Masukรุ่งอรุณของวันใหม่มาถึงพร้อมกับความตื่นเต้นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างของซูฉิง วันนี้เป็นวันเริ่มต้นโครงการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเธอ—การเปิดฟาร์มสมุนไพรหยางเพื่อปลูกหญ้าดับไฟราคะมารักษาโรคปากไวใจทะลึ่งของตัวเอง และเพื่อให้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับท่านหมอเทวดาอวี้เหยียนมากขึ้น
ซูฉิงมาถึงแปลงดินขนาด 3 วาด้านหลังศาลาสมุนไพรแต่เช้าตรู่ แม้แปลงดินจะถูกล้อมรั้วเตี้ยๆ และอยู่ใกล้ห้องทำงานของอวี้เหยียนจนน่าอึดอัด แต่ซูฉิงกลับมองว่านี่คือทำเลทอง
ทำเลดีขนาดนี้ แสงแดดส่องถึง ดินดี ไม่มีใครกล้ามายุ่ง เพราะท่านหมอเทวดาคอยสอดส่อง นี่มันแปลงเกษตรที่เซ็กซี่ที่สุดในใต้หล้าแล้ว
ซูฉิงเริ่มแผนการของเธอทันที เธอเดินกลับไปที่โรงเก็บอุปกรณ์ของโรงหมอ และใช้ความรู้สมัยใหม่มาดัดแปลงเครื่องมือโบราณให้เป็นอุปกรณ์ทำเกษตรสุดล้ำ
เสียม ถูกซูฉิงเรียกว่า เครื่องมือพิชิตมังกร เพราะใช้สำหรับเจาะและขุดรากลึก
จอบเล็ก ถูกเรียกว่า ใบมีดผ่าตัดดิน เพราะใช้สำหรับตัดแบ่งและปรับหน้าดินอย่างละเอียด
กระบอกไม้ไผ่ขนาดใหญ่ที่มีรูเล็กๆ ถูกซูฉิงนำมาใช้เป็นเครื่องมือรดน้ำ เธอเรียกมันว่า กระบอกป้อนสารบำรุงหัวใจ
ไม่นานนัก คนงาน 2-3 คนก็ถูกอวี้เหยียนส่งมาช่วยงาน ซูฉิงเห็นคนงานเหล่านั้นแล้วก็แทบถอนหายใจ พวกเขาดูซื่อและเคร่งครัดตามแบบฉบับของลูกน้องท่านหมอเทวดาไม่มีผิด
“พี่น้องเจ้าคะ พวกเรามาเริ่มงานกันเลย วันนี้เราจะมาทำการ กระตุ้นอารมณ์ ของดินกันก่อน”
คนงานคนหนึ่งนามว่า อาฟู่ ทำหน้างุนงง “กระ... กระตุ้นอารมณ์หรือขอรับฮูหยิน” คนงานยังไม่รู้ฐานะที่ชัดเจน จึงเรียกนางแบบสุภาพ
ซูฉิงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ใช่แล้ว ดินแปลงนี้มันเคร่งเครียดมานานเกินไปแล้วเจ้าค่ะ เราต้องใช้เครื่องมือพิชิตมังกรของเรา ทะลวง ลงไปให้ลึก ให้ดินมันได้รู้สึกถึงความตื่นตัวและความมีชีวิตชีวาอย่างเต็มที่”
อาฟู่และคนงานที่เหลือหน้าแดงก่ำเล็กน้อย พวกเขาไม่เคยได้ยินคำอธิบายการทำเกษตรที่ชวนให้คิดลึกขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต
“พวกท่านไม่ต้องเขินอายไปเจ้าค่ะ เราทำเพื่อการแพทย์ เพื่อให้รากแก้วของสมุนไพรสามารถหยั่งลึกลงไปในดินอย่างมั่นคงและแข็งแกร่ง ข้าจะเริ่มสาธิตการใช้ใบมีดผ่าตัดดินให้พวกท่านดูนะคะ”
ซูฉิงสาธิตการใช้จอบเล็กปรับหน้าดินอย่างละเอียด พร้อมทั้งอธิบายศัพท์เฉพาะทางของเธอไปด้วย “การพลิกหน้าดินนี้คือการปลุก พลังหยาง ในดินให้ตื่นขึ้น และการปรับความชื้นให้เหมาะสมคือการเตรียม น้ำหล่อเลี้ยงชีวิต เราต้องทำให้ทุกอย่างมันสมดุลและ ถึงจุดสูงสุด ก่อนที่เราจะนำเมล็ดพันธุ์แห่งความหวังลงไปปลูก”
