Masukอวี้เหยียนขมวดคิ้ว เขาเดินเข้าไปใกล้แปลงดิน และมองดูต้นกล้าเล็กๆ ที่เพิ่งถูกปลูกลงไป “แล้วหญ้าสงบจิตที่เจ้าพูดถึงคือสมุนไพรชนิดใด ทำไมวิธีการปลูกของเจ้าจึงใช้เครื่องมือที่พิสดารถึงเพียงนี้” อวี้เหยียนถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงความไม่ไว้วางใจอย่างถึงที่สุด
ซูฉิงเห็นท่านหมอเทวดาสนใจ ก็รีบใช้ความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่มาอธิบายความสามารถของตัวเองทันที “หญ้าสงบจิต... มันเป็นสมุนไพรที่ช่วยปรับคลื่นไฟฟ้าในสมองเจ้าค่ะ มันจะช่วยบำบัดอาการเครียดสะสมและคลายปมประสาทที่ถูกกดทับมานาน”
“คลื่นไฟฟ้า ปมประสาท เจ้ากำลังใช้ศัพท์อันใด” อวี้เหยียนรู้สึกว่าความรู้ทางการแพทย์ที่เขาสั่งสมมาทั้งชีวิตกำลังถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรงโดยสตรีทะลึ่งผู้นี้
ซูฉิงมองดูสีหน้าของเขาแล้วรู้สึกตลกอย่างบอกไม่ถูก นี่แหละคือจุดประสงค์ของเธอ การทำลายกำแพงความรู้ของเขาด้วยคำพูดทะลึ่งที่แฝงไปด้วยความจริงทางวิทยาศาสตร์
อวี้เหยียนยืนอยู่ข้างแปลงสมุนไพรด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจและความฉงนสนเท่ห์ เขามองดูต้นกล้าเล็กๆ ของ 'หญ้าสงบจิต' ที่เพิ่งโผล่พ้นดิน และอุปกรณ์ทำสวนที่ถูกตั้งชื่ออย่างน่าอับอาย
“คลื่นไฟฟ้า ปมประสาท ซูฉิง เจ้ากำลังพูดจาเหลวไหลในเรื่องทางการแพทย์ที่ร้ายแรง หากข้าไม่ได้เห็นความสามารถในการจัดเรียงสมุนไพรของเจ้า ข้าคงไล่เจ้าออกไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” อวี้เหยียนกล่าวเสียงเข้ม
ซูฉิงทำหน้าใสซื่อที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามควบคุมอาการ 'ปากไวใจทะลึ่ง' ที่กำลังกำเริบอย่างหนักเมื่อเห็นใบหน้าตึงเครียดของท่านหมอเทวดา
“ท่านหมอเจ้าคะ ข้าเปล่าเหลวไหลนะเจ้าคะ ข้ากำลังอธิบายกลไกการออกฤทธิ์ทางชีวภาพของสมุนไพรอยู่ต่างหาก”
ซูฉิงรีบก้มลงไปจับใบของหญ้าสงบจิตขึ้นมาอย่างอ่อนโยน “ท่านดูที่ใบของมันสิเจ้าคะ นี่คือส่วนที่ทำหน้าที่เป็นเสาอากาศในการรับคลื่นความถี่บวกจากธรรมชาติ”
“เสาอากาศ คลื่นความถี่ เจ้าคิดว่าสมุนไพรเหล่านี้เป็นแม่น้ำสายหนึ่งหรืออย่างไร” อวี้เหยียนแทบจะยกมือขึ้นกุมขมับ
ซูฉิงส่ายหน้าอย่างช้าๆ “ท่านหมอ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้ากำลังพูดถึงเซลล์ ใบนี้มันเต็มไปด้วยโคลโรพลาสต์ ซึ่งเป็นอวัยวะเล็กๆ ที่ใช้ในการดูดกลืนพลังงานแสงอาทิตย์ แล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานชีวิต”
