LOGIN"คุณหนูแสดงเก่งมากจริง ๆ พี่นั่งดูอยู่ อินมาก ยังอยากเข้าไปตบนังนั่นแทนเลย" ช่างแต่งหน้าประจำตัวเอ่ยชมขณะซับเหงื่อให้เจียงลี่มี่ ใบหน้าขาวผ่องตอนนี้เต็มไปด้วยเหงื่อจนแก้มแดงระเรื่อ
"เรียกปกติเถอะค่ะ อย่าเรียก ‘คุณหนู’ เลย และถ้าพี่จะไปตบเธอ ฉันคิดว่าคอของเธออาจจะหลุดได้" เจียงลี่มี่เอ่ย ทำเอาคนฟังมองค้อน เธอออกจะเป็นคนตัวเล็กอ่อนแอ ตบยุงยังไม่ตายเลย
"นี่ลี่มี่กำลังจะสื่ออะไรคะ พูดไม่ดีพี่แต่งให้ไม่สวยนะ" อาเว่ยช่างแต่งหน้าทำหน้าหงิกงอ ขู่ด้วยคำพูดที่เจียงลี่มี่ไม่กลัวสักนิด เพราะอาเว่ยแต่งให้เธอสวยเสมอ หรือต่อให้ไม่แต่ง เธอก็สวยได้ด้วยเบ้าหน้าฟ้าประทานของเธอนี่แหละ
"แหม อย่าขู่ฉันแบบนี้สิคะ ถ้าพี่แต่งหน้าให้ฉันไม่สวย ฉันหมดกำลังใจแสดงกันพอดี" เธออ้อนด้วยท่าทางน่ารัก อาเว่ยมองแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้
"ลี่มี่ พ่อแม่เธอนี่เข้าใจปั้นเธอมาจริงๆ สวยเสียขนาดนี้ และต่อให้พี่แต่งหน้าเธอออกมาแย่ยังไง เธอก็ไม่มีวันขี้เหร่ เครื่องหน้าดีขนาดนี้ เคยรู้สึกอยากขี้เหร่แบบพี่บ้างมั้ยคะ พี่อยากสวยแบบลี่มี่บ้าง"
เจียงลี่มี่หัวเราะออกมา เธอชินเสียแล้วกับการถูกชมว่าสวย
"พี่ก็สวยค่ะ สวยในแบบฉบับของตัวเอง ดูสิคะ ผิวพี่เข้มแต่เซ็กซี่มาก หน้าตาก็ดี โครงหน้าและสันกรามชัด คิ้วเข้ม ตายาวรี กล้ามก็สวย แถมซิกแพคแน่น ๆ อีก ไม่สวยตรงไหนคะ เซ็กซี่ขนาดนี้ ผู้ชายหลงแน่นอนค่ะ ฉันรับประกัน"
"แหม ชมกันขนาดนี้ พี่ก็เขินแย่ แต่พี่สวยจริง ๆ ใช่มั้ย สวยแบบพี่พอจะเป็นนางเอกได้มั้ย" อาเว่ยพูดพลางยกมือขึ้นจับไรผมทัดหู บิดไปมาด้วยท่าทางเขินอาย
"นางเอกคงไม่ได้ ถ้าพระเอกจะเหมาะกว่า คนอะไรหล่อเกินหน้าผู้ชาย หล่อจนผู้ชายหลง" ผู้ช่วยผู้กำกับที่เดินมาทันได้ยินมองสาวสวยร่างถึกตรงหน้า เขากวาดสายตาขึ้นลงก่อนจะส่ายหน้าอย่างเสียดาย ผู้ชายแท้แบบเขายังหน้าตาไม่ได้ครึ่งของเจ้าหล่อนเลย
“แล้วผู้ช่วยล่ะ หลงด้วยหรือเปล่า" อาเว่ยถามทั้งยังยืนบิดไปบิดมา ผู้ช่วยผู้กำกับเผลอพยักหน้าก่อนจะรีบส่ายหน้า นี่เขาเป็นอะไรถึงมองคนตรงหน้าว่าน่ารักเนี่ย สงสัยอากาศจะร้อนเกินไป
"พอเลย ๆ คนอะไรสวยถึกแบบนี้ ผู้ชายหุ่นบอบบางอย่างผมไม่กล้าชอบหรอกครับ กลัวถูกหักคอ เอ๊ย หักอก"
