เข้าสู่ระบบเมื่อทำหน้าที่ของตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้วฟางหนิงฮวาก็กลับมาที่ร้านอย่างสบายใจ หลังจากนั้นจึงทำหน้าที่ปั้นแป้งซาลาเปาต่อ ร้านนี้ไม่ได้ขายดีเพียงแค่ช่วงเช้าหรือว่าช่วงที่ผู้คนพักกินข้าวกันเท่านั้นแต่ทว่าขายดีทั้งวัน เพราะเมืองถู่หยางนั้นมีผู้คนมากมาย แต่ละคนทำงานไม่เหมือนกันเวลาพักกินข้าวบางครั้งก็ไม่ตรงกัน ดังนั้นซาลาของร้านสกุลฟางจึงขายได้ทั้งวัน
ที่ร้านไม่ได้มีเพียงแค่ซาลาเปาอย่างเดียวยังมีหมั่นโถวขายด้วย
ฟางหนิงฮวาไม่คิดว่าสวรรค์จะเข้าข้างตนเองถึงเพียงนี้ ชาติที่แล้วได้ทำงานที่ตัวเองรักนั่นก็คือการเป็นเชฟ พอตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ยังได้เกิดเป็นบุตรสาวร้านขายซาลาเปาอีก ช่างมีความสุขจริง ๆ นางคิดเล่น ๆ ว่าในภายภาคหน้าหากคุ้นเคยกับเมืองนี้และรู้เรื่องลู่ทางการทำมาหากินแล้วก็อยากจะขยายร้านซาลาเปาให้เป็นร้านอาหารที่โด่งดังที่สุดในเมืองถู่หยาง
พูดถึงร้านอาหารแล้วที่เมืองถู่หยางนั้นมีผู้คนอาศัยอยู่มากมายก็จริงแต่ร้านอาหารขึ้นชื่อมีอยู่ไม่กี่แห่ง ที่พอจะนึกออกก็จะมีที่โรงเตี้ยมเฉียนฮวากับเหลาสุราซ่งเฮ่อเท่านั้น ที่อื่นล้วนขายอาหารแบบปกติทั่วไปจำพวกบะหมี่ เกี๊ยว จะว่าไปแล้วหากบุกเบิกตลาดได้ก่อนย่อมจะได้เปรียบ
"หนิงฮวา ปั้นแป้งซาลาเปาชุดนี้เสร็จเอาซาลาเปาไปให้บ้านของว่าที่คู่หมั้นเจ้าหน่อยนะ" เสียงพูดดังมาจาหน้าร้านเป็นคำสั่งของบิดานั่นเอง
ได้ยินแล้วก็ถึงกับชะงักกึก 'ว่าที่คู่หมั้น? ว่าที่คู่หมั้นอันใดกัน?' ฟางหนิงฮวาเงยหน้ามองบิดาอย่างงุนงง พลางความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมก็วิ่งเข้ามาในหัว
สกุลฟางมีสหายสนิทที่มาจากหมู่บ้านเดียวซึ่งก็คือสกุลเหลียน สกุลเหลียนทำการค้าในเมืองถู่หยางนี่มาตั้งแต่ก่อนที่พวกฟางหนิงฮวาจะเข้ามาเปิดร้านเสียอีก พวกเขาขายหมูอยู่ที่หัวมุมถนนถัดไปอีกไม่กี่ร้าน ร้านขายหมูของสกุลเหลียนใหญ่ที่สุดในตลาดแห่งนี้ ตอนที่ฟางตวนจะเข้ามาหาลู่ทางค้าขายนั้นก็ได้เจ้าของร้านขายหมูนี่แหละช่วยหาทำเลให้
พวกเขามีบุตรชายผู้หนึ่งนามว่าเหลียนต้าเป่า ต้าเป่าเป็นหนุ่มน้อยนิสัยดีทั้งยังจิตใจโอบอ้อมอารีมีเมตตา เด็ก ๆ ในตลาดต่างก็รักใคร่เขากันทั้งนั้น เขามีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนผู้ใดก็คือมีรูปร่างที่อ้วนตุ๊ต๊ะ แก้มกลมย้วย ผิวขาวผ่องจนบางครั้งออกแดดนิดหน่อยก็แดงแล้ว ดูไปน่ารักไม่น้อยและนี่จึงเป็นเหตุให้ที่ทำเขาเป็นที่รักของทุกคน
แต่สำหรับฟางหนิงฮวาแล้วต้าเป่าเป็นสหายสนิทที่เล่นมาตั้งแต่เด็ก จะให้คิดเกินเลยถึงขั้นเป็นคู่หมั้นได้อย่างไร แต่ทว่าที่ห้ามไม่ได้ก็คือเมื่อปีใหม่ที่ผ่านมาบิดาของทั้งสองคนได้ถือวิสาสะคุยเรื่องนี้กันไปแล้วโดยที่ไม่ได้ถามความเห็นของบุตรทั้งสอง ฟางหนิงฮวารู้ใจตัวเองว่าไม่อยากหมั้นกับต้าเป่า แต่แล้วต้าเป่าล่ะ นางเองก็อยากรู้ว่าเขาคิดอย่างไร
"เหตุใดจึงทำหน้าเช่นนั้น ราวกับไม่อยากไปเยี่ยมต้าเป่าอย่างนั้นแหละ เจ้าเองก็ไม่ได้ไปมาหลายวันแล้วไม่ใช่หรือ ไปพบกันสักหน่อยความสัมพันธ์จะได้แน่นแฟ้นขึ้น" ฟางตวนกล่าว
ฟางหนิงฮวาได้แต่ถอนหายใจออกมาก่อนจะอธิบายให้บิดาฟัง "ท่านพ่อ ท่านก็รู้ว่าข้ากับต้าเป่าเป็นสหายกัน พวกเราใช้ชีวิตฉันท์สามีภรรยาไม่ได้หรอก ท่านล้มเลิกความตั้งใจนี้เสียเถอะ ข้าจะให้ต้าเป่าพูดเรื่องนี้กับท่านลุงเหลียนด้วย"
"หากว่าเจ้าไม่แต่งกับต้าเป่าแล้วผู้ใดจะมาแต่งกับเจ้าเล่า คนทั้งเมืองต่างก็รู้ว่าบุตรสาวสกุลฟางร่างกายไม่แข็งแรง ไม่มีผู้ใดอยากได้คนป่วยเข้าไปอยู่ในตระกูลหรอกรู้หรือไม่" ฟางตวนทั้งกล่าวทั้งทอดถอนใจ เป็นอย่างที่เขาว่าหากว่าผู้ใดจะแต่งเข้าไปเป็นภรรยาก็จำเป็นต้องมีร่างกายที่แข็งแรงพร้อมจะมีบุตรสืบสกุล แต่ว่าฟางหนิงฮวาป่วยกระเสาะกระแสะมาตั้งแต่เด็กเลยไม่มีบุตรชายตระกูลไหนมาให้ความสนใจเลย ถึงแม้ว่านางจะมีหน้าตาที่งดงามไม่น้อยก็ตาม
"เช่นนั้นจะไม่เป็นการบังคับจิตใจของต้าเป่ามากเกินไปหรือเจ้าคะ พวกท่านบังคับให้เขาแต่งหญิงสาวที่ป่วยเข้าบ้านหากว่าข้าไม่มีลูุกหลานสืบสกุลให้เขาขึ้นมา แล้วพวกเราจะทำอย่างไร" ฟางหนิงฮวากล่าว
คำกล่าวของนางทำเอาผู้เป็นบิดาถึงกับต้องฉุกคิด เหตุผลนี้ถูกต้อง เป็นเพราะเขาเห็นแก่ตัว เห็นแก่บุตรสาวของตนเองมากเกินไปจนไม่ได้นึกถึงต้าเป่าเลยว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร และหากว่าแต่งกันไปฟางหนิงฮวามีบุตรไม่ได้แล้วต้าเป่าจำเป็นต้องแต่งอนุเข้ามาเล่าความเป็นอยู่ของบุตรสาวของตนจะต้องน่าสงสารถึงเพียงไหน
"แต่ถ้าเจ้าไม่แต่งงานจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไรเล่า" นิ่งหรงผู้เป็นมารดาถามด้วยความเป็นห่วง
"จะไปยากอันใดเล่าท่านแม่ พวกท่านก็เพียงแค่ส่งต่อร้านซาลาเปาให้กับข้า ในภายภาคหน้าข้าจะทำให้มันรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปอีก พอข้าร่ำรวยแล้วก็ไม่ต้องแต่งงาน อีกอย่างข้าจะเลี้ยงดูท่านพ่อท่านแม่เป็นอย่างดีเลย" ฟางหนิงฮวากล่าว ท่าทางของนางมุ่งมั่นราวกับว่าไม่ใช่ฟางหนิงฮวาคนเดิม บิดากับมารดาต่างก็มองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