ซูฉิงชี้ไปยังส่วนที่เรียกว่า ต่อมใต้สมองของพืช (ที่จริงคือส่วนที่พืชใช้ควบคุมการเจริญเติบโต) “และส่วนนี้ ส่วนนี้สำคัญที่สุดเลยเจ้าค่ะ ท่านหมอต้องดูแลมันเป็นพิเศษ เพราะมันคือต่อมควบคุมการเจริญเติบโต หรือที่ข้าเรียกมันว่าต่อมใต้สมองของพืช ถ้าต่อมนี้อ่อนแอ สมุนไพรก็จะไม่สามารถเติบโตอย่างแข็งแรงและสมบูรณ์เจ้าค่ะ”
อวี้เหยียนจ้องมองส่วนที่ซูฉิงชี้อย่างจริงจัง ในฐานะหมอและนักสมุนไพรผู้เชี่ยวชาญ เขาต้องยอมรับว่าส่วนนั้นมีความสำคัญต่อการงอกจริง แต่คำว่า 'ต่อมใต้สมองของพืช' และการอธิบายถึง 'ความอ่อนแอ' ของมัน ช่างฟังดูเหมือนซูฉิงกำลังวิเคราะห์อาการของ บุรุษเพศ ที่มีปัญหาเรื่อง กำลังวังชา เสียมากกว่า
“ซูฉิง ข้าสั่งให้เจ้าเลิกใช้คำที่ชวนให้เข้าใจผิดกับคนงานเสียที เจ้าใช้คำว่าบำรุงและอ่อนแอ ราวกับว่าเจ้ากำลังรักษาอาการทางกายให้บุรุษ” อวี้เหยียนกล่าวอย่างหงุดหงิด
“ ท่านหมอ ข้าแค่พูดถึงชีวิตของพืชนะเจ้าคะ ข้าต้องบำรุงให้รากแก้วของมันหยั่งลึกและแข็งแรง เพราะรากแก้วคือแกนหลักแห่งพลังงา ของพืช ถ้าแกนหลักไม่มั่นคง พืชก็จะล้มพับได้ง่ายๆ”
ซูฉิงชี้ไปยัง กระบอกป้อนสารบำรุงหัวใจ ที่เธอใช้รดน้ำ “ดังนั้นข้าจึงใช้เครื่องมือนี้ในการป้อนสารอาหาร อย่างอ่อนโยนแต่ตรงจุด เพื่อให้รากแก้วได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด ท่านหมอไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ข้าจะดูแลแกนหลักของสมุนไพรชุดนี้อย่างดีที่สุดเลยเจ้าค่ะ”
อวี้เหยียนรู้สึกว่าความเคร่งครัดที่สั่งสมมานานกำลังถูกทำลายลงอย่างช้าๆ ด้วยคำพูดที่ไม่บริสุทธิ์ใจของซูฉิง เขามองไปที่คนงานที่กำลังฟังคำอธิบายของนางด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“พอแล้ว ข้าไม่ต้องการฟังคำอธิบายที่ส่อไปในทางต่ำทรามอีกต่อไป” อวี้เหยียนตัดสินใจสั่งห้ามทันที “ถ้าเจ้ายังใช้ศัพท์ที่ชวนให้คิดลึก ข้าจะให้เจ้าไปทำบัญชีในโรงหมอแทนการปลูกสมุนไพร”
ซูฉิงทำหน้าเสียดายเล็กน้อย “โถ่ ท่านหมอ ท่านไม่ชอบความถึงแก่นของข้าหรือเจ้าคะ ข้าแค่พยายามอธิบายกระบวนการผสมเกสรของพืชให้ท่านฟังอย่างละเอียดเท่านั้นเอง การผสมเกสรคือการถ่ายทอดความรักอันลึกซึ้งจากอวัยวะเพศผู้ ไปยังอวัยวะเพศเมีย อย่างซาบซึ้ง มันคือศิลปะแห่งชีวิตนะเจ้าคะ”
อวี้เหยียนถึงกับหันหลังให้ทันที เขาเดินออกจากแปลงสมุนไพรอย่างรวดเร็วราวกับถูกไฟไหม้ ความอับอายมันแล่นพล่านไปทั่วใบหน้า
“ไป ไปให้พ้นจากแปลงสมุนไพรของข้า และจงไปจัดเรียงสมุนไพรในห้องเก็บยาต่อให้เสร็จ และห้ามพูดเรื่องอวัยวะเพศของพืชหรือสัตว์ใดๆ ในโรงหมอข้าอีก”
ซูฉิงหัวเราะคิกคัก เธอรู้ว่าถึงแม้เขาจะโกรธจนหน้าแดง แต่เขาก็ไม่กล้าไล่เธอออก เพราะความรู้ของเธอมีประโยชน์เกินกว่าจะหาใครเทียบได้
