เจฟฟ์ขับรถเข้ามาในหมู่บ้านที่เขาแสนจะคุ้นเคย เขาขับมาเรื่อยๆ แล้วมาชะลอความเร็วเมื่อเข้าใกล้หน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านแฝดอยู่ท้ายหมู่บ้าน เขาเห็นผู้หญิงสูงวัยแต่ยังดูดีคนหนึ่งกำลังเปิดประตูรั้วออกมาแล้วเอาโต๊ะตัวเล็กมาวางไว้ที่หน้าบ้าน เขาค่อยๆจอดรถชิดกับริมรั้วแล้วก้าวออกมาจากรถ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่คุณน้าผู้หญิงคนนั้นถือถาดที่มีถุงกับข้าว ถุงข้าวสวย ขวดน้ำและขนมมาวางไว้หน้าบ้านเพื่อเตรียมใส่บาตร
เจฟฟ์นึกในใจว่าน้าปิ่นยังสวยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด เขาเดินเข้าไปใกล้แล้วยกมือไหว้ทักทาย หญิงสูงวัยคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความแปลกใจ เธอจดจ้องสำรวจไปที่ใบหน้าและรูปร่างของชายหนุ่ม
“สวัสดีครับผมชื่อเจฟฟ์เป็นเพื่อนร่วมงานของคุณปวริศาครับ พอดีเมื่อวานคุณปวริศาไปทำงานให้ผมแล้วทิ้งรถไว้ที่บริษัท วันนี้ผมเลยขออนุญาตมารับครับ คุณน้าเป็นคุณแม่ของคุณปวริศาใช่ไหมครับ”
หญิงตรงหน้ารับไหว้และพยักหน้ารับพร้อมส่งรอยยิ้มที่อ่อนโยนให้
“ค่ะ น้าเป็นแม่ของยายแป้ง แล้วเจ..”
“เจฟฟ์ครับคุณน้า”
“คุณเจฟฟ์มาแต่เช้าเลย ยายแป้งพึ่งเตรียมของใส่บาตรให้น้าเสร็จ นี่ก็คงกำลังแต่งตัว”
“ขอโทษด้วยนะครับ ผมพึ่งกลับมาอยู่ไทยยังกะระยะเวลาการเดินทางไม่ถูก”
“งั้นคุณเจฟฟ์ .. น้าเรียกชื่อถูกใช่ไหม”
“ครับ”
“เดี๋ยวรอใส่บาตรกับน้าก่อนสิไปอยู่เมืองนอกคงไม่ค่อยมีโอกาสได้ใส่บาตรสินะ”
“ขอบคุณครับคุณน้า”
“ไปอยู่นานไหม กลับมานานหรือยัง พักอยู่ที่ไหนล่ะ”
“ผมไปอยู่มาเกือบสิบปี พึ่งกลับมาได้สองสัปดาห์ ผมพักอยู่คอนโดครับ”
“ไปอยู่เมืองนอกเสียนานเป็นสิบปีไม่คิดถึงเมืองไทยบ้างเหรอ”
เจฟฟ์เงียบแล้วเอ่ย ขึ้นเบาๆ “ก็คิดถึงครับ”
“ถ้าคิดถึงแล้วทำไมไม่กลับหามาบ้าง”
เจฟฟ์มีอาการประหม่าอึกอักเล็กน้อย
