LOGINเธอใช้ศัพท์ใหม่ในการพูดกับคนงานเพื่อไม่ให้ถูกเตือนครั้งที่ 2
“อาฟู่ จงนำน้ำบริสุทธิ์ไปทำละลายสมุนไพรกลุ่มอัลคาลอยด์ชนิดนี้ให้ข้า ข้าต้องการสารสกัดเข้มข้นที่จะช่วยให้จิตวิญญาณของเราเกิดความสมดุล”
แม้คำพูดจะดูสุภาพขึ้น แต่ซูฉิงก็ไม่ลืมที่จะแฝงนัยยะตลกๆ ลงไปเสมอ
หลังจากถูกท่านหมอเทวดาอวี้เหยียนสั่งห้ามเรื่องการพูดถึง 'อวัยวะ' ของพืช ซูฉิงก็ถอนหายใจยาวอย่างเสียดาย แต่เธอก็ไม่ได้หยุดการปั่นป่วน ท่านหมอไม่ได้ห้ามการกระทำหรือการวาดภาพนี่นา
อวี้เหยียนมอบหมายภารกิจใหม่ให้ซูฉิง การคัดลอกและทำสำเนาตำราสมุนไพรโบราณที่หายากเล่มหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยภาพวาดสมุนไพรที่ซับซ้อน
“ตำราเล่มนี้มีภาพประกอบที่ละเอียดอ่อนมาก” อวี้เหยียนกำชับขณะวางตำราลงบนโต๊ะในห้องสมุดเล็กๆ ที่อยู่ติดกับห้องทำงานของเขา “เจ้าต้องคัดลอกรายละเอียดให้ครบถ้วนและแม่นยำที่สุด”
“ได้เลยเจ้าค่ะท่านหมอ ข้าถนัดเรื่องการวาดภาพรายละเอียดและสัดส่วนที่ซับซ้อนอยู่แล้ว” ซูฉิงรับคำอย่างกระตือรือร้น
งานคัดลอกเริ่มต้นขึ้นอย่างเคร่งเครียด ซูฉิงไม่ได้คัดลอกแค่ภาพวาดสมุนไพรตามตำราเท่านั้น แต่เธอยังเพิ่มภาพประกอบเสริมที่อิงจากความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่ลงไปในส่วนที่ว่างของตำราด้วย เพราะเธอเชื่อว่าการเข้าใจกลไกของสมุนไพรต้องคู่ไปกับการเข้าใจ กายวิภาคของมนุษย์
เธอเริ่มวาดภาพระบบย่อยอาหารของมนุษย์อย่างละเอียดอ่อน เพื่ออธิบายว่าทำไมสมุนไพรบางชนิดถึงถูกดูดซึมได้ดีกว่าเมื่อรับประทานพร้อมกับไขมันดี ซูฉิงใช้พู่กันวาดภาพ กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และ ลำไส้ใหญ่ ที่มีรายละเอียดของ กล้ามเนื้อเรียบ ที่หดตัวและคลายตัว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังในการขับเคลื่อน
ท่านหมอไม่รู้หรอกว่านี่คือภาพประกอบที่สวยงามและวิเศษที่สุดในโลก ข้ากำลังแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของร่างกายมนุษย์เชียวนะ
ขณะที่เธอวาดภาพส่วนที่สำคัญที่สุด... นั่นคือระบบหมุนเวียนโลหิต ซูฉิงต้องวาดภาพ หัวใจ และ หลอดเลือด ที่กระจายไปทั่วร่างอย่างซับซ้อน และเพื่อความสมจริง เธอจึงวาดกล้ามเนื้อและเส้นใยที่อยู่ภายใต้ผิวหนังอย่างละเอียด เธอเขียนคำอธิบายด้วยลายมือเล็กๆ กำกับภาพวาดเหล่านั้น
“การไหลเวียนของโลหิต เป็นดังกระบวนการถ่ายทอดความร้อนและพลังงานชีวิตไปยังทุกอณูของร่างกาย การมีแกนหลักที่แข็งแกร่งจะทำให้โลหิตสามารถหมุนเวียนได้อย่างสมบูรณ์และตื่นตัวตลอดเวลา”
เธอยังวาดภาพประกอบที่แสดงถึงการทำงานร่วมกันของสมุนไพรและโครงสร้างทางกายวิภาคที่สำคัญ โดยเน้นที่จุดศูนย์กลางของพลังงาน (ที่เธอเรียกว่า จุดปลดปล่อยพลังงานสูงสุด)
