ชายหนุ่มละเอียดชิมริมฝีปากของนางทีละน้อย อย่างเชื่องช้าและอ้อยอิ่ง เขารู้ว่าจังหวะไหนควรปล่อยให้นางได้หายใจและตั้งสติ
“ลองใช้ลิ้นของเจ้าสอดเข้ามาสิ” เว่ยจงหมิงสอนนาง
“ทะ ทำแบบใดนะ” นางไม่เข้าใจว่าต้องทำอย่างไร
“แบบนี้”
เว่ยจงหมิงไม่อธิบายให้มากความแต่แสดงให้นางดู ชายหนุ่มสอดลิ้นเข้าไปช่วงชิงความหอมหวาน ก่อนจะเกี่ยวกระหวัดดูดกลืนไม่ปล่อยให้ได้นางได้ตั้งตัว
“อืม” หัวสมองเล็ก ๆ ของหญิงสาวพร่าเบลอไปหมด ความรู้สึกซาบซ่านอุ่นร้อนไปทั่วทั้งร่าง ทุกการสัมผัสของเว่ยจงหมิง ล้วนกระตุ้นปลุกอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างที่นางไม่เคยรู้สึกมาตลอดชีวิต
หญิงสาวไม่รังเกียจว่าเวลานี้มือไม้ซุกซนของเว่ยจงหมิงจะสัมผัสส่วนไหนของร่างกายนาง ขอแค่เป็นเขานางก็ไม่รังเกียจ เวลานี้หากเป็นเขาก็พอแล้ว
เมื่อเห็นว่านางเริ่มคล้อยตามเว่ยจงหมิงก็เปลี่ยนใจจากริมฝีปากนุ่มหยุ่น เขาหยัดกายขึ้นถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมด จนไม่เหลือติดกายเลยสักชิ้น
มีเพียงสิ่งเดียวที่เยี่ยเทียนรู้สึกติดค้างในใจมาโดยตลอด นั่นก็คือพระขนิษฐาร่วมพระมารดาจู่ ๆ ก็ไปหลงรักบุรุษแคว้นเว่ย จนกระทั่งถูกไท่ซ่างหวงปลดออกจากฐานันดรศักดิ์ ได้ยินว่าในภายหลังนางปลิดชีวิตของตนเองเพราะเสียใจจากสิ่งที่ฟู่ซิ่งผู้เป็นสามีของนางกระทำเอาไว้ตอนนั้นเขาเป็นเพียงไท่จื่อแห่งแคว้นเยี่ยมิได้มีอำนาจในราชสำนักมากมาย พยายามทูลขอร้องไท่ซ่างหวง ให้ขอตัวหลานชายและหลานสาวกลับมาอยู่ด้วยกันที่บ้านเกิดของพระมารดา แต่กระนั้นไท่ซ่างหวงก็ใจแข็งนักไม่ยินยอมให้อภัย ในเมื่อนางทิ้งฐานันดรศักดิ์ไปแล้วโอรสธิดาที่เกิดจากนางก็ยิ่งไม่นับเป็นเชื้อพระวงศ์อีกต่อไปโชคยังดีที่ตอนนั้นไท่ซ่างหวงอนุญาตให้เขามาร่วมอำลานางเป็นครั้งสุดท้าย ในตอนนั้นหากฟู่ซิ่งไม่รับปากว่าจะดูแลบุตรธิดาของพระขนิษฐาเขาเป็นอย่างดี ก็คงสังหารมันด้วยตนเอง พระราชนัดดาทั้งสององค์ในเวลานั้นก็ยังเล็กนัก ยังต้องมีต้นไม่ใหญ่เป็นที่พึ่งพิงเขาจึงยั้งมือไว้ชีวิตสายลับที่ตนส่งเข้าไปแทรกแซงในแคว้นนอกจากเรื่องทางการศึกแล้ว ยังมีข่าวคราวและความเป็นอยู่ของเด็กสองคนที
ป่านนี้นางน่าจะไปถึงเสิ่นหนานแล้ว เว่ยเจิ้งหยางให้คนตามไปอารักขาฟู่เหยาเหยาอยู่จำนวนหนึ่ง อย่างน้อยก็เป็นไมตรีจิตครั้งสุดท้ายของการเป็นสามีภรรยา ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตามทีเมื่อให้คนไปส่งแล้ว เว่ยเจิ้งหยางไม่ได้ใส่ใจในตัวนางอีก กระทั่งท้องฟ้าสว่างปลอดโปร่งไร้วี่แววของเมฆฝน คนที่เขาส่งไปจึงกลับมารายงานสีหน้าของตัวแทนองครักษ์ไม่ค่อยดีนัก ร่างสูงวางเอกสารในมือรับเพื่อฟังคำรายงาน“กระหม่อมสี่คนขออภัยโทษจากท่านอ๋องด้วย” ทั้งสี่คนคุกเข่าและพูดเกือบจะพร้อมกันการกระทำเช่นนี้ยิ่งทำให้เว่ยเจิ้งหยางรู้สึกใคร่รู้เรื่องราว“เกิดอะไรขึ้น” เขาถามเสียงเรียบ“ในคืนแรกที่พวกกระหม่อม ติดตามอดีตหวางเฟย เพื่อพาตัวนางไปส่งที่เสิ่นหนาน”“แล้วยังไงต่อ”“เป็นเพราะฝนตกหนักอยู่หลายวัน จึงจำเป็นต้องให้อดีตหวางเฟยแวะพักค้างคืน ณ โรงเตี๊ยมที่อยู่ระหว่างทางไปเสิ่นหนาน แต่ดูเหมือนว่า จะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ&r
ฝนตกหนักอยู่หลายวันกระทั่งท้องฟ้าแทบไม่ต่างอะไรจากยามกลางคืน ส่วนเช้าวันนี้ก็เพิ่งได้เห็นแสงของพระอาทิตย์สาดส่องลงสู่พื้นแผ่นดิน ฟู่ลี่อิ๋งเห็นว่าอากาศดีจึงลุกออกมาเดินเล่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี โดยทิ้งบุรุษตัวโตนอนหลับอุตุอยู่บนเตียงเสี่ยวหลงเมื่อเห็นเจ้านายตื่นนอน ก็เข้ามารับใช้นางตามปกติที่เคยทำ วันนี้ขันทีน้อยคล้ายกับมีเรื่องจะพูดแต่ก็พูดไม่ได้ ช่วงหลังนางเห็นว่าเขาชอบไปคลุกคลีอยู่ที่เรือนของท่านเหลียง ถ้านางไม่ตามเจ้าเด็กน้อยก็ไม่โผล่หน้ามาให้นางเห็น ตอนหลังจึงได้รู้ว่า เสี่ยวหลงชื่นชอบการตัดเย็บภูษาอาภรณ์เป็นอย่างมาก มักจะไปถามเคล็ดลับต่าง ๆ จากท่านเหลียงอยู่เป็นประจำ“มีเรื่องอะไรทำให้เจ้าทุกข์ใจงั้นหรือ” นางถามไถ่ขันทีน้อย“......” เสี่ยวหลงไม่ตอบได้แต่ก้มหน้างุด“ถ้าเจ้าไม่พูดข้าจะรู้หรือ” ฟู่ลี่อิ๋งนางไม่ใช่พระโพธิสัตว์หรือเทพเซียนที่จะรู้ความในใจของผู้อื่นได้“พูดแล้ว เสี่ยวหลงพูดแล้ว” เสี่ยวหลงยึกยัก สุดท้ายก็ยอมปริปาก &ldqu
ฟู่เหยาเหยาเก็บข้าวของออกจากจวนอ๋องไปแล้ว เว่ยเจิ้งหยางเองก็ไม่ได้ใส่ใจว่านางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าหลายวันมานี้จะมีพายุฝนฟ้าคะนองครั้งใหญ่ เพราะหัวใจของเขาไม่ได้อยู่ที่นางมาตั้งแต่แรกที่มีให้ก็แค่เพียงความห่วงใยแบบที่ปุถุชนทั่วไปพึงกระทำ หย่ากันแล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ก็เรื่องของนาง และถ้าเกิดว่าบุตรในท้องของนางเป็นบุตรของเขาจริง ๆ นางก็คงแจ้งความประสงค์ที่จะอยู่ที่นี่และให้เขารับผิดชอบมาตั้งแต่ต้นบ่าวรับใช้และนางกำนัลมีแค่เพียงเสียวเชี่ยนและสามี ที่เป็นผู้ติดตาม ได้ความว่านางไม่อยากเป็นจุดสนใจของผู้คน จึงได้เดินทางออกจากเมืองหลวงไปอย่างเรียบง่าย แต่กระนั้นเขาเองก็ยังไม่มั่นใจว่านางจะวางแผนอะไรไว้อีกหรือเปล่า จึงได้ส่งองครักษ์จำนวนหนึ่งตามอารักขาทางเลือกเดียวของนางในเวลานี้คือการกลับไปที่เสิ่นหนาน แต่เป็นเพราะพายุฝนที่ไม่ยอมหยุดเสียที ทำให้การเดินทางของนางค่อนข้างลำบาก เดิมทีใช้ระยะเวลาไม่เกิน 5 วัน เพราะทั้งสองเมืองอยู่ไม่ห่างจากกันเท่าไหร่ แต่ตอนนี้แม้กระทั่งวันเดี
