LOGINเสียงฝีเท้าที่สับสนดังขึ้น บ่าวไพร่วิ่งวุ่นด้วยความร้อนใจ สองมือถืออ่างน้ำ ผ้าสะอาด อีกคนถือกาน้ำร้อน และอีกหลายคนเดินสวนไปมาด้วยท่าทางรีบร้อน ทำให้ภายในบ้านหลังใหญ่ดูเล็กลงถนัดตา
"ท่านหมอหลวงมาหรือยัง คุณหนูจะไม่ไหวแล้ว" สาวใช้คนหนึ่งสีหน้าไม่สู้ดี ชะเง้อคอมองหา
"ยังไม่มาเลย ข้าเกรงว่าหากยังเป็นเช่นนี้ คุณหนูคง..." สาวใช้อีกคนสีหน้าเศร้าหมอง
"พวกเจ้ามายืนทำอะไรตรงนี้! รีบนำของเข้าไปในห้องสิ เร็วเข้า อาการคุณหนูไม่ดีนัก!" เสียงกระด้างของหญิงวัยกลางคนดังขึ้น
"ท่านหัวหน้าเจ้าคะ หากคืนนี้...."
"หุบปากของเจ้าเสีย! รีบไปได้แล้ว! คืนนี้ไม่ว่าอย่างไรคุณหนูจะต้องปลอดภัย"
หัวหน้าสาวใช้กล่าวเสียงหนักแน่น แม้สีหน้าของนางจะเต็มไปด้วยความกังวล เมื่อครู่ที่นางเข้าไปในห้องก็พบว่าอาการของคุณหนูใหญ่เจียงลี่มี่ทรุดลงมาก ใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากแตกระแหง ร่างกายสั่นสะท้าน นัยน์ตาเหม่อลอย มองอย่างไรก็ไม่เห็นทางรอด ได้แต่หวังว่าท่านหมอหลวงจะช่วยคุณหนูใหญ่หายเป็นปกติได้
นางสงสารฮูหยินเอกว่านลู่เหมยนัก มีบุตรสาวเพียงคนเดียว แต่จู่ ๆ ร่างกายก็อ่อนแอลงเรื่อย ๆ โดยไม่รู้สาเหตุ ต่อมาก็ล้มป่วยจนไม่สามารถลุกเดินได้ วัน ๆ ได้แต่นอนอยู่บนเตียง เป็นเช่นนี้มาหลายปี แต่ฮูหยินเอกก็ไม่เคยหมดหวัง เสาะแสวงหาสมุนไพรมารักษาไม่ขาด หากสุดท้ายดูเหมือนไม่อาจช่วยได้
"อาการของคุณหนู..."
สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ากังวล หัวหน้าสาวใช้เพียงยกมือขึ้นห้าม ก่อนจะรีบเดินไปที่หน้าประตู เฝ้ารอหมอหลวงอย่างกระวนกระวาย บรรดาสาวใช้ที่เห็นอาการของคุณหนูใหญ่ล้วนแปลกใจ เหตุใดอาการจึงทรุดหนักเร็วนัก จากเด็กสาวงดงามกลายเป็นอ่อนแอ ร่างกายซูบผอม ผิวขาวซีดราวผีดิบ
"อาการของคุณหนูร้ายแรงนัก ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดเจ็บป่วยเช่นนี้มาก่อน"
สาวใช้ผู้หนึ่งเอ่ยด้วยสีหน้าครุ่นคิด ทั้งชีวิตนางไม่เคยพบเห็นคนที่มีอาการเช่นนี้เลยสักครั้ง
"ข้าก็คิดเช่นเจ้า หากกล่าวว่าคุณหนูใหญ่ถูกวางยา แต่นี่คือจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย ผู้ใดจะกล้าลงมือ" สาวใช้อีกคนส่ายศีรษะให้กับความคิดตนเอง นี่มันเป็นไปได้ยากนัก ในจวนมีแต่คนรักเอ็นดูคุณหนูใหญ่ทั้งสิ้น