“มันมีเหตุนะครับทำให้กลับมาไม่ได้”
“งั้นก็แสดงว่ายังไม่คิดถึงมากพอเพราะถ้าคิดถึงมากพอไม่ว่าเหตุอะไรก็ต้องกลับมาได้เนอะ ความคิดถึงของคนเรามันไม่เท่ากันแหละ โอ๊ย.. น้าก็พูดเลอะเทอะไปหมดแล้ว เอาเป็นว่าอย่าถือสาคนแก่เลยนะ มามายืนข้างข้างน้า มาใส่บาตรด้วยกัน”
เจฟฟ์ขยับมายืนข้างๆ“ทั้งหมดนี้ยายแป้งเขาตื่นมาเตรียมเองเลยนะ วันนี้น้าพูดมากไปหน่อยคุณเจฟฟ์อย่าพึ่งรำคาญนะเพราะปกติน้าอยู่กันสองแม่ลูกก็คุยกันแค่สองคน วันนี้มีคนมาคุยกับน้าเพิ่มน้าเลยคุยสนุกเลย”
สักพักก็ได้ยินเสียงหวานมาจากในบ้าน“แม่คุยกับใครคะ”
ปวริศาใส่ชุดเตรียมพร้อมออกไปทำงานเดินออกมาพอเห็นว่าใครยืนคุยกับแม่ของตนก็ตกใจ
“บอสมาได้ไงคะเนี่ย”
“ก็ผมบอกคุณแล้วว่าเดี๋ยวผมมารับ รถคุณจอดไว้ที่ออฟฟิศแล้วคุณจะไปอย่างไร”
“ดิฉันก็ไม่ได้ลำบากขนาดนั้นค่ะ”
ระหว่างที่สองคนกับถกเถียงกัน คนเป็นแม่ก็มองซ้ายทีขวาที จนเจฟฟ์เป็นผู้อธิบาย
“เมื่อวานคุณแป้งไปออกงานกับผม เธอจอดรถไว้ที่ออฟฟิศ วันนี้ผมก็เลยอาสามารับครับ”
“เข้าใจแล้ว น้าก็ว่าอยู่ทำไมตอนเช้าออกมาไม่เห็นรถ นึกว่ายายแป้งขับรถไปเสียทิ้งไว้ที่ไหนซะอีก มายืนกันตรงนี้ พระเดินมาโน่นแล้ว”
แล้วทั้งสามก็ช่วยกันหยิบของใส่ลงในบาตรพระสงฆ์ ใส่บาตรเสร็จก็ช่วยกันเก็บของเข้าบ้าน
“ถ้าคุณเจฟฟ์ไม่รังเกียจวันไหนว่างๆ แวะมาคุยมากินข้าวกับน้าได้นะคะ”
“ผมมาได้จริงๆหรือครับคุณน้า”
“แม่.. พูดอะไรออกไปเนี่ย”
ปวริศาเดินไปสะกิดแขนแม่ของตน“อ้าว ก็ชวนคุณเขามากินข้าวบ้านเราไง กินด้วยกันหลายคนอร่อยดี นี่คุณเขาพึ่งกลับมาไทย ยังไม่มีเพื่อน แล้วที่สำคัญเขาก็เป็นเจ้านายของหนูไม่ใช่หรือจ๊ะแป้ง เราก็ทำตัวเป็นเจ้าบ้านเป็นลูกน้องที่น่ารักหน่อยสิ”
“เขากินอาหารบ้านๆ แบบเราไม่ได้หรอก”
“ผมกินได้ครับ”
“เอ๊ะคุณนี่”
ปวริศาหันไปทำตาเขียวใส่
“เอาเป็นว่าถ้าอยากกินอะไรก็บอกยายแป้งมาละกัน เดี๋ยวน้าเตรียมไว้ให้”
“ขอบคุณครับคุณน้า”
“เฮ้อ...”