ท่านหมอเอ๊ย ท่านหนีข้าไม่ได้หรอก ข้าจะใช้ความรู้ทางการแพทย์และคำพูดทะลึ่งนี่แหละ ค่อยๆ ทำลายกำแพงความเย็นชาของท่านไปทีละชั้นๆ จนท่านยอมรับว่าความทะลึ่งก็คือส่วนหนึ่งของชีวิตเหมือนการหายใจ นี่แหละ
ซูฉิงกลับไปที่ห้องเก็บสมุนไพร เธอหยิบ รากยั่วใจ ที่เธอตั้งชื่อเล่นไว้ขึ้นมา เธอต้องหาทางสกัดสารออกฤทธิ์จากรากนี้เพื่อนำมาใช้ในการทดลองรักษาโรคของตัวเองอย่างลับๆ
ความทะลึ่งในใจของซูฉิงเริ่มถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกสงสารและเห็นใจอย่างแท้จริง เธอตระหนักว่าอวี้เหยียนไม่ได้เป็นแค่เป้าหมายในการปั่นป่วนของเธอเท่านั้น แต่เขาคือบุรุษหนุ่มที่แบกรับภาระของการเป็นหมอเทวดาผู้เคร่งครัดไว้บนบ่า เธอเห็นอวี้เหยียนยกมือขึ้นนวดขมับอย่างช้าๆ ก่อนจะถอนหายใจยาวหลายครั้ง ท่าทางของเขาแสดงออกถึงความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ “ท่านหมอ...” ซูฉิงพึมพำเบาๆ “ท่านต้องการการดูแลที่มากกว่าแค่ชาบำรุงของข้าแล้วนะเจ้าคะ...”ขณะที่ซูฉิงกำลังมองอวี้เหยียนด้วยความรู้สึกที่อ่อนโยน ทันใดนั้น... เหตุการณ์ที่ทำให้ซูฉิงต้องประหลาดใจที่สุดก็เกิดขึ้น อวี้เหยียนหันซ้ายหันขวาอย่างรวดเร็วเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาจากหีบไม้จันทน์ที่เพิ่งเก็บไปเมื่อครู่ มันคือ ตำราว่าด้วยการบำรุงแก่นแท้ของชีวิต เล่มนั้นอวี้เหยียนเปิดตำราเล่มนั้นอย่างเงียบๆ และเริ่มจ้องมองไปยังภาพวาดระบบสืบพันธุ์และอวัยวะภายในที่ซูฉิงเพิ่งเปิดดูเมื่อไม่นานมานี้ เขาจ้องมองภาพวาดนั้นด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด แต่สนใจอย่างชัดเจน ไม่ใช่ด้วยความโกรธหรือความอับอาย แต่เป็นด้วยความอยากรู้อยากเห
ซูฉิงเห็นท่าทีของอวี้เหยียนแล้วก็รู้ว่าเธอต้องใช้วิชาการเป็นเกราะป้องกัน เธอชี้ไปที่ภาพวาดในตำราอย่างกล้าหาญ “ท่านหมอ โปรดฟังข้าก่อน ข้าไม่ได้พูดเรื่องไร้สาระ ข้ากำลังวิเคราะห์เนื้อหาในตำราต่างหาก ตำรานี้อธิบายถึงการสืบพันธุ์และการสร้างชีวิตอย่างตรงไปตรงมา นี่คือวิชาการชั้นสูงที่ท่านหมอไม่ควรห้ามนะเจ้าคะ”อวี้เหยียนแทบจะยกมือขึ้นกุมขมับ เขาไม่สามารถโต้แย้งเรื่องวิชาการได้ แต่เขาก็รับไม่ได้กับคำพูดของซูฉิง “การสืบพันธุ์นั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติและจารีต ไม่ใช่สิ่งที่สตรีควรจะนำมาพูดถึงอย่างเปิดเผย เจ้าพยายามใช้คำพูดเหล่านี้ยั่วยวนข้าใช่หรือไม่ เจ้าละเมิดกฎเหล็กข้อที่ 1 อย่างชัดเจนอีกครั้ง”“ยั่วยวนอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” ซูฉิงทำเสียงตกใจเกินจริง เธอรีบยื่นกระดาษโน้ตของอวี้เหยียนไปตรงหน้าเขา “ท่านหมอ ท่านต่างหากที่สนใจเรื่องเหล่านี้ ข้าเพิ่งพบบันทึกส่วนตัวของท่านที่เขียนว่า ‘สมุนไพรว่านบำรุงในตำรานี้ มีส่วนช่วยในเรื่องการสร้างชีวิตจริงหรือไม่ ข้าควรจะทำการทดลองอย่างละเอียดเพื่อหาข้อสรุป’”อวี้เหยียนถึงกับหน้าซีดเผือด เขาไม่คิดว่าซูฉิงจะค้นพบบันทึกส่วนตัวที่เขาเขียนไว้เมื่อหลายปีก่อน “นี