"ข้าว่าเพราะคุณหนูใหญ่เกิดมาร่างกายอ่อนแอ เมื่อเติบโต ความเจ็บป่วยจึงมากขึ้น" สาวใช้อีกนางกล่าว คำพูดนี้ฟังดูมีเหตุผลที่สุด ทุกคนพยักหน้าให้อย่างเห็นด้วย
"ถูกต้อง เพียงแต่เหตุใดอาการจึงกำเริบตอนนี้ ยามเด็กคุณหนูร่างกายแข็งแรง วิ่งเล่นในสวนทุกวัน แต่เวลานี้ทุกอย่างตรงกันข้าม"
"ช่างน่าสงสารนัก ข้าเกรงว่าหากท่านหมอหลวงมาช้า อาจไม่ทันเวลา"
"ข้าสงสารเสี่ยวจูยิ่งนัก นางเติบโตมาพร้อมคุณหนูใหญ่ รักคุณหนูใหญ่ที่สุด ตอนนี้นางร้องไห้อยู่ข้างเตียงคุณหนูใหญ่ ราวกับจะสิ้นใจตาม"
ยามนี้บรรยากาศภายในห้องเศร้าหมองยิ่งนัก มีเพียงเสียงร้องไห้คร่ำครวญ
"ท่านหมอหลวงมาแล้ว ! !"
หัวหน้าสาวใช้ที่ยืนรอหน้าประตูจวนเอ่ยเสียงดัง สีหน้าเต็มไปด้วยความหวัง แต่เมื่อเห็นสีหน้าหมอหลวงที่แวะเวียนมาตรวจอาการให้บ่อยครั้ง สาวใช้ทั้งหมดก็แทบถอดใจ
"ดูจากสีหน้าท่านหมอหลวง ราตรีนี้คุณหนูใหญ่คง..." สาวใช้ผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
"คุณหนูใหญ่น่าสงสารนัก อายุเพียงเท่านี้ก็..." สาวใช้อีกคนกล่าว
"หากพวกเจ้ายังพูดจาเช่นนี้ ข้าจะสั่งโบยพวกเจ้าคนละสิบไม้ คุณหนูใหญ่ต้องไม่เป็นอะไร" หัวหน้าสาวใช้กล่าวเสียงดุ
คล้อยหลังหมอหลวงได้ครู่เดียว เสี่ยวจูก็เข้ามา นางยกมือขึ้นลูบคลำเจียงลี่มี่ทั้งตัว เดินวนรอบตัวไปมา จนแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก“ข้าตกใจเสียงกรีดร้องเมื่อครู่ แต่ติดตรงที่ไม่ใช่เสียงคุณหนูใหญ่ ข้าจึงรออยู่ด้านนอก” เสี่ยวจูบอก“ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่เล่นสนุกนิดหน่อย” เสี่ยวจูมองหน้าคุณหนูของนางอย่างประหลาดใจ คุณหนูของนางรู้จักเล่นสนุกตั้งแต่เมื่อใด“เสี่ยวจู เจ้าออกไปก่อน” ฮูหยินเอกว่านลู่เหมยสั่ง“เจ้าค่ะ”“มี่เอ๋อร์ เจ้ามานั่งคุยกับแม่สักหน่อย” ว่านลู่เหมยบอกบุตรสาวที่ยังคงยืนอยู่ข้างโต๊ะที่เคยวางกาน้ำชาเจียงลี่มี่ค่อยๆ เดินไปนั่งที่ตั่งคนงามข้างคุณแม่ของเธอในนิยายแต่โดยดี นึกรู้ได้ว่าคุณแม่ต้องจับความผิดปกติได้ และเธอกำลังจะถูกซักฟอก“เจ้ามีอะไรจะบอกแม่หรือไม่”เจียงลี่มี่นิ่งอึ้ง กับคนอื่นเธอเสแสร้งแสดงละครได้ แต่กับว่านลู่เหมย เธอไม่คิดจะเสแสร้ง เพราะคุณแม่คนนี้รักเธอสุดหัวใจเห็นบุตรสาวนิ่งเงียบ ท่าทีคล้ายไม่ทราบว่าจะบอกกล่าวเช่นไร ว่านลู่เหมยต้องยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู“ถ้าเจ้านึกไม่ออกว่าควรเริ่มต้นที่เรื่องใด แม่ว่าเจ้าเริ่มที่เจ้าแสร้งทำเป็นเจ็บปวดเมื่อเหม
