로그인รุ่งเช้า
หญิงสาวตื่นขึ้นมาในช่วงเช้าตรู่ของวันใหม่ กลับพบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดอันแสนอุ่นของเขาเสียแล้ว และศีรษะที่หนุนต่างหมอนมาตลอดทั้งคืน นั่นก็เป็นท่อนแขนของเขา ใบหน้าหล่อเหลาที่เปลือกตายังคงปิดสนิท มองแล้วช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากมาก เพราะทุกครั้งที่ใบหน้านี้เปิดเปลือกตาขึ้นนั้น คิ้วเข้มมักจะขมวดอยู่เป็นปมตลอดเวลา ราวกับว่ามีเรื่องกลุ้มใจให้ครุ่นคิดอยู่ตลอด
มือเล็กกรีดนิ้วเรียวยาวไปตามกรอบของใบหน้าหล่ออย่างหลงใหลเพ่งพินิจพิจารณาสำรวจมอง โดยที่เจ้าของใบหน้าหล่อนั้นยังคงปิดเปลือกตาหลับสนิทอยู่
“คุณกิตติ์! นี่คุณตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” เธอเบิกตาโพล้งถามออกไปอย่างตกใจ เพราะเจ้าของใบหน้าหล่อที่หลับสนิทอยู่นั้น เปิดเปลือกตาขึ้นมาแถมมือของเขายังกำที่ข้อมือเธอเอาไว้แน่นอีก
“ก็...ตื่นตั้งแต่ที่รู้ว่าเธอกำลังแต๊ะอั๋งฉันอยู่นี่แหละ” เขาตอบพร้อมกับหันมามองหน้าเธออย่างอยากจะกวนประสาทเธออีกด้วย
“คะ ใครแต๊ะอั๋งคุณกัน...” เธอตอบเสียงตะกุกตะกักแล้วรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพราะรู้สึกประหม่า และพยายามจะผละตัวออกจากวงแขนกว้างของเขา
“ถ้าอยากหรืออดทนไม่ไหว ก็บอกกันดี ๆ จะได้จัดให้อย่างเต็มที่เลย” เขายังไม่ยอมปล่อย แถมยังดึงเธอเข้ามาแนบชิดกว่าเดิมอีก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยวาจาหื่นห่ามกวนสวนให้เธอเกิดอารมณ์
“ทะลึ่ง! ลามกที่สุด ในสมองคุณคิดแต่เรื่องพวกนี้หรือไง คุณปล่อยได้แล้ว ฉันจะรีบกลับไปบ้าน เดี๋ยวคนก็สงสัยกันพอดี เราหายมาอยู่ที่นี่กันนานแล้วนะ” ศิรดาเอ่ยบอก พร้อมกับพยายามขยับออกจากวงแขนแกร่ง
“จะรีบกลับไปทำไม แล้วพ่อฉันก็รู้ว่าเธออยู่ที่นี่กับฉันตั้งแต่คืนแรกที่เธอมาค้างที่นี่แล้วยัยแป้งเน่า” เขาพูดโต้ง ๆ ขึ้นมา เหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ห้ะ...” เธอตกใจเบิกตากว้าง เพราะคิดไปเองว่าเขาคงจะบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเธอและเขากับคนเป็นพ่อของเขาไปแล้ว
“จะตกใจอะไรขนาดนั้น” เขาถามขึ้นเมื่อเห็นดวงตากลมเบิกโต
“แล้วลุงทัศน์ไม่ถามอะไรคุณเลยเหรอ ที่ฉันเอ่อ...มาอยู่ที่นี่กับคุณนานแบบนี้” เธอถามเขาไปด้วยความแปลกใจ และเธอก็รู้สึกผิดขึ้นมาที่ทำให้ท่านผู้มีพระคุณผิดหวัง