“ท่านหมอ ท่านหมอโบราณท่านนี้... ท่านช่างเป็นผู้ที่กล้าหาญในการวาดภาพจริงๆ” ซูฉิงพึมพำกับตัวเอง อาการกำเริบของเธอทำให้เธอไม่สามารถควบคุม ความคิดทะลึ่ง ที่แล่นเข้ามาในหัวได้อย่างทันท่วงทีซูฉิงรีบเอามือปิดปากแน่น เธอท่องกฎเหล็กข้อที่ 1 วาจาสุภาพ ซ้ำๆ อยู่ในใจ ราวกับคาถาป้องกันตนเอง “สงบสติไว้ซูฉิง มันคือวิชาการ มันคือความรู้ มันคือชีววิทยาที่ต้องได้รับการเคารพ ห้ามคิดถึงท่านหมอ ห้ามคิดถึงมุกตลก ห้ามคิดถึงการละเมิดกฎเหล็กครั้งสุดท้าย” เธอพึมพำกับตัวเองเสียงเบาที่สุดแต่ยิ่งเธอพยายามควบคุม อาการกำเริบก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ภาพวาดในตำราเริ่มถูกตีความในหัวของเธอด้วยศัพท์เฉพาะทางที่แฝงความทะลึ่ง “ท่านหมอโบราณท่านนี้ลืมพูดถึงความสำคัญของโครโมโซม X และ Y ในการกำหนดเพศของบุตรไปได้อย่างไร ท่านมัวแต่เน้นเรื่องการผสานหยินหยางเท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่องค์ประกอบทางพันธุกรรมนี่แหละคือกุญแจสำคัญในการสร้างชีวิตที่สมบูรณ์” ซูฉิงพึมพำเธอพยายามอธิบายภาพวาดระบบสืบพันธุ์ด้วยคำศัพท์ที่ไม่ทะลึ่ง แต่ก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ถ้าข้าพูดว่าอวัยวะสืบพันธุ์มันจะผิดกฎไหมนะ ถ้าอย่างนั้นข้าต้องใช้ศัพท์ที่ดูหรูหรากว่านี้ซูฉิงพลิ
ความวุ่นวายที่ซูฉิงสร้างไว้ในโรงหมอทำให้ท่านหมอเทวดาอวี้เหยียนตระหนักว่า การปล่อยให้ซูฉิงอยู่ใกล้ชิดกับศิษย์น้องผู้ใสซื่ออย่างเถียนเถียนนั้น เป็นการติดเชื้อความทะลึ่งที่รุนแรงและรวดเร็วกว่าที่เขาคาดไว้อวี้เหยียนตัดสินใจใช้วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสในการดึงซูฉิงออกจากแปลงสมุนไพรและห่างจากเถียนเถียนให้มากที่สุด และสิ่งที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับซูฉิงก็คือ... การขลุกอยู่กับตำราเก่าๆเช้าวันหนึ่ง อวี้เหยียนเรียกซูฉิงเข้าไปในห้องทำงานของเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเช่นเคย แต่ดวงตาของเขามีความระแวงแฝงอยู่ “ซูฉิง ข้ามีงานสำคัญที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถของเจ้าโดยเฉพาะ และเป็นงานที่ไม่ต้องการคำพูดที่ไม่เหมาะสมหรือการสัมผัสที่ไม่จำเป็นใดๆ ทั้งสิ้น”ซูฉิงพยักหน้าอย่างตั้งใจ เธอกำลังรอคอยว่าเขาจะมอบหมายภารกิจอะไรให้เธอทำลายความเย็นชาของเขาเป็นครั้งที่ 3“งานของเจ้าคือการจัดเรียงและทำความสะอาดตำราสมุนไพรทั้งหมดในห้องสมุดส่วนตัวของข้า” อวี้เหยียนชี้ไปที่ประตูบานเล็กๆ ด้านในสุดของห้องทำงาน “เจ้าต้องใช้ความรู้เรื่องการจัดหมวดหมู่สมัยใหม่ของเจ้า เพื่อให้ข้าสามารถค้นคว้าสมุนไพรได้อย่างมีประสิทธิภาพ”ซูฉิงเบิกตา