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าเผลอบีบแรงไป เจ็บมากมั้ยเจ้าคะ ขอข้าดูสักหน่อย” เหมยฮวายื่นมือมาอีกครั้ง แต่เจียงลี่มี่เอามือไปแอบด้านหลัง น้ำตาคลอ สีหน้าเจ็บปวด“ไม่เป็นไร ข้าเกรงว่าร่างกายที่อ่อนแอของข้าจะทนไม่ไหว แค่แตะเบาๆ ข้าก็เจ็บมากแล้ว” เหมยฮวาชะงักไป มองเจียงลี่มี่อย่างอึ้งๆ ก่อนจะรีบเปลี่ยนสีหน้า“เช่นนั้นข้าจะระวัง ไม่แตะโดนตัวท่านเจ้าค่ะ ท่านจะได้ไม่เจ็บ” เจียงลี่มี่ลอบยิ้มเหมยฮวายื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย แต่ทันทีที่สัมผัส เจียงลี่มี่ก็ชักมือกลับพร้อมกับร้องด้วยความเจ็บปวด“โอ๊ย..เจ็บ ! มือของเจ้า ยิ่งเย็นข้ายิ่งรู้สึกเจ็บ”เหมยฮวาต้องตกใจ นางไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ไม่คิดว่าเพียงมือของนางที่เย็นเพราะอากาศ จะทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดได้เช่นนี้“ข้า...ข้า...ข้าจะทำเช่นไรดี ข้าไม่รู้แล้วเจ้าค่ะ”เจียงลี่มี่มองท่าทางของเหมยฮวาด้วยสายตาอ่อนโยน หากในใจต้องยิ้มเยาะ เธอกำลังวางแผนบางอย่าง“เจ้าอย่าเพิ่งโดนตัวข้าเลย ข้าเกรงว่าจะรู้สึกเจ็บ...โอ๊ย...” เสียงร้องโอดครวญของเจียงลี่มี่พลันดังขึ้นเหมยฮวาสะดุ้งตกใจ นางยังไม่ได้โดนตัวของอีกฝ่ายเลย เหตุใดจึงเจ็บได้ เกรงว่าหากอยู่ที่นี่ต่อไป อาจเกิดปัญหากับตัวน
เจียงลี่มี่ร้องไห้แทบขาดใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้ สุดท้ายเธอก็ล้มเลิกความฝัน และเดินหน้าต่อด้วยการเป็นดารา แม้อาอี้จะคอยบอกให้เธอเปิดร้าน แต่สุดท้ายเธอก็ถูกแม่บงการชีวิตอยู่ดีทั้งชีวิตเธอทำเพื่อคนอื่นมาตลอด แต่สิ่งที่เธอได้รับคือความเจ็บปวด แม้แต่ตอนที่ใกล้จะตาย คนที่ทำร้ายเธอก็คือคนที่เธอรัก ภาพทรงจำหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเธอ เป็นความทรงจำที่เธอไม่เคยลืม“อาหลงรักเจเจ้ที่สุดเลย” เสียงเด็กชายตัวน้อยเอ่ยด้วยความดีใจ มองของเล่นในมือตาเป็นประกาย“เจเจ้ก็รักอาหลงที่สุดเหมือนกัน” เธอกอดน้องชายด้วยความรักและเอ็นดู เธอตั้งใจเก็บเงินเพื่อซื้อของเล่นที่น้องชายอยากได้ มอบให้เป็นของขวัญวันเกิด“อาหลงรักเจเจ้ที่สุด โตขึ้นอาหลงจะดูแลเจเจ้เอง จะหาเงินซื้อของเล่นให้เจเจ้บ้าง” เด็กสาวยิ้มกว้าง หอมแก้มน้องชายซ้ายขวา“ไม่เป็นไร เจเจ้ไม่อยากได้ แค่อาหลงมีความสุข เจเจ้ก็มีความสุขมากแล้ว” เด็กชายตัวน้อยพยักหน้า“อาหลงจะเป็นเด็กดี ไม่ดื้อกับเจเจ้ จะไม่ทำให้เจเจ้เสียใจ”เจียงลี่มี่น้ำตาคลอเมื่อนึกถึงเรื่องในตอนนั้น ความทรงจำที่มีความสุข เพราะหลังจากนั้นไม่กี่ปี อาหลงก็ไม่สนใจเธออีกเลย มองเธอด้วยสายตาเ
“เหตุใดพี่ลี่มี่จึงคิดว่าเป็นข้า ข้าเป็นน้องสาวท่าน ไม่เคยคิดทำร้ายท่าน” เจียงลี่มี่กุมท้องด้วยความเจ็บปวด เธอรู้สึกราวกับถูกเข็มนับพันหมื่นเล่มทิ่มแทงภายในร่าง“เลิกแสดงละครได้แล้ว ! หากไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร ทันทีที่ข้าดื่มชาที่เจ้ามอบให้ ข้าก็เป็นเช่นนี้” เธอตวาดเสียงกร้าวก่อนจะพ่นโลหิตออกมา ยิ่งเธอโมโห พิษยิ่งทำร้ายเธอมากกว่าเดิมเหมยฮวามองภาพตรงหน้า ก่อนจะหัวเราะออกมาในที่สุด“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่คิดว่าพี่ลี่มี่จะรู้ตัวเร็วเช่นนี้ ใช่ ข้าเอง”เหมยฮวาเชยคางเธอขึ้นมา สบตาอย่างท้าทาย เจียงลี่มี่สะบัดหน้าหนีจากมือนั้น“ข้าดีกับเจ้า ไม่เคยทำร้ายเจ้า เพราะเหตุใด”เหมยฮวาลูบผมของเจียงลี่มี่ มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยโลหิตของเจียงลี่มี่อย่างมีความสุข“เจ้าดีกับข้า แล้วข้าต้องดีกับเจ้า? โง่เง่า ! ชีวิตนี้ข้าไม่มีทางดีกับเจ้า ข้าเป็นบุตรที่เกิดจากอนุ จะไปเทียบชั้นเจ้าได้อย่างไร ทุกสิ่งล้วนถูกเจ้าแย่งชิง แม้แต่บุรุษที่ข้าชมชอบก็ถูกเจ้าแย่งไป หากข้าไม่กำจัดเจ้า ข้าไม่มีวันมีความสุข”ใบหน้าสวยประดับด้วยรอยยิ้มเยียบเย็น เจียงลี่มี่มองอย่างชิงชัง เธอแค้นใจยิ่งนักเมื่อเห็นรอยยิ้มของเหมยฮวา สตรีที่เธอคิดว่