ปวริศาถอนหายใจลากยาว เจฟฟ์หันมายิ้มแล้วยกมือไหว้แม่ของปวริศา“ไปรีบไปกันเถอะ ยิ่งสายรถจะยิ่งติด ขับรถดีดีนะคะคุณเจฟฟ์”
“ครับคุณน้า ไปกันคุณ”
เจฟฟ์ถือโอกาสใช้มือแตะที่แขนของปวริศาแล้วพาไปที่รถพร้อมเปิดประตูรถให้
“ความจริงบอสไม่น่าลำบากเลยนะคะ ดิฉันไปทำงานเองได้”
“ผมก็ว่า ผมไม่ได้ลำบากนะ ดีเสียอีกวันนี้ผมได้ทำบุญใส่บาตรด้วย ให้ผมมารับคุณทุกวันเลยดีไหม ผมจะได้ใส่บาตรทุกวัน”
“ไม่ได้นะคะ”
ปวริศาสวนขึ้นทันที
“อ้าวทำไมละ นี่คุณกล้าขัดคำสั่งผมหรือ ผมเป็นบอสคุณนะ”
ปวริศานั่งนิ่งหน้างอ ส่วนคนที่อยู่หลังพวงมาลัยก็อมยิ้มแล้วขับรถไปเรื่อยๆ ไม่นานรถก็เลี้ยวเข้าไปในตัวอาคาร ทันทีที่รถจอดปวริศาก็รีบเปิดประตูลงจากรถแล้วมุ่งหน้าไปที่ลิฟต์ รีบกดเรียกลิฟต์
“นี่คุณจะรีบเดินไปไหน ใจคอจะไม่รอกันบ้างเลยหรือไงครับ”
“เอ่อ.. เดี๋ยวบอสรอก่อนนะคะ ให้ดิฉันขึ้นไปก่อน แล้วบอสค่อยกดเรียกลิฟต์นะคะ”
พอประตูลิฟต์เปิด ปวริศาก็รีบเดินเข้าไปและยังไม่ทันที่จะกดปุ่มปิดอีกคนก็เดินตามเข้าไป ปวริศาเงยหน้ามองขมวดคิ้ว
“บอสออกไปก่อนสิคะ”
คนที่ถูกบอกให้ออกไปก่อน ไม่สนใจแถมยังกดปุ่มปิดลิฟต์แทน ปวริศาใจเต้นแรงได้แต่ภาวนาในใจว่าขออย่าให้ใครมาเห็นเธอกับบอสคนใหม่ขึ้นลิฟต์มาด้วยกันเลย เธอขี้เกียจมานั่งหาเหตุผลมาตอบคำถาม
เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกทั้งสองคนก็เดินตามกันมาไม่พูดไม่จา โชคดีที่ยังเช้าอยู่ในออฟฟิศจึงยังไม่ค่อยมีคนมาทำงาน ระหว่างทางมีหยุดทักทายพี่ต่างแผนกบ้าง ปวริศาพยายามจะเดินให้เร็วเพื่อให้ทิ้งห่างกับเจฟฟ์มากที่สุด แต่คนตัวใหญ่ขายาวก็เดินก้าวตามเธอมาทันทุกที
พอมาถึงที่โต๊ะทำงาน ปวริศาก็จัดการเก็บกระเป๋าเข้าลิ้นชัก ส่วนบอสหนุ่มของเธอก็ยังไม่ยอมไปไหน ยังยืนนิ่งมองเธออยู่
“จะลำบากคุณมากไหม ถ้าผมอยากได้กาแฟสักแก้วเมื่อเช้ารีบออกมาเลยยังไม่ได้หากาแฟกินเลย”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันเอาไปให้นะคะ”
ปวริศาเก็บของเสร็จก็เดินไปที่เคาน์เตอร์กาแฟส่วนกลางเป็นหนึ่งในสวัสดิการของบริษัท เป็นอะไรที่ปวริศาชอบมาก เพราะมันทำให้เธอประหยัดค่ากาแฟไปได้หลายบาทเลยทีเดียว
ในระหว่างที่กาแฟคั่วบดที่ถูกบดละเอียดกำลังถูกน้ำร้อนใส่ผ่านส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ปวริศานึกอะไรขึ้นบางอย่างได้ เธอเดินกลับไปที่โต๊ะของเธอแล้วหยิบแซนด์วิชที่เธอเตรียมมาเป็นอาหารเช้าสำหรับวันนี้ ออกมาจากถุงผ้า ปวริศาแบ่งแซนด์วิชของตัวเองใส่จานวางไว้หนึ่งชิ้นพร้อมกับแก้วกาแฟ แล้วเดินตรงไปที่ห้องทำงานของท่านรองประธานบอสหนุ่มสุดหล่อ