หลังจากใช้เวลาหลายชั่วยามในการจดจ่อ ซูฉิงก็ถอยออกมาชื่นชมผลงานของตัวเอง ภาพวาดทางกายวิภาคที่เธอเพิ่มเข้าไปนั้น ช่างสมบูรณ์แบบและถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ จนเธอแทบจะหลงรักตัวเอง
ทันใดนั้น ประตูห้องสมุดก็ถูกเปิดออกอย่างเงียบเชียบ อวี้เหยียนเดินเข้ามาเพื่อตรวจสอบความคืบหน้าการคัดลอกตำรา
“ซูฉิง... เจ้าทำได้ดี...” อวี้เหยียนหยุดชะงัก สายตาของเขาจับจ้องไปยังภาพวาดที่ซูฉิงเพิ่มเข้าไปในส่วนว่างของตำรา
เขามองเห็นภาพโครงสร้างร่างกายมนุษย์ที่ถูกวาดอย่างละเอียดลออและชัดเจนเกินกว่าที่จารีตของโลกนี้จะรับได้ โดยเฉพาะภาพที่เน้นกล้ามเนื้อและส่วนโค้งเว้าที่ถูกซูฉิงวาดอย่างตั้งใจ อวี้เหยียนรู้สึกว่าความเคร่งครัดของเขาถูกโจมตีอย่างหนัก ภาพวาดเหล่านั้นมันโจ่งแจ้งและลามกในสายตาของบุรุษผู้ถือศีลธรรมอย่างเขา
“ซูฉิง เจ้าทำอะไรลงไป นี่คือภาพวาดอะไร” อวี้เหยียนเสียงดังขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบวัน
“ข้าสั่งให้เจ้าคัดลอกสมุนไพร ไม่ใช่ภาพวาดเรือนร่างมนุษย์ที่ไม่อาจยอมรับได้เช่นนี้”
ซูฉิงเงยหน้าขึ้นอย่างบริสุทธิ์ใจ เธอทำท่าทางตกใจราวกับถูกกล่าวหาในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง
“ท่านหมอเจ้าคะ ท่านเข้าใจผิดแล้ว นี่คือภาพประกอบวิชาการชั้นสูงเจ้าค่ะ ข้ากำลังแสดงให้ท่านเห็นถึงความแข็งแรงของระบบโครงสร้างของมนุษย์” เธอรีบชี้ไปที่ภาพหัวใจและหลอดเลือด
“ท่านดูสิเจ้าคะ หัวใจที่สูบฉีดเลือดได้อย่างมีชีวิตชีวา หลอดเลือดที่แข็งแกร่ง นี่คือรากฐานของสุขภาพ เลยนะเจ้าคะ”
อวี้เหยียนรู้สึกว่าเลือดกำลังขึ้นหน้า เขาพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น
“มัน... มันไม่มีความจำเป็นต้องวาดรายละเอียดถึงเพียงนี้ และภาพวาดกล้ามเนื้อที่เจ้าเน้นย้ำนั้น... มัน ชวนให้คิดอกุศล นี่ถือเป็นการละเมิด กฎเหล็กข้อที่ 3 โรงหมอคือเขตศักดิ์สิทธิ์ เจ้ากำลังพูดถึงร่างกายและความรู้สึก อย่างเปิดเผย”
ซูฉิงทำหน้าฉงน
“แต่... ข้าพูดถึงวิชาการนะเจ้าคะ ท่านหมอไม่เข้าใจหรือเจ้าคะว่า การที่โลหิตไหลเวียนอย่างดีเยี่ยม ปยังส่วนปลายของร่างกาย... มันเป็นผลดีต่อสุขภาพโดยรวมอย่างไร” คำอธิบายของซูฉิงยิ่งทำให้อวี้เหยียนสับสนและอับอายมากขึ้นไปอีก เพราะคำว่า ส่วนปลาย และ ไหลเวียนดีเยี่ยม มันช่างฟังดูเหมือนคำยกยอที่สตรีไม่ควรพูดถึง
“หยุดเดี๋ยวนี้ซูฉิง ข้าไม่ต้องการฟังคำอธิบายทางกายวิภาคของเจ้าอีก จงทำลายภาพวาดเหล่านี้ทิ้งเดี๋ยวนี้ ก่อนที่มันจะไปทำลายศีลธรรมของบุคลากรในโรงหมอ”
ซูฉิงทำท่าทางเสียดายสุดชีวิต