“ก็พ่อฉันไม่ใช่หรือไง ที่เป็นคนบอกให้เธอมาหาฉันที่นี่เอง” เขาพูดตามตรง เพราะเขาทราบดีว่าบิดาของเขามักจะให้เธอมาคอยดูแลเขาตลอด หากว่าเขาออกนอกบ้าน
“...” ศิรดาเม้มปากเข้าหากันแน่น ไม่พูดอะไร
ปกรณ์มองคนในอ้อมกอดที่เงียบไป ก็พอจะรู้ว่าเธอเป็นอะไร เธอคงจะกังวลเรื่องความสัมพันธ์เกินเลยของเขาและเธอสินะ มือหนาได้แต่เชยคางเธอให้มามองสบตา
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันยังไม่ได้บอกพ่อเสียหน่อย ว่าเรามีอะไรกันแล้ว” เขาบอกเธอออกไปตามตรง เพื่อให้เธอไม่เป็นกังวล
“ไม่ได้บอกก็ดีแล้ว ต่อไปคุณกิตติ์ก็ช่วยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วย” เธอเอ่ยปากขอเขาขึ้นมาบ้าง เมื่อรู้ว่าผู้มีพระคุณของเธอยังไม่ทราบเรื่องนี้
“ก็ไม่ได้อยากบอกให้ใครรู้อยู่แล้ว” แต่คนที่อารมณ์ฉุนเฉียวอารมณ์ขึ้นลงไม่คงที่แบบเขา กลับปากไวพูดโต้ตอบเธอออกไปในทันที
ศิรดาจึงผลักเขาออกห่าง แล้วรีบลุกขึ้น สาวเท้ายาว ๆ เดินไปเข้าห้องน้ำทันที โดยไม่หันมาสนใจคนตัวโตบนที่นอนอีกเลย
*
*
“อ้าววว!!! หายป่วยแล้วเหรอแป้ง”
สุทัศน์ ผู้อาวุโสของที่นี่และเป็นบิดาของปกรณ์กิตติ์ ซึ่งก็คือเป็นพ่อบุญธรรมของเธอด้วย ถามขึ้นทันที ที่เธอย่างก้าวเข้ามาภายในบ้าน
เดิมทีสุทัศน์ให้ศิรดาเรียกตนว่าพ่อ หลังจากที่บิดาผู้ให้กำเนิดของเธอเสียชีวิตไป แต่เจ้าตัวไม่ยอม ยืนกรานที่จะเรียกลุงเช่นเดิม เพราะกลัวลูกชายแท้ ๆ จะไม่พอใจเอา แค่เธอเข้ามามีบทบาทและอยู่ชายคาเดียวกันในฐานะลูกบุญธรรม ปกรณ์กิตติ์ยังมองเธอในแง่ร้ายเลย
“จ้ะลุง”
“แต่หน้ายังดูเหมือนซีด ๆ อยู่เลยน่ะ วันนี้ก็พักผ่อนอีกวันไปก่อนเถอะ ไม่ต้องทำงานก็ได้” สุทัศน์รับรู้ในคำตอบของหญิงสาว และเมื่อสังเกตใบหน้าของเธอ กลับต้องบอกให้เธอพักผ่อนต่อ เพราะว่าใบหน้าซีดเผือกและอาการของเธอเหมือนยังไม่ค่อยสู้ดีนัก
“ไม่ได้หรอกจ้ะลุงทัศน์ แป้งอู้งานมามากพอแล้ว เดี๋ยวคุณกิตติ์จะว่าเอาที่ฉันใช้อภิสิทธิ์พิเศษมาเป็นข้ออ้าง” ศิรดารีบขัดขึ้นมาทันที
“อู้ไปเถอะ ลุงอนุญาตเองใครจะกล้าว่าอะไรได้ล่ะ”
“แต่ผมไม่อนุญาตครับพ่อ” ปกรณ์กิตติ์รีบพูดแทรกขึ้นมาทันควัน เมื่อเดินเข้ามาทันได้ยินหญิงสาวคุยกับคนเป็นพ่อ
“มันจะอะไรกันนักหนากิตติ์ ก็น้องยังไม่หายป่วยดีเลย” สุทัศน์รีบแก้ต่างพูดแทนหญิงสาวกับลูกชายเจ้าแผนการของตน