คนงานทั้ง 3 คนมองหน้ากัน พวกเขาไม่เข้าใจศัพท์วิชาการประหลาดๆ ของฮูหยินผู้นี้เลยแม้แต่น้อย แต่คำว่า ปลุกพลังหยาง ทะลวง และ ถึงจุดสูงสุด มันช่างบาดลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของความเป็นบุรุษเสียจริงๆ
“ขอ... ขอรับ พวกเราจะทำการทะลวงดินให้เรียบร้อยขอรับ” อาฟู่รับคำอย่างขึงขัง เขาหยิบเสียม (เครื่องมือพิชิตมังกร) ขึ้นมาด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นในภารกิจกระตุ้นอารมณ์ของดิน
ซูฉิงหัวเราะคิกคัก เธอพอใจกับปฏิกิริยาของคนงานมาก การใช้ศัพท์ทะลึ่งทำให้พวกเขามีแรงกระตุ้นในการทำงานเพิ่มขึ้นสิบเท่า
หลังเตรียมดินเสร็จแล้ว ซูฉิงก็เริ่มปลูกสมุนไพรชุดแรก นั่นคือหญ้าสงบจิต (หญ้าดับไฟราคะ) เธอพยายามรักษาระยะห่างจากแปลงสมุนไพรนี้มากที่สุดเพื่อไม่ให้ถูกกระตุ้น แต่ก็ทำไม่ได้อยู่ดี “นี่คือหญ้าสงบจิต มันเป็นสมุนไพรที่อ่อนไหวต่ออารมณ์และความรู้สึกมากเจ้าค่ะ เราต้องดูแลมันด้วยความรักและความเข้าใจ” ซูฉิงกล่าวอย่างนุ่มนวล แต่ก็ไม่วายเสริมมุกตลกเข้าไป “ถ้าเราดูแลมันไม่ดี... มันอาจจะหนีตามบุรุษรูปงามไปก็ได้นะเจ้าคะ”
คนงานยิ่งงุนงงหนักเข้าไปอีก เพราะสมุนไพรจะหนีตามบุรุษได้อย่างไร
ขณะที่บรรยากาศการทำเกษตรกำลังวุ่นวายและเต็มไปด้วยคำพูดสองแง่สองง่ามที่ถูกตีความไปในทางที่ผิด เสียงไอเย็นๆ ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่”
อวี้เหยียนเดินออกมาจากห้องทำงานของเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาได้ยินเสียงซูฉิงและคำพูดแปลกๆ ของเธอลอดกำแพงออกมาตลอดช่วงเช้า ทำให้เขาต้องละจากตำราสมุนไพรสำคัญของเขาเพื่อออกมาตรวจสอบ
เขาเห็นอุปกรณ์ทำเกษตรที่มีชื่อประหลาดๆ วางอยู่เกลื่อนกลาด เห็นคนงานกำลัง 'ทะลวง' ดินด้วยใบหน้าแดงก่ำ และเห็นซูฉิงกำลัง 'ป้อนสารบำรุงหัวใจ' (รดน้ำ) ให้กับเมล็ดพันธุ์อย่างใกล้ชิด
“ซูฉิง ข้าสั่งให้เจ้าจัดเรียงสมุนไพรไม่ใช่หรือ และไอ้ กระบอกป้อนสารบำรุงหัวใจนั่นมันคืออะไร” อวี้เหยียนชี้นิ้วไปที่กระบอกไม้ไผ่ที่มีรูเล็กๆ ที่นางถืออยู่
ซูฉิงยิ้มร่า
“ท่านหมอเจ้าคะ นั่นมันคือเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารเจ้าค่ะ” ซูฉิงรีบอธิบาย
“ถ้าเราใช้กระบอกป้อนสารบำรุงหัวใจนี้ในการรดน้ำ สมุนไพรมันจะได้รับสารบำรุงอย่างตรงจุดและถึงพริกถึงขิงเลยเจ้าค่ะ มันเป็นเทคนิคทางการเกษตรที่ล้ำสมัยที่สุดในโลกเลยนะเจ้าคะ”