“ท่านหมอ ภาพวาดนี้เป็นผลงานชิ้นเอกของข้าเลยนะเจ้าคะ ท่านจะให้ข้าทำลายความรู้อันบริสุทธิ์นี้ได้อย่างไร”
“มันไม่ใช่ความรู้ มันคือความอัปยศรีบทำลายซะ” อวี้เหยียนสั่งอย่างเด็ดขาด
อวี้เหยียนหน้าตึง “ข้า... ข้าจะวัดอุณหภูมิที่... ลิ้นของข้าเอง”“ไม่ได้เจ้าค่ะ” ซูฉิงรีบปฏิเสธ “การวัดที่ลิ้นนั้นไม่แม่นยำพอ ข้าต้องวัดที่จุดสัมผัสหลักที่เป็นแหล่งรวมพลังหยางในร่างกายของท่าน” ซูฉิงพยายามจะยื่นปรอทวัดไข้เข้าไปใกล้ลำคอของเขา แต่อวี้เหยียนรีบผงะหนีไปทันที“พอแล้ว ซูฉิง ข้าจะรายงานความรู้สึกของข้าให้เจ้าฟังแทน ข้าไม่ต้องการการสัมผัสใดๆ อีก” อวี้เหยียนกล่าวอย่างหงุดหงิดซูฉิงยอมถอย เธอหยิบพู่กันขึ้นมาบันทึกข้อมูล “ก็ได้เจ้าค่ะ ท่านหมอ โปรดรายงานความรู้สึกภายในของท่านอย่างตรงไปตรงมา”อวี้เหยียนพยายามรวบรวมคำพูดที่วิชาการที่สุด “ข้า... ข้าสัมผัสได้ว่าพลังชี่ของข้ามีการไหลเวียนผิดปกติ มัน... มันพลุ่งพล่านและรุนแรงอยู่ภายในร่างกายของข้า หัวใจของข้าเต้นเร่าอย่างรวดเร็ว ข้าไม่รู้ว่านี่เป็นผลจากยาหรือจากความอับอายที่เจ้าสร้างขึ้น”ซูฉิงยิ้มอย่างมีชัย เธอรีบจดบันทึกทุกคำพูดของเขา “ยอดเยี่ยมเจ้าค่ะท่านหมอ ชีพจรเต้นเร่า พลังชี่พลุ่งพล่าน นี่คือปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่ออคติถูกทำลาย ข้าจะตีความว่ายานี้ได้ผลในการกระตุ้นการปลดปล่อย ท่านหมอไม่ต้องอับอายนะเจ้าคะ ท่านกำลังปลดปล่
ขณะที่ทั้งสองกำลังยืนอยู่ข้างโต๊ะทดลอง พื้นที่ว่างที่จำกัดทำให้ร่างกายของพวกเขาใกล้ชิดกันโดยไม่ได้ตั้งใจ อวี้เหยียนพยายามรักษาระยะห่างตามสัญชาตญาณ แต่ซูฉิงกลับเอนตัวเข้าไปหาเล็กน้อยเพื่อหยิบเครื่องมือ “ท่านหมอเจ้าคะ” ซูฉิงกล่าวขณะยื่นมือเข้าไปใกล้แขนของเขาเพื่อหยิบ ปฏิทินวัดชีพจร “ข้าต้องวัดชีพจรท่านก่อนที่เราจะชิมยานะเจ้าคะ เพื่อให้เราได้ข้อมูลพื้นฐาน”อวี้เหยียนถึงกับตัวแข็งทื่อ เขาจำกฎเหล็กข้อที่ 2 ห้ามสัมผัสร่างกายได้ขึ้นใจ และถึงแม้กฎจะถูกยกเลิกแล้ว การถูกสัมผัสด้วยความใกล้ชิดเช่นนี้ก็ยังทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวอย่างควบคุมไม่ได้ “ซูฉิง ข้า... ข้าจะวัดชีพจรตัวเอง” อวี้เหยียนรีบดึงแขนกลับ แต่ซูฉิงเร็วกว่า“ไม่ได้เจ้าค่ะ ข้าต้องเป็นคนวัดเอง เพื่อความแม่นยำและเป็นกลาง” ซูฉิงกล่าวอย่างจริงจัง เธอจับข้อมือของอวี้เหยียนอย่างรวดเร็วและใช้นิ้วมือของเธอสัมผัสจุดชีพจรของเขาเบาๆ อวี้เหยียนรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างแล่นไปทั่วแขนของเขา เขาพยายามมองไปที่อื่นเพื่อไม่ให้ความรู้สึกส่วนตัวมาทำลายการทดลอง“ชีพจรท่าน... เต้นเร็วกว่าปกติเล็กน้อยนะเจ้าคะท่านหมอ นี่อาจจะเป็นผลจากความตื่นเต้นหรือความอย