"ฮ่าฮ่า พี่คะ มีผู้ชายมาจีบค่ะ ฉันบอกแล้วไงว่าพี่สวย" เจียงลี่มี่หัวเราะเสียงใส มองดูอาเว่ยที่บิดตัวไปมาอย่างเขินอาย ส่วนผู้ช่วยผู้กำกับก็หน้าแดงจนดำไปแล้ว ไม่รู้ว่าเขินหรืออะไรกันแน่ ยิ่งเขาเหลือบตามองอาเว่ย เขายิ่งหน้าแดง
"ลี่มี่อย่าล้อผมสิครับ ผมอายนะ" ผู้ช่วยผู้กำกับประท้วง ทำตาละห้อย คนสวยใจร้ายจริง ๆ
"ไม่ล้อก็ได้ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ เห็นมองมาทางนี้หลายครั้งแล้ว หรือฉันเข้าใจผิดว่ามองฉัน แต่ที่จริงมองคนข้าง ๆ ฉัน" เธอยังคงล้อเขา ยิ่งเห็นคนถูกล้อมีสีหน้าอิหลักอิเหลื่อ มองเธอสลับกับอาเว่ยก็ยิ่งขำ
"ไม่ใช่ครับ ผมกับผู้กำกับกำลังคุยกันเรื่องฝีมือการแสดงของลี่มี่อยู่ว่าทำไมถึงแสดงได้ดีขนาดนี้" ผู้ช่วยผู้กำกับรีบแก้ตัวพร้อมโบกไม้โบกมือปฏิเสธ แต่พอเห็นสายตาของอาเว่ยก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแทน
"น้ำค่ะ ลี่มี่ ต้องการอะไรเพิ่ม บอกได้เลยนะคะ"
สต๊าฟสาวของกองถ่ายยื่นแก้วใส่น้ำดื่มให้ ใบหน้าของเธอยิ้มอย่างปลาบปลื้มเพราะตั้งแต่รู้ว่าเจียงลี่มี่รับแสดงเรื่องนี้ เธอก็ตื่นเต้นดีใจมาก ยิ่งได้อยู่ด้วยกันในกองถ่าย เธอยิ่งชื่นชอบเจียงลี่มี่มากขึ้น เพราะเจียงลี่มี่มักจะมีของกินมาฝากคนในกองบ่อย ๆ และยังพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ทำให้คนที่ร่วมงานด้วยชื่นชมเจียงลี่มี่อย่างมาก
"นี่ที่รัก เมื่อกี้ยังจีบฉันอยู่เลย ตอนนี้มามองผู้หญิงอื่น คนเจ้าชู้" ผู้ช่วยผู้กำกับถูกผลักจนเซ เขามองหน้าอาเว่ยด้วยความตกใจ เรี่ยวแรงของอีกฝ่ายไม่ธรรมดาจริง ๆ
"ขอโทษครับ ผมผิดไปแล้ว แต่เมื่อกี้ใช้มือผลักใช่มั้ยครับ"
"ทำไมคะ ผู้ช่วยผู้กำกับคิดว่าพี่เว่ยใช้อะไรเหรอ" เจียงลี่มี่ถามด้วยท่าทางสงสัย ผู้ช่วยผู้กำกับกลืนน้ำลาย มองหน้าอาเว่ยที่กำลังจ้องเขาอยู่
"นึกว่าใช้ปลายนิ้วครับ มันเบามาก ว่าแต่เรื่องการแสดง ผมเคยได้ยินมาว่าลี่มี่ไปเรียนการแสดงมา ติดท้อปของทุกคลาสจริงหรือเปล่า"
"ใช่ค่ะ ฉันเรียนการแสดงหลายแขนง เพราะอยากแสดงให้สมบทบาทค่ะ"
เจียงลี่มี่บอกชัดเจน ผู้ช่วยผู้กำกับพยักหน้าอย่างเข้าใจ ทั้งสวยทั้งเก่งแบบนี้ เป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ
"ผู้ช่วยสนใจลงเรียนมั้ยคะ เรียนวิชาความรักกับฉัน !"