ความทะลึ่งในใจของซูฉิงเริ่มถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกสงสารและเห็นใจอย่างแท้จริง เธอตระหนักว่าอวี้เหยียนไม่ได้เป็นแค่เป้าหมายในการปั่นป่วนของเธอเท่านั้น แต่เขาคือบุรุษหนุ่มที่แบกรับภาระของการเป็นหมอเทวดาผู้เคร่งครัดไว้บนบ่า เธอเห็นอวี้เหยียนยกมือขึ้นนวดขมับอย่างช้าๆ ก่อนจะถอนหายใจยาวหลายครั้ง ท่าทางของเขาแสดงออกถึงความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ “ท่านหมอ...” ซูฉิงพึมพำเบาๆ “ท่านต้องการการดูแลที่มากกว่าแค่ชาบำรุงของข้าแล้วนะเจ้าคะ...”ขณะที่ซูฉิงกำลังมองอวี้เหยียนด้วยความรู้สึกที่อ่อนโยน ทันใดนั้น... เหตุการณ์ที่ทำให้ซูฉิงต้องประหลาดใจที่สุดก็เกิดขึ้น อวี้เหยียนหันซ้ายหันขวาอย่างรวดเร็วเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาจากหีบไม้จันทน์ที่เพิ่งเก็บไปเมื่อครู่ มันคือ ตำราว่าด้วยการบำรุงแก่นแท้ของชีวิต เล่มนั้นอวี้เหยียนเปิดตำราเล่มนั้นอย่างเงียบๆ และเริ่มจ้องมองไปยังภาพวาดระบบสืบพันธุ์และอวัยวะภายในที่ซูฉิงเพิ่งเปิดดูเมื่อไม่นานมานี้ เขาจ้องมองภาพวาดนั้นด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด แต่สนใจอย่างชัดเจน ไม่ใช่ด้วยความโกรธหรือความอับอาย แต่เป็นด้วยความอยากรู้อยากเห
ซูฉิงเห็นท่าทีของอวี้เหยียนแล้วก็รู้ว่าเธอต้องใช้วิชาการเป็นเกราะป้องกัน เธอชี้ไปที่ภาพวาดในตำราอย่างกล้าหาญ “ท่านหมอ โปรดฟังข้าก่อน ข้าไม่ได้พูดเรื่องไร้สาระ ข้ากำลังวิเคราะห์เนื้อหาในตำราต่างหาก ตำรานี้อธิบายถึงการสืบพันธุ์และการสร้างชีวิตอย่างตรงไปตรงมา นี่คือวิชาการชั้นสูงที่ท่านหมอไม่ควรห้ามนะเจ้าคะ”อวี้เหยียนแทบจะยกมือขึ้นกุมขมับ เขาไม่สามารถโต้แย้งเรื่องวิชาการได้ แต่เขาก็รับไม่ได้กับคำพูดของซูฉิง “การสืบพันธุ์นั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติและจารีต ไม่ใช่สิ่งที่สตรีควรจะนำมาพูดถึงอย่างเปิดเผย เจ้าพยายามใช้คำพูดเหล่านี้ยั่วยวนข้าใช่หรือไม่ เจ้าละเมิดกฎเหล็กข้อที่ 1 อย่างชัดเจนอีกครั้ง”“ยั่วยวนอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” ซูฉิงทำเสียงตกใจเกินจริง เธอรีบยื่นกระดาษโน้ตของอวี้เหยียนไปตรงหน้าเขา “ท่านหมอ ท่านต่างหากที่สนใจเรื่องเหล่านี้ ข้าเพิ่งพบบันทึกส่วนตัวของท่านที่เขียนว่า ‘สมุนไพรว่านบำรุงในตำรานี้ มีส่วนช่วยในเรื่องการสร้างชีวิตจริงหรือไม่ ข้าควรจะทำการทดลองอย่างละเอียดเพื่อหาข้อสรุป’”อวี้เหยียนถึงกับหน้าซีดเผือด เขาไม่คิดว่าซูฉิงจะค้นพบบันทึกส่วนตัวที่เขาเขียนไว้เมื่อหลายปีก่อน “นี