“ก็ไม่เห็นเป็นอะไรมาก ตัวก็ไม่ได้ร้อนแล้วนี้” เขาพูดพร้อมกับหันไปมองหน้าและใช้หลังมือของเขาอังที่หน้าผากของศิรดาเพื่อวัดอุณหภูมิ
“มันจะเกินไปแล้วนะไอ้ลูกคนนี้ เป็นเพราะแกไม่ใช่หรือไงที่น้องต้องมาป่วยแบบนี้” สุทัศน์ต่อว่าลุกชายขึ้นมาทันที
“เอ่อ คือไม่ใช่แบบนั้นนะลุงทัศน์” ศิรดาเห็นท่าไม่ดี จึงเอ่ยแทรกบทสนทนาของสองพ่อลูกขึ้นมาบ้าง เพราะกลัวว่าปกรณ์กิตติ์จะเผลอพูดเรื่องความสัมพันธ์ออกมา
“แกทำอะไรไว้ก็รู้อยู่แก่ใจตัวเองดีไอ้กิตติ์ แกล้งน้องให้มันน้อย ๆ หน่อย ถึงยังไงแกสองคนก็เป็นพี่น้องกัน” สุทัศน์พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง เมื่อมองหน้าหญิงสาว
“ผมเป็นลูกคนเดียวครับ แล้วผมก็ไม่เคยเห็นยัยนี้เป็นน้องสาวของผมด้วย” ปกรณ์กิตติ์สวนขึ้นทันควัน เมื่อคนเป็นพ่อพูดแบบนี้ และมองหน้าศิรดาอย่างเอาเรื่อง
“ฉันขี้เกียจจะเถียงกับแกแล้ว” สุทัศน์จึงยอมอ่อนข้อให้แก่ลูกชาย เพราะรู้ดีว่าคนดื้อรั้นแบบปกรณ์กิตติ์ไม่เคยยอมใครอยู่แล้ว
“ไปแต่งตัว วันนี้เธอต้องเข้าเมืองกับฉัน” ปกรณ์กิตติ์หันไปสั่งทางศิรดาทันที
“แกจะพาน้องไปไหนอีก”
“ธุระนิดหน่อยครับพ่อ แล้วตอนเย็นก็ไปงานเลี้ยงที่บ้านเพื่อนต่ออีก พอดีไอ้ฟืนไอ้ไฟพึ่งกลับมา ถ้าดึกมากก็คงต้องค้างที่นั่นเลย ไม่กลับบ้านนะพ่อ” ปกรณ์กิตติ์ตอบผู้เป็นพ่อออกไปตามตรง เพราะใกล้จะสิ้นเดือน เขาต้องเข้าเมือง และประจวบเหมาะพอดีเมื่อวันนี้ที่เพื่อนทั้งสองของเขากลับมาจากต่างประเทศ
หวงหรือไง“คุยอะไรกันอยู่หนุ่ม ๆ” สุทัศน์ที่พึ่งจะลงมาจากชั้นบนของบ้านนั้นเอ่ยขึ้นทันที เมื่อเห็นว่าแขกผู้มาเยือนเป็นเพื่อนของลูกชายตนที่หายหน้าหายตาไปนานเพราะไปเรียนที่ต่างประเทศกัน“อาทัศน์สวัสดีครับ”สองแฝดหนุ่มได้แต่ยกมือขึ้นไหว้ทำความเคารพผู้ใหญ่อย่างอ่อนน้อม เมื่อเห็นเป็นผู้อาวุโสของที่นี่เดินมาทันทายพวกตน“ไปอยู่ต่างประเทศเสียนาน หน้าออกไปทางฝรั่งเสียแล้วสองแฝด ตามสบายเลยนะ อาไม่อยู่รบกวนวัยรุ่นอย่างพวกเราแล้ว” สุทัศน์ได้แต่เอ่ยแซวสองแฝดเพื่อนลูกชายอย่างนึกเอ็นดู“พ่อจะไปไหนครับ” ปกรณ์กิตติ์เอ่ยถามคนเป็นพ่อขึ้น เมื่อเห็นว่าบิดาของเขานั้นแต่งตัวดูดีกว่าทุกวัน คงต้องมีธุระออกไปข้างนอกแน่“ไปทำธุระนิดหน่อยแล้วแป้งกับปิ่นขอไปด้วย แกมีอะไรหรือเปล่าไอ้กิตติ์” สุทัศน์ตอบลูกชายออกไปตามตรง เพราะเขาพาหญิงสาวสองคนไปด้วยกันจริง แล้วถามลูกชายอย่างนึกจับผิด เพราะร้อยวันพันรปีเจ้าลูกชายไม่เคยถามไถ่เลยว่าผู้เป็นพ่อนั้นจะไปไหน“เปล่าครับ”ปกรณ์กิตติ์รีบปฏิเสธทันควัน เมื่อเจอสายตาคู่นั้นของผู้เป็นพ่อมองมาอย่างจับผิด และสุทัศน์ก็เดินออกไปทันที เพราะรู้ว่าสองสาวรออยู่ที่รถแล้ว“น้องคนนั้นชื่ออะไรห