พูดจบอาเว่ยก็รีบหลบด้านหลังเจียงลี่มี่ด้วยความเขินอาย ราวกับสาวน้อย ผู้ช่วยผู้กำกับมองภาพตรงหน้าอย่างพูดไม่ออก ไม่รู้เพราะอาเว่ยตัวใหญ่เกินไปหรือเจียงลี่มี่ตัวเล็กกันแน่
เจียงลี่มี่เห็นสีหน้าของผู้ช่วยผู้กำกับก็อดขำไม่ได้ ต้องออกปากล้อเลียนก่อนจะเดินหนี ทิ้งให้อีกฝ่ายยืนตัวแข็งทื่อ
"คิก คิก คิก ตั้งใจเรียนนะคะ ผู้ช่วยผู้กำกับ ฉันเอาใจช่วย" เจียงลี่มี่บอกทิ้งท้ายอย่างร่าเริง
คล้อยหลังหมอหลวงได้ครู่เดียว เสี่ยวจูก็เข้ามา นางยกมือขึ้นลูบคลำเจียงลี่มี่ทั้งตัว เดินวนรอบตัวไปมา จนแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก“ข้าตกใจเสียงกรีดร้องเมื่อครู่ แต่ติดตรงที่ไม่ใช่เสียงคุณหนูใหญ่ ข้าจึงรออยู่ด้านนอก” เสี่ยวจูบอก“ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่เล่นสนุกนิดหน่อย” เสี่ยวจูมองหน้าคุณหนูของนางอย่างประหลาดใจ คุณหนูของนางรู้จักเล่นสนุกตั้งแต่เมื่อใด“เสี่ยวจู เจ้าออกไปก่อน” ฮูหยินเอกว่านลู่เหมยสั่ง“เจ้าค่ะ”“มี่เอ๋อร์ เจ้ามานั่งคุยกับแม่สักหน่อย” ว่านลู่เหมยบอกบุตรสาวที่ยังคงยืนอยู่ข้างโต๊ะที่เคยวางกาน้ำชาเจียงลี่มี่ค่อยๆ เดินไปนั่งที่ตั่งคนงามข้างคุณแม่ของเธอในนิยายแต่โดยดี นึกรู้ได้ว่าคุณแม่ต้องจับความผิดปกติได้ และเธอกำลังจะถูกซักฟอก“เจ้ามีอะไรจะบอกแม่หรือไม่”เจียงลี่มี่นิ่งอึ้ง กับคนอื่นเธอเสแสร้งแสดงละครได้ แต่กับว่านลู่เหมย เธอไม่คิดจะเสแสร้ง เพราะคุณแม่คนนี้รักเธอสุดหัวใจเห็นบุตรสาวนิ่งเงียบ ท่าทีคล้ายไม่ทราบว่าจะบอกกล่าวเช่นไร ว่านลู่เหมยต้องยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู“ถ้าเจ้านึกไม่ออกว่าควรเริ่มต้นที่เรื่องใด แม่ว่าเจ้าเริ่มที่เจ้าแสร้งทำเป็นเจ็บปวดเมื่อเหม
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าเผลอบีบแรงไป เจ็บมากมั้ยเจ้าคะ ขอข้าดูสักหน่อย” เหมยฮวายื่นมือมาอีกครั้ง แต่เจียงลี่มี่เอามือไปแอบด้านหลัง น้ำตาคลอ สีหน้าเจ็บปวด“ไม่เป็นไร ข้าเกรงว่าร่างกายที่อ่อนแอของข้าจะทนไม่ไหว แค่แตะเบาๆ ข้าก็เจ็บมากแล้ว” เหมยฮวาชะงักไป มองเจียงลี่มี่อย่างอึ้งๆ ก่อนจะรีบเปลี่ยนสีหน้า“เช่นนั้นข้าจะระวัง ไม่แตะโดนตัวท่านเจ้าค่ะ ท่านจะได้ไม่เจ็บ” เจียงลี่มี่ลอบยิ้มเหมยฮวายื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย แต่ทันทีที่สัมผัส เจียงลี่มี่ก็ชักมือกลับพร้อมกับร้องด้วยความเจ็บปวด“โอ๊ย..เจ็บ ! มือของเจ้า ยิ่งเย็นข้ายิ่งรู้สึกเจ็บ”เหมยฮวาต้องตกใจ นางไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ไม่คิดว่าเพียงมือของนางที่เย็นเพราะอากาศ จะทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดได้เช่นนี้“ข้า...ข้า...ข้าจะทำเช่นไรดี ข้าไม่รู้แล้วเจ้าค่ะ”เจียงลี่มี่มองท่าทางของเหมยฮวาด้วยสายตาอ่อนโยน หากในใจต้องยิ้มเยาะ เธอกำลังวางแผนบางอย่าง“เจ้าอย่าเพิ่งโดนตัวข้าเลย ข้าเกรงว่าจะรู้สึกเจ็บ...โอ๊ย...” เสียงร้องโอดครวญของเจียงลี่มี่พลันดังขึ้นเหมยฮวาสะดุ้งตกใจ นางยังไม่ได้โดนตัวของอีกฝ่ายเลย เหตุใดจึงเจ็บได้ เกรงว่าหากอยู่ที่นี่ต่อไป อาจเกิดปัญหากับตัวน