"ไปเถอะ ๆ ประเดี๋ยวไม่ทันพวกเขากินข้าวเที่ยง" นิ่งหรงบอกกับบุตรสาว
"เจ้าค่ะ" ฟางหนิงฮวารับคำ
มาถึงร้านขายหมูฟางหนิงฮวาก็มองสำรวจดูร้านโดยบรอบทว่าไม่เห็นต้าเป่าก็แปลกใจเล็กน้อย ปกติแล้วต้าเป่าไม่ค่อยออกไปเที่ยวเล่นที่ไหน เขาจะนั่งอยู่ที่โต๊ะและทำบัญชีของร้านอย่างตั้งอกตั้งใจ
"ท่านลุงเหลียน ข้าเอาซาลาเปามาส่งเจ้าค่ะ" ฟางหนิงฮวาร้องบอกชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งกำลังถือมีดหั่นหมูอยู่ในมือ ผ้ากันเปื้อนของเขามีรอยคราบอันเนื่องมากจากมันหมูอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ดูสกปรกจนหน้าเกลียด
"หนิงฮวา…มาแล้วหรือ เอาวางไว้ที่โต๊ะเถอะ" เหลียนถงกล่าว ในมือยังคงหั่นหมูยิก ๆ
ฟางหนิงฮวามองไปรอบร้านอีกครั้ง ในเมื่อแน่ใจแล้วว่าต้าเป่าไม่น่าจะอยู่จึงเอ่ยถาม "ท่านลุงเหลียน ต้าเป่าเล่าเจ้าคะ"
"อ้อ…ข้าให้เขาออกไปส่งหมูน่ะ สักครู่ก็คงกลับมาแล้ว เจ้ารอที่นี้ก่อนนะ" เหลียนถงกล่าว
หลังจากนั้นไม่นานต้าเป่าก็กลับเข้าร้านมา เห็นว่าฟางหนิงฮวานั่งรออยู่ก็รู้ได้ว่านางต้องมีเรื่องสำคัญคุยด้วยเป็นแน่ แต่กลับรู้สึกว่าฟางหนิงฮวาในวันนี้ดูไม่เหมือนกับที่ผ่านมา นางดูแข็งแรง สดใส แล้วก็มั่นใจมากกว่าปกติ
"เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้ามีธุระสำคัญต้องคุยกับเจ้า พวกเราไปหาที่สงบ ๆ คุยกันดีกว่า" ฟางหนิงฮวากล่าว
ต้าเป่าพยักหน้างหงึก ๆ อย่างงงงัน แต่ก็พาสหายมานั่งคุยกันที่หลังร้านตรงข้างบ่อน้ำ "เจ้ามีเรื่องอันใดหรือ"
"ก็เรื่องที่บิดาของพวกเราคุยกันไว้เมื่อตอนปีใหม่อย่างไรเล่า ข้ากล่าวกับท่านพ่อไปแล้วว่าพวกเราเป็นสหายกัน ไม่เหมาะที่จะแต่งกันหรอก ให้ท่านพ่อเอาเรื่องนี้ไปคิดดูอีกที แล้วเจ้าล่ะคิดว่าอย่างไร" ฟางหนิงฮวาบอกต้าเป่าไปตามความจริง นางไม่คิดว่าต้าเป่าจะเสียใจเพราะรู้สึกได้ว่าต้าเป่าเองก็ไม่ได้ชมชอบนางในฐานะนั้นเช่นกัน
"ข้าก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า แต่ไม่คิดว่าบิดาของข้าจะใจอ่อนลงง่าย ๆ เหมือนท่านอาฟางน่ะสิ" ต้าเป่าบอก
ทั้งสองต่างก็รู้นิสัยของเหลียนถงเป็นอย่างดีว่าเขาเป็นคนที่มีความเด็ดขาดถึงเพียงไหน หากว่าอยากจะเปลี่ยนความคิดของเขานั้นจำเป็นจะต้องมีเหตุผลที่ฟังขึ้นเท่านั้น ดังนั้นทั้งสองจึงได้ช่วยกันคิดอย่างเคร่งเครียด