กูชอบน้องแป้ง“พากันมาทำไม ผลไม้ช่วงนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาเก็บผลผลิตเสียหน่อย” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยทักทายถามแขกผู้มาเยือนขึ้นทันที ด้วยทีท่าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นักไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกัน เมื่อเห็นว่าเป็นเพื่อนสองแฝดของเขาคนนี้ ทำให้เขาไม่ชอบใจยิ่งนักที่พวกมันทั้งสองมาหาเขาถึงที่นี่สองแฝดหนุ่มที่นั่งลงอยู่บนโซฟาห้องรับแขกของบ้าน กลับได้สนใจในคำพูดคำจาของเจ้าของสวนผลไม้ไม่ เพราะว่าความตั้งใจของพวกเขาที่มาในวันนี้ไม่ได้จะมาหาเพื่อนของเขาเลย...“เข้าเรื่องเลยแล้วกันนะไอ้กิตติ์” อคิราห์แฝดผู้พี่เริ่มเกริ่นนำเปิดประเด็นขึ้นมาเสียก่อน พร้อมกับจ้องมองปที่ใบหน้าของปกรณ์กิตติ์อย่างอยากลองหยั่งเชิงดู“พอดีว่า...ช่วงนี้พวกกูสองคนพึ่งกลับมาอยู่บ้าน ว่าง ๆ เลยไม่รู้จะไปไหนกัน เลยแวะมาหาน้องแป้งอยากทำความรู้จักน้องเขา” แล้วอัคนีแฝดผู้น้องจึงเอ่ยตาม ว่าสาเหตุที่พวกเขาทั้งสองมาที่นี่ในวันนี้นั้นคืออะไร“มึงว่าอะไรนะ!!! ไอ้ไฟ?” ทำเอาปกรณ์กิตติ์หันหน้าขวับไปหาทั้งสองหนุ่มทันที ที่ได้ยินถึงจุดประสงค์ของทั้งสองแฝดที่มาในวันนี้“กูบอกว่า พวกกูสองคนมาหาน้องแป้ง” อัคนีเอ่ยย้ำอีกคร
อย่าบอกนะว่าพึ่งตื่นรุ่งเช้า“คุณกิตติ์ ตื่นได้แล้ว แล้วคุณก็ช่วยปล่อยฉันด้วย มีคนมาเคาะประตู” ศิรดาได้แต่สะกิดบอกคนที่นอนกอดรัดเธอ เมื่อได้ยินคนมาเคาะประตูที่หน้าห้องของเธออยู่หลายครั้ง“อื้อ...ใครมาเคาะแต่เช้าว่ะ รบกวนเวลาพักผ่อนฉิบหะ...ขอโทษ เดี๋ยวฉันไปดูเอง” เสียงทุ้มครางต่ำของปกรณ์กิตติ์ขานรับ ก่อนที่จะสบถออกมาอย่างหงุดหงิดเมื่อถูกรบกวนการนอน แต่กลับต้องหุบปากฉับเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเผลอพูดจาไม่ดี แล้วรีบขอโทษเธอและถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงอย่างสุภาพ แถมยังทำท่าทางกำลังจะลุกขึ้นปดู“มะ ไม่ได้” แต่ถูกศิรดาข้ามเอาไว้เสียก่อน“ทำไม?” เขาด้แต่เลิกคิ้วถามเธออย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าเธอนั้นจะห้ามเขาทำไมกัน เพราะทุกทีหากว่ามีคนมาเคาะประตูเขาจะไปเปิดให้ตลอด“ก็นี้มันเป็นห้องนอนของฉันนะคุณลืมไปแล้วหรือไง ขืนใครมาเห็นว่าคุณมาอยู่ห้องนี้กับฉัน มีหวังความแตกแน่”“เหอะ” ปกรณ์กิตติ์ได้แต่แค่นขำให้กับตัวเอง ที่ลืมไปเสียสนิทเลยว่าตอนนี้ตัวเองนั้นอยู่ที่ห้องของหญิงสาว ไม่ได้อยู่ที่ห้องของตัวเองจากนั้นปกรณ์กิตติ์จึงยอมยกวงแขนของตนที่กอดศิรดาอยู่นั้นออก แล้วเธอก็รีบลุกขึ้นหาเสื้อมาคลุมตัวก่อน
ต้องทำเวลา NCบทเพลงรักอันแสนเร่าร้อนได้เริ่มขึ้นในทันที หลังจากที่ทั้งคู่ปลดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ออกทั้งหมดทุกชิ้นแล้ว เพราะต่างต้องรีบทำแข่งกับเวลาที่เร่งรีบ ขืนชักช้ากว่านี้มีหวังคนคงสงสัยกันเป็นแน่“อ๊ะ เสียว”เสียงครวญครางร้องของศิรดาดังขึ้นมาเป็นระยะ ตั้งแต่ที่เขานั้นเริ่มขยับสะโพกตอกอัดใส่เธอตั้งแต่คราแรกด้วยจังหวะที่เนิบนาบแล้ว และเริ่มไต่ระดับขึ้นตามมาเรื่อยย ๆ“เสียวก็ร้องออกมา ปล่อยอารมณ์ไปกับมันแป้ง” เสียงกระเส่าเอ่ยบอกคนใต้ร่างเพื่อให้เธอได้ผ่อนคลายลดความกังวลลงบ้าง เพราะเขารับรู้ได้ว่าเธอกำลังตื่นเต้นมาก รู้สึกถึงสัมผัสจากแรงตอดรัดภายในร่องฉ่ำที่บีบรัดเป็นจังหวะถี่เร็วตับ ตับ ตับ“อยากขึ้นเองไหม” เขาผ่อนแรงลงเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามเธอออกไป เพราะอยากจะเป็นฝ่ายเอาใจและตามใจเธอบ้าง เขาเองก็ไม่รู้หรอก ว่าเธอนั้นมีความสุขไปด้วยกันกับเขาหรือเปล่าเธอได้แต่ส่ายหน้าให้เขาเป็นคำตอบ และรีบเร่งให้เขารีบดำเนินบทรักนี้ให้จบลงเร็วไว เพราะว่าเวลานี้ก็ผ่านมาหลายนาทีแล้ว ตั้งแต่ที่เขาสอดใส่เขากลับไม่ยอมเสร็จสมสักที ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจหรือเปล่าและเธอก็ยังมีความกังวลคิดมากอยู่ตลอด หาก
ไม่ใช่น้องสาวตกเย็น“หาววว...คุณกิตติ์!!!”