ปวริศาเคาะประตูเชิงขออนุญาตแล้วเปิดประตูเข้าไปเห็นเจฟฟ์นั่งมองโน้ตบุ๊กที่เปิดวางอยู่บนโต๊ะทำงาน เขาก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วยิ้มให้เธอ ทำเอาใจของปวริศากระตุกไปนิดนึง รอยยิ้มที่คล้ายกับเด็กหนุ่มขี้เล่นคนหนึ่งที่เธอเคยคุ้นเคย ซึ่งตอนนี้ไม่มีเขาคนนั้นอีกแล้ว
ถ้วยกาแฟพร้อมแซนด์วิชถูกวางตรงหน้า
“คือเห็นบอสบอกว่ายังไม่ได้ทานอะไรมา ลองชิมแซนด์วิชรองท้องไปก่อนนะคะ”
เจฟฟ์จิบกาแฟพร้อมหยิบแซนด์วิชขึ้นมากินเคี้ยวตุ้ยตุ้ย พยักหน้าอย่างพอใจมองหน้าคนตรงหน้า
“ปกติคุณทำอาหารมากินเองทุกวันไหม ถ้าให้ทำเผื่อผมด้วยคุณจะโอเคหรือเปล่า ผมไม่ได้ให้คุณทำฟรีนะ คิดราคามาเลย”
“คือก็แล้วแต่วันค่ะ มื้อเช้าก็จะง่ายๆ บางวันทำเอง บางวันก็ซื้อค่ะ”
“ก็เผื่อผมชุดหนึ่งละกัน คุณกินอะไร ผมก็กินเหมือนคุณ ถ้าวันไหนผมไม่เข้าออฟฟิศเดี๋ยวผมบอก”
“คือว่า บอสคะ บอสสั่งตามร้านไม่ดีกว่าหรือคะ”
ปวริศามีสีหน้าเป็นกังวล เธอไม่ติดที่จะเตรียมอาหารเพิ่ม แต่เธอติดที่ว่าจะต้องคอยตอบคำถามของชาวออฟฟิศว่าอย่างไรดี
“ไม่เป็นไร ถ้าคุณไม่โอเค ไม่ต้องก็ได้”
“ดิฉันทำให้ก็ได้ค่ะ”
เจฟฟ์ยิ้มแล้วยื่นโทรศัพท์ของตนส่งให้หญิงสาว
“กดเบอร์โทรคุณให้ผมหน่อย”
ปวริศากดเบอร์ของเธอแล้วยื่นคืนให้เขา เจฟฟ์รับแล้วกดโทรออก
“แล้วเมมเบอร์ผมไว้ได้ด้วยนะ”
“ค่ะ ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”
ปวริศาเดินออกจากห้องรองประธานมา ก็เผลออมยิ้มกับตัวเอง
“ฮัลโหล.. แป้ง”
เสียงของปรียาพรทำเอาปวริศาสะดุ้ง
“แหมขวัญอ่อนนะยะ”
“ตกใจหมดเลยใบหม่อนอ่ะ”“ตกใจอะไรฉันก็เรียกเธอด้วยเสียงปกติปะ ไม่เสียงดังสักหน่อย เธอนั่นแหละมัวแต่ใจลอยคิดอะไรอยู่”
ปวีณาก็มาสมทบ
“นี่ยายแป้ง เมื่อกี้ฉันเห็นเธอเดินมาจากทางห้องบอสคนใหม่ เธอไปทำอะไรหรือ”
“คือบอสเขาขอกาแฟอ่ะ”
“แง.. นี่เธอแอบตีท้ายครัวฉันเหรอ ไหนบอกไม่ลงสนามแข่งไง”
“ตีท้ายครัวอะไรละ วีณา เขาแค่อยากกินกาแฟ แล้วมีฉันอยู่ตรงนี้คนเดียว อย่าคิดมาก”
“ก็ดี บอสคนนี้วีณาขอจองนะคะทุกคน”