เจียงลี่มี่ร้องไห้แทบขาดใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้ สุดท้ายเธอก็ล้มเลิกความฝัน และเดินหน้าต่อด้วยการเป็นดารา แม้อาอี้จะคอยบอกให้เธอเปิดร้าน แต่สุดท้ายเธอก็ถูกแม่บงการชีวิตอยู่ดีทั้งชีวิตเธอทำเพื่อคนอื่นมาตลอด แต่สิ่งที่เธอได้รับคือความเจ็บปวด แม้แต่ตอนที่ใกล้จะตาย คนที่ทำร้ายเธอก็คือคนที่เธอรัก ภาพทรงจำหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเธอ เป็นความทรงจำที่เธอไม่เคยลืม“อาหลงรักเจเจ้ที่สุดเลย” เสียงเด็กชายตัวน้อยเอ่ยด้วยความดีใจ มองของเล่นในมือตาเป็นประกาย“เจเจ้ก็รักอาหลงที่สุดเหมือนกัน” เธอกอดน้องชายด้วยความรักและเอ็นดู เธอตั้งใจเก็บเงินเพื่อซื้อของเล่นที่น้องชายอยากได้ มอบให้เป็นของขวัญวันเกิด“อาหลงรักเจเจ้ที่สุด โตขึ้นอาหลงจะดูแลเจเจ้เอง จะหาเงินซื้อของเล่นให้เจเจ้บ้าง” เด็กสาวยิ้มกว้าง หอมแก้มน้องชายซ้ายขวา“ไม่เป็นไร เจเจ้ไม่อยากได้ แค่อาหลงมีความสุข เจเจ้ก็มีความสุขมากแล้ว” เด็กชายตัวน้อยพยักหน้า“อาหลงจะเป็นเด็กดี ไม่ดื้อกับเจเจ้ จะไม่ทำให้เจเจ้เสียใจ”เจียงลี่มี่น้ำตาคลอเมื่อนึกถึงเรื่องในตอนนั้น ความทรงจำที่มีความสุข เพราะหลังจากนั้นไม่กี่ปี อาหลงก็ไม่สนใจเธออีกเลย มองเธอด้วยสายตาเ
“เหตุใดพี่ลี่มี่จึงคิดว่าเป็นข้า ข้าเป็นน้องสาวท่าน ไม่เคยคิดทำร้ายท่าน” เจียงลี่มี่กุมท้องด้วยความเจ็บปวด เธอรู้สึกราวกับถูกเข็มนับพันหมื่นเล่มทิ่มแทงภายในร่าง“เลิกแสดงละครได้แล้ว ! หากไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร ทันทีที่ข้าดื่มชาที่เจ้ามอบให้ ข้าก็เป็นเช่นนี้” เธอตวาดเสียงกร้าวก่อนจะพ่นโลหิตออกมา ยิ่งเธอโมโห พิษยิ่งทำร้ายเธอมากกว่าเดิมเหมยฮวามองภาพตรงหน้า ก่อนจะหัวเราะออกมาในที่สุด“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่คิดว่าพี่ลี่มี่จะรู้ตัวเร็วเช่นนี้ ใช่ ข้าเอง”เหมยฮวาเชยคางเธอขึ้นมา สบตาอย่างท้าทาย เจียงลี่มี่สะบัดหน้าหนีจากมือนั้น“ข้าดีกับเจ้า ไม่เคยทำร้ายเจ้า เพราะเหตุใด”เหมยฮวาลูบผมของเจียงลี่มี่ มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยโลหิตของเจียงลี่มี่อย่างมีความสุข“เจ้าดีกับข้า แล้วข้าต้องดีกับเจ้า? โง่เง่า ! ชีวิตนี้ข้าไม่มีทางดีกับเจ้า ข้าเป็นบุตรที่เกิดจากอนุ จะไปเทียบชั้นเจ้าได้อย่างไร ทุกสิ่งล้วนถูกเจ้าแย่งชิง แม้แต่บุรุษที่ข้าชมชอบก็ถูกเจ้าแย่งไป หากข้าไม่กำจัดเจ้า ข้าไม่มีวันมีความสุข”ใบหน้าสวยประดับด้วยรอยยิ้มเยียบเย็น เจียงลี่มี่มองอย่างชิงชัง เธอแค้นใจยิ่งนักเมื่อเห็นรอยยิ้มของเหมยฮวา สตรีที่เธอคิดว่