"เจ้าพอจะนึกเหตุผลบางอย่างออกหรือไม่ อย่างเช่นปฏิเสธข้าเพราะว่าข้าป่วย ในภายภาคหน้าอาจจะไม่สามารถมีบุตรสืบสกุลให้เจ้าได้" ฟางหนิงฮวาเสนอ
ต้าเป่าครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนกล่าว "เหตุผลนั้นคงไม่เพียงพอ เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นถึงบุตรีของสหายรักของพ่อข้า ดังนั้นการรับเจ้าไว้ย่อมเป็นเรื่องดีเป็นการช่วยเหลือเจ้าด้วย แต่หากว่าในภายภาคหน้าเจ้าไม่มีบุตรจริง ๆ ท่านพ่ออาจจะเสนอให้ข้ารับอนุก็ได้"
"ก็จริงของเจ้า แล้วพวกเราจะมีเหตุผลอื่นใดมาอ้างได้อีกเล่า" ฟางหนิงฮวาทอดถอนใจอย่างหมดหวัง
"ขะ…ข้ามีหญิงในดวงใจผู้หนึ่ง" ต้าเป่ากล่าว
"นางเป็นผู้ใดกัน" ฟางหนิงฮวาถามด้วยความตื่นเต้น
"เจ้าก็เคยเห็นนาง เป็นแม่นางหยางบุตรสาวของร้านผลไม้แห้งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามร้านของข้า และตอนนี้ข้าก็กำลังลดความอ้วนเพื่อที่จะหาทางเข้าหานางอยู่" ต้าเป่าตอบอย่างขวนเขิน
"แม่นางหยางเสี่ยวเจียงน่ะหรือ งั้นดีเลยเจ้าต้องขอนางเป็นคนรักให้ได้แล้วนำเหตุผลนี้มาคุยกับท่านลุงเหลียน ข้าจะช่วยเจ้าอีกแรง" ฟางหนิงฮวากล่าว นางฮึกเหิมเสียยิ่งกว่าต้าเป่าเสียอีก
"อืม…ตกลง ข้าเองก็จะทำอย่างเต็มที่" ต้าเป่าพยักหน้า ทั้งสองแปะมือกันคราหนึ่ง
ตอนพิเศษ 3 เจ้าก้อนแป้งอีกสามก้อน เมื่อฟางหนิงฮวาตรวจพบว่าตนเองตั้งครรภ์อีกครั้ง เซียวป๋อเหวินถึงกับยิ้มไม่หุบตลอดทั้งวัน เขาหวังไว้อย่างแรงกล้าว่าครั้งนี้จะได้ลูกสาวสักคน คนที่มีใบหน้าอ่อนหวานเหมือนภรรยา เดินเตาะแตะมาตบไหล่เขาเรียก “ท่านพ่อ” เสียงใสเหมือนระฆังเงิน ความฝันนั้นทำให้เขาเพ้อไปไกลถึงขั้นนั่งวางแผนจะสร้างบ้านหลังเล็ก ๆ สีชมพูไว้ข้างจวน แยกจากเรือนใหญ่ให้ลูกสาวอยู่โดยเฉพาะแต่แล้ววันคลอดก็มาถึง ท่ามกลางความตื่นเต้นของทั้งบ้าน เสียงเด็กร้องแหลมสูงดังลั่นห้องคลอดไม่ใช่เพียงหนึ่ง แต่ถึงสองเสียงติดกัน แม่เฒ่าหลิวที่ทำหน้าที่เป็นหมอตำแยถึงกับตะโกนลั่นด้วยความประหลาดใจ“ท่านแม่ทัพ ฮูหยินคลอดบุตรชายฝาแฝดเจ้าค่ะ”เซียวป๋อเหวินที่ยืนรอฟังอยู่นอกห้องถึงกับยืนนิ่งไปพักหนึ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน ทั้งดีใจและผิดหวังในเวลาเดียวกัน เขาได้ยินเสียงเด็กร้องสองคน ใจหนึ่งก็ปลื้มใจที่ได้ลูกชา