“พอแล้ว ซูฉิง ข้า... ข้าไม่ได้หมายความว่าเจ้าบ้าผู้ชาย ข้าแค่หมายความว่า... เจ้าควรจะรักษาจรรยาบรรณ” อวี้เหยียนกล่าวอย่างตะกุกตะกัก“จรรยาบรรณของข้าคือการรักษาคนไข้ให้หายขาดเจ้าค่ะ” ซูฉิงยืนยันอย่างหนักแน่น “และการรักษาอาการเคร่งเครียดของท่าน... ก็คือภารกิจสำคัญที่สุดของข้าในโรงหมอแห่งนี้”เถียนเถียนเดินเข้าไปกอดซูฉิงทันที “ศิษย์พี่ซูฉิง ท่านช่างกล้าหาญที่สุดเลยเจ้าค่ะ ท่านยอมรับข้อกล่าวหาอันน่าอับอายนี้เพื่อปกป้องความรู้ทางการแพทย์”อวี้เหยียนมองภาพศิษย์น้องของเขากำลังกอดสตรีที่เพิ่งละเมิดกฎเหล็กอย่างชัดเจน แล้วก็รู้สึกว่าโลกของเขากำลังพังทลายลง ซูฉิงไม่ได้ถูกควบคุมเลยแม้แต่น้อย แต่เธอกลับยึดครองโรงหมอของเขาด้วยความทะลึ่ง และความเข้าใจผิดอวี้เหยียนตัดสินใจยอมจำนนในสถานการณ์นี้อย่างสิ้นเชิง “พอแล้ว พวกเจ้าจงกลับไปทำงานของพวกเจ้าเดี๋ยวนี้” อวี้เหยยียนสั่งเสียงดัง ก่อนจะหันไปมองซูฉิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความพ่ายแพ้ “ซูฉิง... ข้า... ข้าจะไม่ลงโทษเจ้าในครั้งนี้ เพราะ... ข้ายังต้องการความรู้ของเจ้าอยู่ แต่จงจำไว้ เจ้าเหลือโอกาสสุดท้ายเพียงครั้งเดียวเท่านั้น จงใช้มันอย่างมีสติ”ซูฉิงโค
อวี้เหยียนตัวแข็งทื่อ เขาไม่เคยถูกสตรีสัมผัสด้วยความใกล้ชิดถึงเพียงนี้ และการสัมผัสมันก็รุนแรงเกินกว่าที่เขาจะรับได้ “เถียนเถียน หยุดเดี๋ยวนี้ เจ้ากำลังทำอะไร” อวี้เหยียนสั่งเสียงเครียด“ท่านหมอเจ้าคะ ข้ากำลังช่วยให้พลังชี่ของท่าน ไหลเวียนอย่างสมบูรณ์ ศิษย์พี่ซูฉิงสอนว่าการสัมผัสที่ถูกจุดจะช่วยให้ท่านผ่อนคลาย และปลดปล่อยความเครียดได้อย่างถึงแก่นเจ้าค่ะ” เถียนเถียนยังคงนวดต่อไปด้วยความบริสุทธิ์ใจอวี้เหยียนรีบจับมือของเถียนเถียนออกทันที ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธและความอับอาย นี่มัน... นี่มันคือการละเมิดกฎเหล็กข้อที่ 2 อย่างชัดเจน และเป็นการกระทำที่ถูกสอนมาจากซูฉิงชัดๆ อวี้เหยียนรู้แล้วว่า ซูฉิงไม่ได้ถูกควบคุมเลยแม้แต่น้อย เธอกำลังใช้ศิษย์น้องผู้ใสซื่ออย่างเถียนเถียนเป็นเครื่องมือในการปั่นป่วนเขาต่างหากเหตุการณ์ 'นวดคลึงหัวไหล่' โดยศิษย์น้องเถียนเถียนสร้างความตึงเครียดให้กับท่านหมอเทวดาอวี้เหยียนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เขาไม่สามารถลงโทษเถียนเถียนได้เพราะความบริสุทธิ์ใจของเธอ แต่เขาโกรธซูฉิงจนแทบจะระเบิดเช้าวันรุ่งขึ้น อวี้เหยียนเรียกซูฉิงมายังห้องทำงานทันที โดยไม่สนเรื่องการรัก