“ท่านหมอ ท่านหมอโบราณท่านนี้... ท่านช่างเป็นผู้ที่กล้าหาญในการวาดภาพจริงๆ” ซูฉิงพึมพำกับตัวเอง อาการกำเริบของเธอทำให้เธอไม่สามารถควบคุม ความคิดทะลึ่ง ที่แล่นเข้ามาในหัวได้อย่างทันท่วงทีซูฉิงรีบเอามือปิดปากแน่น เธอท่องกฎเหล็กข้อที่ 1 วาจาสุภาพ ซ้ำๆ อยู่ในใจ ราวกับคาถาป้องกันตนเอง “สงบสติไว้ซูฉิง มันคือวิชาการ มันคือความรู้ มันคือชีววิทยาที่ต้องได้รับการเคารพ ห้ามคิดถึงท่านหมอ ห้ามคิดถึงมุกตลก ห้ามคิดถึงการละเมิดกฎเหล็กครั้งสุดท้าย” เธอพึมพำกับตัวเองเสียงเบาที่สุดแต่ยิ่งเธอพยายามควบคุม อาการกำเริบก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ภาพวาดในตำราเริ่มถูกตีความในหัวของเธอด้วยศัพท์เฉพาะทางที่แฝงความทะลึ่ง “ท่านหมอโบราณท่านนี้ลืมพูดถึงความสำคัญของโครโมโซม X และ Y ในการกำหนดเพศของบุตรไปได้อย่างไร ท่านมัวแต่เน้นเรื่องการผสานหยินหยางเท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่องค์ประกอบทางพันธุกรรมนี่แหละคือกุญแจสำคัญในการสร้างชีวิตที่สมบูรณ์” ซูฉิงพึมพำเธอพยายามอธิบายภาพวาดระบบสืบพันธุ์ด้วยคำศัพท์ที่ไม่ทะลึ่ง แต่ก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ถ้าข้าพูดว่าอวัยวะสืบพันธุ์มันจะผิดกฎไหมนะ ถ้าอย่างนั้นข้าต้องใช้ศัพท์ที่ดูหรูหรากว่านี้ซูฉิงพลิ
ความวุ่นวายที่ซูฉิงสร้างไว้ในโรงหมอทำให้ท่านหมอเทวดาอวี้เหยียนตระหนักว่า การปล่อยให้ซูฉิงอยู่ใกล้ชิดกับศิษย์น้องผู้ใสซื่ออย่างเถียนเถียนนั้น เป็นการติดเชื้อความทะลึ่งที่รุนแรงและรวดเร็วกว่าที่เขาคาดไว้อวี้เหยียนตัดสินใจใช้วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสในการดึงซูฉิงออกจากแปลงสมุนไพรและห่างจากเถียนเถียนให้มากที่สุด และสิ่งที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับซูฉิงก็คือ... การขลุกอยู่กับตำราเก่าๆเช้าวันหนึ่ง อวี้เหยียนเรียกซูฉิงเข้าไปในห้องทำงานของเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเช่นเคย แต่ดวงตาของเขามีความระแวงแฝงอยู่ “ซูฉิง ข้ามีงานสำคัญที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถของเจ้าโดยเฉพาะ และเป็นงานที่ไม่ต้องการคำพูดที่ไม่เหมาะสมหรือการสัมผัสที่ไม่จำเป็นใดๆ ทั้งสิ้น”ซูฉิงพยักหน้าอย่างตั้งใจ เธอกำลังรอคอยว่าเขาจะมอบหมายภารกิจอะไรให้เธอทำลายความเย็นชาของเขาเป็นครั้งที่ 3“งานของเจ้าคือการจัดเรียงและทำความสะอาดตำราสมุนไพรทั้งหมดในห้องสมุดส่วนตัวของข้า” อวี้เหยียนชี้ไปที่ประตูบานเล็กๆ ด้านในสุดของห้องทำงาน “เจ้าต้องใช้ความรู้เรื่องการจัดหมวดหมู่สมัยใหม่ของเจ้า เพื่อให้ข้าสามารถค้นคว้าสมุนไพรได้อย่างมีประสิทธิภาพ”ซูฉิงเบิกตา