ตอนพิเศษ 2 บทเรียนรัก เจย์เดนเอามือไล้ไปตามเรียวขาขาว แล้วพรมจูบตั้งแต่ปลายเท้า ปลีน่อง ต้นขา แล้วเน้นสัมผัสไปที่โคนขาด้านใน ส่วนเนินสามเหลี่ยมที่อวบอูมมีไรขนบางๆ ถูกตัดแต่งไว้ดูสะอาดตา เขาใช้มือทั้งสองข้างประคองเนินนุ่มแล้วค่อยๆ รั้งให้แยกทำให้กลีบกุหลาบด้านในค่อยผลิบานออกมายั่วยวนสายตา เจย์เดนบรรจงจูบที่กลีบกุหลาบสวยอย่างแผ่วเบาละเลียดชิมความหวานทุกซอกทุกมุม มีหลายครั้งที่เรียวลิ้นอุ่นชื้นเร่งดูดดึง แหย่ล้วงลึก ส่งผลให้คุณแม่มือใหม่เสียวสะท้านไปทั้งครางเสียงหวานไม่ได้หยุดพัก มือน้อยทั้งหยุมไปที่หัวคนพ่อ เอวบางก็เด้งรับความเสียวซ่านโดยไม่รู้ตัว “อ๊ะ.. ผัวขา เมียเสียวจังเลยค่ะ อ่าห์” ไม่บ่อยนักที่ปวริศาจะหลุดคำแบบนี้ออกมา ยิ่งฟัง ก็ยิ่งกระตุ้นให้คนทำได้ใจเร่งรัวปลายลิ้นเบิร์นไม่ได้หยุด สักพักร่างขาวก็กระตุกเล็กน้อยพร้อมปลดปล่อยน้ำรักออกมา คนตัวโตก็เลียเช็ดกลืนกินจนหมดโดยไม่รังเกียจ ปรวิศามองภาพที่ชายคนรักก้มเลียน้ำรักของตนอยู่ตรงหว่างขาก็เกิดความเขินอาย เลือดสาวในกายสูบฉีดพุ่งขึ้นมาเต็มใบหน้า ทำให้ทั้งใบหน้าลำคอเปลี่ยนเป็นสีแดงระเร
ตอนพิเศษ 1 ลูกชายพ่อมันดื้อ มันฟังแม่คนเดียวที่คอนโด เจย์เดนเปิดประตูเข้ามาเขาก็กวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปที่โซนที่ถูกจัดเป็นห้องครัวที่ตอนนี้ดูมีชีวิตชีวาไม่ปล่อยว่างเหมือนแต่ก่อน เขายืนมองดูหญิงสาวคนรักที่ตอนนี้กำลังตั้งใจทำอาหารตรงหน้าเลยไม่ทันได้สังเกตว่ามีคนมาลอบมอง ปวริศามาอยู่คอนโดกับเขาตามที่เขาร้องขอและก็จะมีบางวันที่ปวริศากลับไปอยู่กับแม่ที่บ้าน วันนี้ปวริศาอยู่ในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงผ้าใส่สบาย เนื่องจากอายุครรภ์ยังน้อยถ้าไม่บอกก็จะไม่รู้เลยว่าเธอกำลังท้องอยู่ ผมยาวสวยวันนี้ถูกรวบไว้หลวมๆ เผยให้เห็นต้นคอขาว นี่สินะคือภาพความสุขที่เจย์เดนวาดฝันมาตลอดคือการกลับจากทำงานแล้วมีคนรักรออยู่ที่บ้าน ยิ่งมองก็ยิ่งหลงรัก เขาไม่รู้เลยว่าเขาตกหลุมรักคนรักของตัวเองไปรอบที่เท่าไหร่แล้ว ภาพของปวริศาที่หยิบจับโน่นนี่นั่น ผัดอาหารในกะทะดูคล่องแคล่วชวนมองไปหมด เขายืนกอดอกหลังพิงกำลังแพงแล้วยิ้มอย่างมีความสุข ปวริศาวันนี้เธอวางแผนทำอาหารง่ายๆ มีต้มข่าไก่ของโปรดของเด็กดื้อตัวโต ผัดผักรวมมิตรกุ้ง และยำไข่ต้ม อาหารธรรมดารสไ