"คุณหนูใหญ่...นี่ข้าเอง เสี่ยวจูไงเจ้าคะ ท่านเป็นอะไรไป หรือ...หรือข้าทำให้ท่านเจ็บตรงไหน ให้ข้าช่วย...หะ..ให้ข้าไปตามคนมาช่วยนะเจ้าคะ"เสี่ยวจูมีท่าทางหวาดกลัว นางกำลังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น อยู่ ๆ คุณหนูใหญ่ก็บ่นว่ารู้สึกอ่อนล้า หายใจไม่ออก จากนั้นก็ล้มตัวลงนอน แล้วไม่ฟื้นอีกเลย ไม่ว่านางจะพยายามปลุกอย่างไร จึงตัดสินใจจะไปตามคนมาช่วย แต่คุณหนูใหญ่ก็ขยับตัวเสียก่อน"เธอเป็นใคร แล้วทำไมฉันมาอยู่ที่นี่"เจียงลี่มี่ถามด้วยความสงสัย รอบตัวของเธอตอนนี้มีแต่สิ่งที่เธอไม่คุ้นเคย"ที่นี่คือจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายเจ้าค่ะ ข้าคือเสี่ยวจู ข้าเป็นสาวใช้ของคุณหนูอย่างไรเจ้าคะ...”เจียงลี่มี่ตกตะลึง อะไรคือจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย เสี่ยวจูตรงหน้านี่คือใคร“...หรืออาการของคุณหนูกำเริบ จึงสูญเสียความทรงจำ ข้า...ข้า..ข้าจะไปตามนายท่านกับฮูหยินเอกมา..คะ..คุณ..คุณหนูรอข้าก่อนนะเจ้าคะ"เด็กน้อยเสี่ยวจูกำลังจะวิ่งออกไป แต่เธอมือไวคว้าไว้ได้เสียก่อน แล้วเธอก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเธอสวมใส่เสื้อผ้าแบบโบราณ"อย่า..อย่าเพิ่งไป เอากระจกให้ฉัน" เจียงลี่มี่กระสับกระส่าย หวาดกลัว เสี่ยวจูยื่นกระจกให้ เธอรีบคว้ามา แล้วส่องดูหน้
“ไม่ใช่…แต่จะตัดทั้งพวงให้ขาด แล้วเอาไปทำกับข้าวให้นังเมียน้อยกิน อยากได้นักก็จะยกให้เลย ยิ่งรักกันปานจะกลืนกินยิ่งดี จะได้สมปรารถนาทั้งกิน ทั้งกลืน ฮ่าฮ่าฮ่า”เจียงลี่มี่อึ้ง ไม่คิดว่าคนใจเย็นอย่างอาอี้จะพูดแบบนี้ น่ากลัวกว่าที่คิด“อาอี้ทำฉันอึ้งนะเนี่ย แอบร้ายด้วย อีกอย่างนะเรื่องนี้มีบางอย่างพิเศษสำหรับฉันด้วย”“อะไร?” อาอี้สงสัย“พี่สาวของนางเอกเรื่องนี้นะสิ ชื่อเดียวกับฉันเลย เจียงลี่มี่ ชีวิตเธอก็อาภัพไม่ต่างกับฉันเลย”“โห..บังเอิญจริง ๆ แล้วเจียงลี่มี่ในเรื่องเด่นมากไหม เป็นถึงพี่สาวนางเอก บทต้องไม่น้อยแน่ ๆ”“เยอะมาก เด่นมากเลยล่ะ” เจียงลี่มี่พูดไปขำไปกับน้ำเสียงของอาอี้ที่เหมือนจะตื่นเต้นราวกับเป็นชื่อของตัวเอง“มีกี่บทที่พูดถึง หรือมีบทตลอดทั้งเรื่อง”“มีตั้งสามบรรทัด เยอะมากเลยใช่มั้ยล่ะ” เจียงลี่มี่อยากรู้ว่าอาอี้จะพูดอะไร เพราะที่เธออ่านนั้น บทเจียงลี่มี่ในนิยายมีแค่สามบรรทัด เรียกว่าเปิดตัวมาก็ตายเลย“หาาาาา! สามบรรทัด จะบ้าเรอะ นี่มันน้อยยิ่งกว่าบทนำเสียอีก คงไม่ใช่ว่าเปิดตัวมาปุ๊บก็ตายปั๊บอะไรแบบนี้นะ”อาอี้ค่อนขอด คนเขียนใจร้ายจริง ๆ เขียนมาได้ไงยะ สามบรรทัด น้อยเกิน