“พอแล้ว ซูฉิง ข้า... ข้าไม่ได้หมายความว่าเจ้าบ้าผู้ชาย ข้าแค่หมายความว่า... เจ้าควรจะรักษาจรรยาบรรณ” อวี้เหยียนกล่าวอย่างตะกุกตะกัก“จรรยาบรรณของข้าคือการรักษาคนไข้ให้หายขาดเจ้าค่ะ” ซูฉิงยืนยันอย่างหนักแน่น “และการรักษาอาการเคร่งเครียดของท่าน... ก็คือภารกิจสำคัญที่สุดของข้าในโรงหมอแห่งนี้”เถียนเถียนเดินเข้าไปกอดซูฉิงทันที “ศิษย์พี่ซูฉิง ท่านช่างกล้าหาญที่สุดเลยเจ้าค่ะ ท่านยอมรับข้อกล่าวหาอันน่าอับอายนี้เพื่อปกป้องความรู้ทางการแพทย์”อวี้เหยียนมองภาพศิษย์น้องของเขากำลังกอดสตรีที่เพิ่งละเมิดกฎเหล็กอย่างชัดเจน แล้วก็รู้สึกว่าโลกของเขากำลังพังทลายลง ซูฉิงไม่ได้ถูกควบคุมเลยแม้แต่น้อย แต่เธอกลับยึดครองโรงหมอของเขาด้วยความทะลึ่ง และความเข้าใจผิดอวี้เหยียนตัดสินใจยอมจำนนในสถานการณ์นี้อย่างสิ้นเชิง “พอแล้ว พวกเจ้าจงกลับไปทำงานของพวกเจ้าเดี๋ยวนี้” อวี้เหยยียนสั่งเสียงดัง ก่อนจะหันไปมองซูฉิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความพ่ายแพ้ “ซูฉิง... ข้า... ข้าจะไม่ลงโทษเจ้าในครั้งนี้ เพราะ... ข้ายังต้องการความรู้ของเจ้าอยู่ แต่จงจำไว้ เจ้าเหลือโอกาสสุดท้ายเพียงครั้งเดียวเท่านั้น จงใช้มันอย่างมีสติ”ซูฉิงโค
อวี้เหยียนตัวแข็งทื่อ เขาไม่เคยถูกสตรีสัมผัสด้วยความใกล้ชิดถึงเพียงนี้ และการสัมผัสมันก็รุนแรงเกินกว่าที่เขาจะรับได้ “เถียนเถียน หยุดเดี๋ยวนี้ เจ้ากำลังทำอะไร” อวี้เหยียนสั่งเสียงเครียด“ท่านหมอเจ้าคะ ข้ากำลังช่วยให้พลังชี่ของท่าน ไหลเวียนอย่างสมบูรณ์ ศิษย์พี่ซูฉิงสอนว่าการสัมผัสที่ถูกจุดจะช่วยให้ท่านผ่อนคลาย และปลดปล่อยความเครียดได้อย่างถึงแก่นเจ้าค่ะ” เถียนเถียนยังคงนวดต่อไปด้วยความบริสุทธิ์ใจอวี้เหยียนรีบจับมือของเถียนเถียนออกทันที ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธและความอับอาย นี่มัน... นี่มันคือการละเมิดกฎเหล็กข้อที่ 2 อย่างชัดเจน และเป็นการกระทำที่ถูกสอนมาจากซูฉิงชัดๆ อวี้เหยียนรู้แล้วว่า ซูฉิงไม่ได้ถูกควบคุมเลยแม้แต่น้อย เธอกำลังใช้ศิษย์น้องผู้ใสซื่ออย่างเถียนเถียนเป็นเครื่องมือในการปั่นป่วนเขาต่างหากเหตุการณ์ 'นวดคลึงหัวไหล่' โดยศิษย์น้องเถียนเถียนสร้างความตึงเครียดให้กับท่านหมอเทวดาอวี้เหยียนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เขาไม่สามารถลงโทษเถียนเถียนได้เพราะความบริสุทธิ์ใจของเธอ แต่เขาโกรธซูฉิงจนแทบจะระเบิดเช้าวันรุ่งขึ้น อวี้เหยียนเรียกซูฉิงมายังห้องทำงานทันที โดยไม่สนเรื่องการรัก