“เอ... ทุกคนมีเรื่องสงสัยอะไรอีกไหม ถ้าไม่มีผมมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องจะแจ้งคนะรับ พร้อมรับฟังเรื่องสำคัญของผมแล้วหรือยัง”ทุกคนหันหน้าไปมองหน้าเจฟฟ์ด้วยความสงสัย และปนกับความหวาดระแวงเล็กน้อย เจฟฟ์เดินมายืนหลังเก้าอี้ที่ปวริศานั่ง แล้วเอื้อมไปจับมือปวริศาพร้อมประคองให้ลุกยืนขึ้นข้างๆ เขา“บอสจะทำอะไรคะ”ปวริศาร้องทัก เจฟฟ์ยิ้มหวานแล้วโอบกระชับที่ไหล่ของปวริศาดึงเข้ามาให้แนบชิดกับไหล่ของเขา ทุกคนในห้องประชุมต่างมองมาที่คนทั้งคู่ด้วยสายตาที่สงสัยและแปลกประหลาดใจ“ผมก็จะประกาศข่าวดีของเราให้ทุกคนได้ทราบอย่างไรล่ะครับพี่แป้ง”ปวีณาทำตาโตอ้าปากค้าง ส่วนศศิวิมลเห็นแล้วยิ้มกว้างออกมาเพราะเป็นไปอย่างที่เธอคาดการณ์ไว้ ส่วนปรียาพรก็งงกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ก็ยิ้มตามไปทั้งที่คราบน้ำตาบนใบหน้าเธอยังไม่แห้งดี“อีกไม่นานเราสองคนจะมีข่าวดีนะครับ ผมเลยอยากมาบอกทุกคนไว้ก่อน จะได้เตรียมตัวกันอย่างเนิ่นๆ เผื่อใครอยากจะปั้นหุ่นไว้ใส่ชุดสวยๆ เรื่องธีมของงานต้องรอเจ้าสาวของผมบอกอีกทีนะครับ” “ฮะ.. อะไรนะคะ เจ้าสาวเหรอ บอสกับยายแป้ง ..... อุ๊ยตายว้ายกรี๊ดดดดดดดดดด” ปวีณากรี๊ดดีใจดังลั่น
“ลูกจ๋า.. บอกพ่อสิครับว่าอยากเที่ยงหนูอยากกินอะไรครับ”เจฟฟ์เอื้อมมือไปวางแปะบนพุงน้อยๆ ของปวริศา“อย่ามาเวอร์นักเลยน่ะ เอามือออกไปไม่ต้องมาจับ”ปวริศาพยายามจะดึงมือเจฟฟ์ออกจากหน้าท้องของตนแต่กลับถูกเจฟฟ์กอบกุมไว้แน่นกว่าเดิม“ลูกจ๋าดูแม่ของหนูสิ หงุดหงิดใส่พ่ออีกแล้ว”เจฟฟ์เอามือของปวริศามาแนบที่แก้มของตนเอง และเอียงคอมองปวริศาด้วยสีหน้าและแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก“พี่แป้งรู้ไหมครับว่าคุณย่าผมท่านตื่นเต้นมากเลยนะที่รู้ว่าผมจะมีหลานสะใภ้ให้ท่าน วันก่อนคุณย่าบอกว่าจะบินมาไทยเพราะอยากมาเจอหน้าหลานสะใภ้ เนี่ยเดี๋ยวผมต้องกลับไปอัปเดตมูลใหม่ว่า กลับมาครั้งนี้จะเจอทั้งหลานสะใภ้พร้อมกับเจ้าตัวเล็ก รับรองว่าท่านต้องดีใจมากแน่เลย” เจฟฟ์จบก็หันไปทางปิ่นมณี“คุณแม่ครับคุณแม่หาฤกษ์แต่งงานให้เราหน่อยสิครับ”“จะมาหาฤกษ์แต่งงานอะไร ใครเขาจะแต่งด้วย”“เลิกงอนได้แล้วนะครับคุณแม่คนสวย ตอนนี้เรามีเจ้าก้อนน้อยที่ผมตั้งใจปั้นขึ้นมาอยู่ในนี้แล้วนะ”เจฟฟ์เอามือจิ้มจิ้มไปที่หน้าท้องของปวริศา“งอนนานไป เดี๋ยวเจ้าก้อนน้อยตัวโตขึ้น คุณแม่จะใส่ชุดเจ้าสาวไม่สวยนะครับ เอ.. หรือว่าจะรอให้เจ้าก้อน
