไหร่ เพราะมีความอบอุ่นบางอย่างที่คอยโอบล้อม ทำให้ร่างบางเผลอซุกเข้าหาความอบอุ่นนั้นอย่างลืมตัว ครั้นพอลืมตาตื่นก็รีบถอยห่างแบบเป็นอัตโนมัติเช่นกัน ทว่าแค่แรงดิ้นเบาๆ นั้นก็ทำให้คนที่นอนอยู่ข้างๆ ตวัดแขนคว้าเอาร่างบางเข้าไปนอนกอดอีกครั้ง จันทริกาแก้มแดงซ่านท่ามกลางความมืดเพราะรู้สึกได้ว่า ร่างกายของรังสิมันต์ยังคงเปลือยเปล่า “จะขยับไปไหน” เขาพึมพำทั้งที่ยังไม่ลืมตา แขนแกร่งกอดร่างบางมาแนบชิดแน่นกว่าเดิม “จันทร์ต้องลุกแล้วค่ะ คุณปล่อยจันทร์เถอะนะคะ” “ไม่ปล่อย จะรีบตื่นไปไหนแต่เช้า” “ตื่นไปเตรียมอาหารให้คุณ และเตรียมตัวไปทำงานไงคะ” “วันนี้เธอไม่ต้องไปทำงาน ส่วนอาหารเช้าฉันก็ไม่กิน เพราะฉะนั้นตอนนี้เธอมีหน้าที่นอนนิ่งๆ ให้ฉันกอดก็พอ ห้องเธอหนาวจะตายไม่รู้หรือไง” “ไหนคุณ
บทที่ 42สี่โมงเย็นของวันนั้น รังสิมันต์ออกจากห้องทำงานแล้วลงมาหาจันทริกาที่ห้องล็อกเกอร์ สั่งให้เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับบ้านพร้อมเขา ทั้งๆ ที่เวลาเลิกงานของพนักงานกะเช้าคือหกโมงเย็น“เธอยังกินยาคุมอยู่หรือเปล่า” รังสิมันต์ถามขณะนั่งรับประทานมื้อเย็นอยู่ที่โต๊ะในห้องอาหารของคฤหาสน์หลังใหญ่“กินค่ะ” คำตอบนั้นเป็นคำตอบที่สั้นๆ น้ำเสียงราบเรียบ แต่หัวใจหม่นหมองมากเหลือเกิน เพราะรังสิมันต์ดูเหมือนจะกังวลและย้ำเรื่องนี้กับเธออยู่บ่อยครั้ง เขาคงกลัวว่าจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นและเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาจะอุบัติในท้องของผู้หญิงที่เขามองว่าเลวร้ายอย่างเธอ“งั้นก็ดี คืนนี้เธอขึ้นไปนอนกับฉัน”ช่างเป็นคำสั่งที่พูดออกมาได้อย่างเฉยเมยเย็นชาราวกับสั่งไปเธอทำงานทั่วไป แต่คนไม่มีทางเลือกอย่างเธอจะต่อต้านหรือปฏิเสธอะไรได้ ในเมื่อความต้องการของเขาคือสิ่งที่เธอต้องทำตามหลังจากเก็บโต๊ะเสร็จ จันทริกาก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า บอกให้เมสซี่นอนรออยู่ที่ห้อง เพราะรู้ดีว่าเมื่อรังสิมันต์บรรลุความต้องการของเขาแล้ว เธอก็จะต้องกลับลงมานอนที่ห้องเล็กๆ ห้องนี้ดังเดิมแม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ความกระดากอายยา