"คุณหนูใหญ่...นี่ข้าเอง เสี่ยวจูไงเจ้าคะ ท่านเป็นอะไรไป หรือ...หรือข้าทำให้ท่านเจ็บตรงไหน ให้ข้าช่วย...หะ..ให้ข้าไปตามคนมาช่วยนะเจ้าคะ"เสี่ยวจูมีท่าทางหวาดกลัว นางกำลังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น อยู่ ๆ คุณหนูใหญ่ก็บ่นว่ารู้สึกอ่อนล้า หายใจไม่ออก จากนั้นก็ล้มตัวลงนอน แล้วไม่ฟื้นอีกเลย ไม่ว่านางจะพยายามปลุกอย่างไร จึงตัดสินใจจะไปตามคนมาช่วย แต่คุณหนูใหญ่ก็ขยับตัวเสียก่อน"เธอเป็นใคร แล้วทำไมฉันมาอยู่ที่นี่"เจียงลี่มี่ถามด้วยความสงสัย รอบตัวของเธอตอนนี้มีแต่สิ่งที่เธอไม่คุ้นเคย"ที่นี่คือจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายเจ้าค่ะ ข้าคือเสี่ยวจู ข้าเป็นสาวใช้ของคุณหนูอย่างไรเจ้าคะ...”เจียงลี่มี่ตกตะลึง อะไรคือจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย เสี่ยวจูตรงหน้านี่คือใคร“...หรืออาการของคุณหนูกำเริบ จึงสูญเสียความทรงจำ ข้า...ข้า..ข้าจะไปตามนายท่านกับฮูหยินเอกมา..คะ..คุณ..คุณหนูรอข้าก่อนนะเจ้าคะ"เด็กน้อยเสี่ยวจูกำลังจะวิ่งออกไป แต่เธอมือไวคว้าไว้ได้เสียก่อน แล้วเธอก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเธอสวมใส่เสื้อผ้าแบบโบราณ"อย่า..อย่าเพิ่งไป เอากระจกให้ฉัน" เจียงลี่มี่กระสับกระส่าย หวาดกลัว เสี่ยวจูยื่นกระจกให้ เธอรีบคว้ามา แล้วส่องดูหน้
“ไม่ใช่…แต่จะตัดทั้งพวงให้ขาด แล้วเอาไปทำกับข้าวให้นังเมียน้อยกิน อยากได้นักก็จะยกให้เลย ยิ่งรักกันปานจะกลืนกินยิ่งดี จะได้สมปรารถนาทั้งกิน ทั้งกลืน ฮ่าฮ่าฮ่า”เจียงลี่มี่อึ้ง ไม่คิดว่าคนใจเย็นอย่างอาอี้จะพูดแบบนี้ น่ากลัวกว่าที่คิด“อาอี้ทำฉันอึ้งนะเนี่ย แอบร้ายด้วย อีกอย่างนะเรื่องนี้มีบางอย่างพิเศษสำหรับฉันด้วย”“อะไร?” อาอี้สงสัย“พี่สาวของนางเอกเรื่องนี้นะสิ ชื่อเดียวกับฉันเลย เจียงลี่มี่ ชีวิตเธอก็อาภัพไม่ต่างกับฉันเลย”“โห..บังเอิญจริง ๆ แล้วเจียงลี่มี่ในเรื่องเด่นมากไหม เป็นถึงพี่สาวนางเอก บทต้องไม่น้อยแน่ ๆ”“เยอะมาก เด่นมากเลยล่ะ” เจียงลี่มี่พูดไปขำไปกับน้ำเสียงของอาอี้ที่เหมือนจะตื่นเต้นราวกับเป็นชื่อของตัวเอง“มีกี่บทที่พูดถึง หรือมีบทตลอดทั้งเรื่อง”“มีตั้งสามบรรทัด เยอะมากเลยใช่มั้ยล่ะ” เจียงลี่มี่อยากรู้ว่าอาอี้จะพูดอะไร เพราะที่เธออ่านนั้น บทเจียงลี่มี่ในนิยายมีแค่สามบรรทัด เรียกว่าเปิดตัวมาก็ตายเลย“หาาาาา! สามบรรทัด จะบ้าเรอะ นี่มันน้อยยิ่งกว่าบทนำเสียอีก คงไม่ใช่ว่าเปิดตัวมาปุ๊บก็ตายปั๊บอะไรแบบนี้นะ”อาอี้ค่อนขอด คนเขียนใจร้ายจริง ๆ เขียนมาได้ไงยะ สามบรรทัด น้อยเกิน