“ถูกต้องเจ้าค่ะ” ซูฉิงพยักหน้า “แต่มันมีความเสี่ยง ข้ากลัวว่าถ้ายานี้ถูกสกัดอย่างไม่สมบูรณ์ มันอาจจะออกฤทธิ์ผิดพลาดกลายเป็นยาเพิ่มความปรารถนาให้แก่บุรุษเพศแทน”อวี้เหยียนหน้าตึงทันที คำว่า ออกฤทธิ์ผิดพลาด และ เพิ่มความปรารถนา ทำให้เขากลับเข้าสู่โหมดเคร่งครัด “แล้วเจ้ามาหาข้าด้วยเหตุใด เจ้าควรจะไปหาผู้ช่วยหญิงคนอื่นมาทดสอบ”“ท่านหมอ นั่นแหละคือสิ่งที่ข้ามาขอท่านเจ้าค่ะ” ซูฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ซูฉิงเดินเข้าไปใกล้โต๊ะทำงานอีกก้าว เธอยื่นถ้วยยาอีกใบที่เตรียมไว้ให้เขา “ท่านหมอเจ้าคะ ไม่มีใครในโลกนี้ที่เหมาะสมกับการทดสอบยานี้เท่าท่านอีกแล้ว”อวี้เหยียนถึงกับตัวแข็งทื่อ เขาไม่เข้าใจความหมายของซูฉิง “อะไรนะ เจ้าหมายความว่าอย่างไร”“ข้าหมายความว่า... ท่านหมอเป็นบุรุษที่เคร่งครัดและมีการควบคุมตนเองสูงที่สุดในใต้หล้า” ซูฉิงอธิบายอย่างจริงจัง “ถ้าหากยานี้ออกฤทธิ์ผิดพลาดกลายเป็นยาเพิ่มความปรารถนาจริงๆ... ท่านหมอจะเป็นคนเดียวที่สามารถยับยั้งผลกระทบของมันได้”ซูฉิงส่งถ้วยยาให้เขาพร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความท้าทาย “ดังนั้น ข้าจึงขอเชิญท่านหมอ... ร่วมพิสูจน์รสชาติครั้ง
หลังจากที่ท่านหมอเทวดาอวี้เหยียนยอมจำนนต่อความสามารถของซูฉิงและตัดสินใจเข้าร่วมแผนการบำบัดด้วยการดูแลใกล้ชิดที่ซูฉิงเสนอ โรงหมอบำรุงกายใจก็กลับมามีความสุขอีกครั้ง ซูฉิงไม่ได้ละเมิดกฎเหล็กใดๆ อีก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับอวี้เหยียนกลับพัฒนาไปในทิศทางที่โรแมนติกแบบลับๆแต่ซูฉิงก็รู้ดีว่าเธอไม่สามารถปล่อยปละละเลยโรคปากไวใจทะลึ่งของตัวเองได้ เธอต้องการให้ตัวเองหายขาดจริงๆ ไม่ใช่แค่ควบคุมอาการได้ชั่วคราวจากการที่ใจเต้นแรงเพราะท่านหมอ ดังนั้นภารกิจเร่งด่วนที่สุดของซูฉิงในวันนี้คือการทดสอบประสิทธิภาพของหญ้าสงบจิตที่เธอปลูกในแปลงข้างห้องทำงานของพระเอก“ศิษย์น้องเถียนเถียน” ซูฉิงกล่าวขณะกำลังจัดเตรียมอุปกรณ์ในโรงยา “วันนี้เราจะมาทำการสกัดสมุนไพรพิเศษที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนสูงสุด”เถียนเถียนตาเป็นประกาย เธอเชื่อว่าการสกัดนี้คือพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ทางการแพทย์ “เจ้าค่ะ ศิษย์พี่ซูฉิง ท่านกำลังจะสกัดความรู้บริสุทธิ์จากพืชออกมาใช่หรือไม่เจ้าคะ”“ถูกต้องที่สุดศิษย์น้อง” ซูฉิงยิ้มแห้งๆ ถ้าเจ้าจะตีความให้สูงส่งขนาดนั้นก็เอาที่สบายใจเลย “หญ้าสงบจิตนี้มันซับซ้อนมาก เราต้องสกัดสารออกฤทธิ์ทางชีวภา