เช้าแล้วแต่พายุฝนด้านนอกก็ยังคงโหมกระหน่ำ ท้องฟ้าด้านนอกจึงยังคงอึมครึมไร้แสงจากดวงตะวัน ความจริงเขาต้องลุกไปที่ค่ายทหารจัดการเรื่องสายลับจากแคว้นเยี่ย จากนั้นจึงจะเข้าวังไปประชุมในช่วงบ่าย แต่เพราะฝนตกหนักเกินไปและคาดว่าน่าจะตกตลอดทั้งวัน ทางวังจึงส่งคนไปแจ้งกับขุนนางทุกคนว่าประชุมบ่ายวันนี้ถูกยกเลิกลู่เหวินเองก็มาแจ้งข่าวนี้กับเจ้านายของตนเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงเลือกกลับมานอนกอดเจ้าตัวร้ายที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มแทน“ท่านไม่ไปทำงานหรือ” นางงัวเงีย“วันนี้ไม่ไป ดูท่าฝนจะตกตลอดทั้งวัน” เว่ยเจิ้งหยางจุมพิตหน้าผากกลมมน มือก็ลูบลงไปสัมผัสแผ่นหลังแบบบางของนาง ร่องรอยบาดแผลที่เกิดจากการถูกโบยในตอนนั้นยังคงหลงเหลืออยู่ “แผลพวกนี้ เกิดจากเหตุการณ์ครั้งนั้นใช่หรือไม่” ในขณะที่มือก็ลูบไล้แผ่นหลังของนางด้วยความเสน่หานางไม่ตอบแต่พยักหน้า“ให้ข้าจัดการบิดาเจ้าอย่างไรดี” เว่ยจงหมิงพอจะรู้มาบ้างว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง ตอนนั้นเขายังไม่ได้ใส่ใจต่อการม
เขาก้าวไม่กี่ก้าว ฟู่ลี่อิ๋งก็ถูกเอามาวางไว้ที่เตียง บุรุษตัวสูงหันซ้ายหันขวา มองหาหนังสือเล่มนั้นที่เขามอบให้นางเอาไว้“ท่านหาอะไรหรือ”“หนังสือเล่มที่ข้ามอบให้กับเจ้าเอาไว้”หญิงสาวขยับไปเข้าด้านในเตียง และหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมาจากใต้หมอน เขาก็รู้อยู่ว่าหนังสือแบบนี้จะวางประเจิดประเจ้อให้ใครเห็นไม่ได้ คิดว่านางจะวางเอาไว้ที่โต๊ะอ่านหนังสือหรืออย่างไรกัน“เจ้าอ่านถึงหน้าไหนแล้วบ้าง มีติดขัดตรงไหนหรือไม่” เขาถามราวกับว่าหนังสือเล่มนั้นเป็นตำราเรียนที่ต้องมานั่งทบทวน“....” ฟู่ลี่อิ๋งพูดไม่ออก นางไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรเว่ยจงหมิงขยับไปนั่งที่หัวเตียงพร้อมกับลากนางมานั่งอ่านหนังสือด้วยกันเขาเปิดไปหน้าแรก เป็นภาพที่ชายหนุ่มกำลังกอดก่ายกับสตรี ถัดไปอีกภาพเป็นช่วงที่เขาก้มตัวลงไปกระตุ้นให้ภรรยาเข้าสู่ห้วงแห่งความเสน่หา“เขากระตุ้นร่างกายของนางแบบนี้ใช่หรือไม่” เว่ยจงหมิงใช้มือลูบไล้ผิวกายนวลผ่องของภรรยา ตั้งแต่ต้นคอหยอกล้อบีบเ