เช้าวันอาทิตย์ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่เจฟฟ์ก็ยังคงมาที่บ้านปวริศาแต่เช้า มาใส่บาตรด้วย ทั้งที่เมื่อวานกว่าเขาจะกลับบ้านก็เล่นเอาเสียมืด พอใส่บาตรเสร็จหลวงพ่อให้พร ทุกคนก็กรวดน้ำแล้วรับพร“อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าจงมีความสุข สาธุ”“ไปก่อนนะโยม พรุ่งนี้อาตมามีกิจนิมนต์ไปทำบุญขึ้นบ้านใหม่ จะไม่ได้มารับบาตรนะ” “เจ้าค่ะหลวงพ่อ”แล้วหลวงพ่อก็เดินออกไป ทั้งสามค่อยลุกขึ้น แล้วปวริศาก็เซไปนิดเจฟฟ์ที่อยู่ข้างๆ รีบเข้าไปประคอง“พี่แป้งเป็นอะไรไปครับ”“ไม่ได้เป็นอะไร ปล่อยได้แล้ว”ปวริศาพยายามจะเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดนั้น แต่เจฟฟ์ก็ยังแข็งขืนดื้อดึงประคองไว้อยู่“เห็นไหมละครับ พี่ยังเซอยู่เลย ให้ผมประคองแหละดีแล้ว”เจฟฟ์ประคองปวริศามานั่งที่โต๊ะ“เดี๋ยวพี่นั่งเฉยๆ เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้”เจฟฟ์เดินไปกดน้ำเย็นจากเครื่องกรองน้ำในห้องครัว ส่วนปิ่นมณีมองลูกสาวด้วยความเป็นห่วง“พักผ่อนน้อยหรือเปล่าลูก”“เมื่อคืนแป้งก็ไม่ได้นอนดึกนะคะแม่ แค่สี่ทุ่มครึ่งเอง” “นี่น้ำเย็นครับ เดี๋ยวผมไปเตรียมจัด
ภายในห้องเช่าขนาดไม่ได้ใหญ่มาก ปรียาพรกำลังนั่งร้องไห้ฟูมฟาย และพร่ำกล่าวคำว่าขอโทษเจฟฟ์ ขอโทษปวริศา สาเหตุทั้งหมดเกิดความโง่ของตนเอง ปวริศาเข้าไปโอบกอดใช้ฝ่ามือลูบหลังปลอบโยนเพื่อน“ฉันขอโทษเธอนะแป้ง เป็นเพราะฉันโง่เอง ฉันคิดว่าถ้าทำสำเร็จแล้วเขาจะรักฉัน ฉันมันโง่เอง แป้ง ฉันขอโทษ ฮือ ฮือ”“โอเค ฉันเข้าใจเธอนะ แต่เธอก็ใจร้ายไปหน่อยนะ เธอก็น่าจะรู้ว่าถ้าทำแบบนี้คนที่จะมารับเคราะห์ก็จะเป็นฉัน เธอไม่คิดห่วงฉันบ้างเลยหรือไง”“ตอนนั้นฉันยอมรับนะ ว่าฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลย ฉันคิดว่าถ้าทำสำเร็จเขาจะรักฉันจะขอฉันเป็นแฟน แต่ความจริงแล้วมันกลับเฉดหัวฉันทิ้ง ฮือ ฮือ”ปวริศาหันไปสบตากับเจฟฟ์ ปรียาพรก็เงยหน้ามองเจฟฟ์เช่นกัน“บอสคะ หม่อนขอโทษ หม่อนผิดไปแล้ว บอสอย่าไล่หม่อนออกเลยนะคะ”ปรียาพรพนมมือไหว้ขอให้เจฟฟ์ยกโทษให้ทั้งน้ำตา“ครั้งก่อนตอนที่คุณปวริศาตกเป็นผู้ต้องสงสัย เขาไม่เคยมาขอให้ผมไม่ไล่ออก แต่เป็นตัวเขาเองต่างหากที่แสดงความรับผิดชอบโดยการลาออกเอง ซึ่งผมก็ยังไม่อนุมัติเอกสารนั้น เพราะผมรู้อยู่แล้วว่าปวริศาไม่มีทางทำหักหลังผมแน่นอน คุณมาขอแบบนี้มันจะไม่ดูเห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือ ความจริงเ