หญิงสาวที่กำลังอ้าปากกว้างจากหาวเพราะกำลังตื่นนอน กลับต้องเบิกตากว้างตกใจรีบเด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างไวพร้อมกับร้องเสียงออกมา เมื่อเห็นว่าข้างกายของเธอนั้นมีร่างแกร่งนอนจ้องมองมาเธออยู่แล้ว“ก็ฉันนะสิ เธอเห็นเป็นใครล่ะ” ปกรณ์กิตติ์ได้แต่ลุกขึ้นนั่งตาม แล้วยังคงนั่งจ้องมองเธอด้วยท่าทีที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร ก่อนที่จะเอ่ยตอบด้วยวาจาที่กวนชวนให้เธอโมโห“นี่คุณเข้ามาในห้องฉันได้ยังไงกันคุณกิตติ์” หญิงสาวยิงคำถามใส่เขาออกไปด้วยใบหน้าที่งุนงง เพราะเธอตกใจไม่น้อยที่เห็นเขาอยู่ที่นี่ในห้องของเธอ เขาเข้ามาตั้งแต่ตอนไหนแล้วทำไมเขาถึงเข้ามาที่ห้องของเธอได้ แถมยังจะมานอนอยู่บนเตียงเดียวกันกับเธออีก ทั้ง ๆ ที่ร้อยวันพันปีเขาไม่เคยคิดที่จะย่างกรายเข้ามาเหยียบในพื้นที่ตรงนี้เลยสักครั้ง ตั้งแต่ที่เธอเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ห้องนี้เขาก้ไม่เคยได้เข้ามา“นี่เธอลืมไปแล้วหรือยังไง ว่าบ้านหลังนี้มันเป็นบ้านของใคร ยัยแป้งเน่า” เขาถามเธอกลับไปบ้างแถมยังยื่นใบหน้าหล่อเข้าไปใกล้ ๆ กันกับใบหน้าของเธออีก จนศิรดาต้องเอียงหน้าหนีหลบไปทางอื่น และก็ต้องนอนราบลงไปกับที่นอนอี
คนคุ้นเคยบ่ายคล้อยของวันต่อมาสวนปกรณ์กิตติ์“มาหาใครค่ะ” หญิงสาวถามแขกผู้มาเยือนขึ้นทันที ขณะที่เธอกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ที่หน้าบ้าน แล้วเห็นรถไม่คุ้นตาขับเข้ามาจอดที่ลานกว้างปิ่นมุก หญิงสาวคนสนิทของศิรดา เป็นลูกสาวของ ‘แก้วตา’ ซึ่งเป็นแม่บ้านที่อาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ที่เธอลืมตาดูโลกแล้ว และเติบโตมาพร้อมกันกับศิรดาภายในสวนผลไม้แห่งนี้“กิตติ์อยู่ไหม พาฉันไปพบเขาหน่อย” เสียงของหญิงสาวผู้มาเยือนเอ่ยถามขึ้นมาทันทีรสรินทร์ หรือ โรส อดีตคนคุ้นเคยของปกรณ์กิตติ์ที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แต่ก็ต้องแยกย้ายกันไปเมื่อทั้งคู่เรียนจบ เพราะหญิงสาวตัดสินใจจบความสัมพันธ์ลง แล้วเลือกที่จะไปใช้ชีวิตในต่างแดนกับชายคนรักหญิงสาวสวมชุดเดรสรัดรูปสีแดงสดกับรองเท้าส้นสูงพร้อมกับแว่นกันแดดบดบังใบหน้าขาวผ่อง บนตัวล้วนแต่มีเครื่องประดับราาคาแพง ซึ่งดูด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าไม่ใช่คนพื้นที่นี้แน่“เอ่อ...คือว่า” ปิ่นมุกได้แต่อ้ำอึ้ง เพราะไม่รู้ว่าจะตอบคนตรงหน้าเช่นไร และอีกอย่างเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าหญิงสาวคนนี้เป็นใครกัน อยู่ที่นี่มาจนอายุ 23 ปีแล้ว เธอยังไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนมาถามหาเจ้านายหนุ่มของเธ