“ท่านนายหลี่เจ้าคะ ท่านควรจะหาเวลาปลดปล่อยความรู้สึกออกมาให้หมดเปลือก อย่ามัวแต่เก็บกดความปรารถนาร้อนรุ่มไว้ในใจ การได้แสดงความรู้สึกออกมาอย่างเต็มที่ จะทำให้แก่นกลางของชีวิตท่านแข็งแกร่งและมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”คำพูดของซูฉิงที่เต็มไปด้วย ความปรารถนา ร้อนรุ่ม เก็บกด ปลดปล่อย และ แก่นกลางของชีวิต มันช่างยั่วยุและตรงข้ามกับความเชื่อของคุณนายหลี่อย่างรุนแรง คุณนายหลี่เริ่มหายใจหอบถี่ ใบหน้าของนางเปลี่ยนจากสีขาวซีดเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธ ความอับอาย และความสับสน นางพยายามจะตำหนิซูฉิง พยายามจะประณามคำพูดที่ไม่เหมาะสมแต่แทนที่คำตำหนิจะออกมาจากปาก... สิ่งที่ออกมาคือเสียงหัวเราะที่รุนแรงและควบคุมไม่ได้ “ฮึ ฮึ ฮ่าๆๆๆๆๆ” คุณนายหลี่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งราวกับคนเสียสติ นางหัวเราะจนตัวโยน น้ำตาไหลอาบแก้ม นางหัวเราะให้กับความไร้ยางอายของซูฉิง และหัวเราะให้กับความตลกของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเสียงหัวเราะสงบลง คุณนายหลี่เช็ดน้ำตา ใบหน้าของนางดูสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความเครียดและความหวาดระแวงหายไปหมดสิ้น “ข้า... ข้ารู้สึกโล่งอย่างน่าประหลาด ข้า... ข้าไม่เคยหัวเราะได้มากถึงเพียงนี้ม
“ถูกต้องเจ้าค่ะ คำพูดที่ชวนอับอาย นี่แหละคือยา เมื่อคนไข้มีความเครียดสูง พวกเขาจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมามากเกินไป ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอและรู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา” ซูฉิงจ้องมองอวี้เหยียนอย่างจริงจัง “การที่ข้าพูดจาช็อกบำบัดใส่พวกเขา หรือพูดถึงเรื่องที่พวกเขาเก็บกดเอาไว้ เช่นความปรารถนาหรือความสุขทางโลก มันทำให้เกิดปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่รุนแรง”“ปฏิกิริยาทางอารมณ์อันใด พวกเขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่งต่างหาก”“นั่นแหละคือการรักษาเจ้าค่ะท่านหมอ การหัวเราะอย่างรุนแรง หรือการรู้สึกช็อกทางอารมณ์ จะไปกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินในสมองอย่างมหาศาล สารเอ็นดอร์ฟินนี้คือยาแก้ปวดและสารแห่งความสุขที่ร่างกายผลิตขึ้นมาเอง มันช่วยลดระดับคอร์ติซอลและทำให้คนไข้รู้สึกโล่งทันที”อวี้เหยียนนิ่งเงียบไปทันที เขาไม่เคยได้ยินเรื่อง คอร์ติซอล หรือ เอ็นดอร์ฟิน มาก่อน แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าผลลัพธ์ของการรักษาซูฉิงนั้นแม่นยำตรงตามที่เธออธิบาย คนไข้ทุกคนที่ได้รับการรักษาด้วยวาจาของเธอ ต่างรู้สึกโล่งและมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างประหลาด ความรู้ของนาง... มันช่างถึงแก่นแท้ของชีวิตจริงๆ แม้วิธีการนำเสนอจะไร้ศีลธรรมเพียงใดก็