ตอนพิเศษ 2 แขกผู้มาเยือน เซียวป๋อเหวินควบม้ามุ่งหน้าไปยังวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าห้องเต้ ส่วนรถม้านั้นเคลื่อนตัวเข้ามายังประตูหน้าของจวนตระกูลเซียว จวนที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้แม่ทัพเซียวป๋อเหวินเป็นกรณีพิเศษเพื่อเป็นเกียรติในความชอบ ความกล้าหาญและความซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินฟางหนิงฮวาอุ้มเซียวจ้านลงจากรถม้า สายตากวาดมองจวนหลังใหญ่เบื้องหน้า ตัวอาคารโอ่อ่า แฝงกลิ่นอายของตระกูลขุนนางชั้นสูง ผนังปูนสีขาวสลับไม้สักแดงสนิท ประตูใหญ่ตั้งตระหง่าน เสาหินแกะสลักลวดลายมังกรรายเรียงอย่างสง่างามทว่าทันทีที่สายตาของนางเหลือบไปทางหน้าประตูจวนนางก็ต้องขมวดคิ้วทันทีหญิงสาวผู้หนึ่งในชุดผ้าไหมสีม่วงอ่อนยืนรออยู่หน้าจวน ใบหน้างามสง่าแลดูอ่อนวัย เรือนผมดำขลับถูกรวบไว้เรียบร้อยด้วยปิ่นทองรูปผีเสื้อ ชุดแต่งกายบ่งบอกถึงฐานะไม่ธรรมดา นางยืนสงบตรงนั้นราวกับกำลังเฝ้ารอใครสักคนมาเนิ่นนานเมื่อหญิงสาวเห็นฟางหนิงฮวาและเด็กน้อยเดินเข้ามา นางก็ยิ้มบางแล้ว
ตอนพิเศษ 1 เดินทางกลับเมืองหลวง ยามเช้าตรู่ของฤดูใบไม้ผลิ อากาศเย็นสบายท่ามกลางหมอกจาง ๆ ที่ลอยอยู่เหนือพื้นดิน เซียวป๋อเหวิน ฟางหนิงฮวา และเซียวจ้านน้อย บุตรชายวัยห้าขวบของพวกเขา กำลังออกเดินทางกลับเมืองหลวงอย่างช้า ๆ ด้วยรถม้าที่มีธงเครื่องหมายตระกูลกองทัพรักษาดินแดนเหนือประดับอยู่ข้างตัวรถหลังจากได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ให้พักผ่อนสักระยะ ก่อนจะกลับไปรับตำแหน่งในราชสำนัก เซียวป๋อเหวินจึงตัดสินใจพาภรรยาและบุตรชายเดินทางอย่างไม่รีบร้อน แวะพักตามเมืองต่าง ๆ เพื่อให้ลูกชายได้เรียนรู้โลกกว้างและให้ตนเองได้พักใจจากความวุ่นวายที่ผ่านมารถม้ามาถึงเมืองซีเป่ย เมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำอวิ๋นเผิง ทิวทัศน์โดยรอบงดงามด้วยภูเขาสีเขียวที่ทอดยาวกับแม่น้ำใสสะอาด เซียวป๋อเหวินเคยมาเยือนเมืองนี้เมื่อครั้งที่เขาวางแผนรบกับพวกเฮยจั้ง เห็นว่าทิวทัศน์ที่นี่เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจยิ่งนักเลยชวนภรรยากับบุตรชายพักค้างคืนกันสักคืนสองคืน“หน
บทที่ 55 ข่าวดีอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงของอาวุธทกระทบกันที่เกิดจาการซ้อมรบในค่าย นายทหารส่งสารผู้หนึ่งขี่ม้าวิ่งเข้ามาในค่ายด้วยความเร็วสูงก่อนที่จะหยุดลงที่หน้ากระโจมบัญชาการของท่านแม่ทัพ เซียวจ้านวัยห้าขวบเห็นม้าวิ่งมาจนฝุ่นตลบก็ตื่นเต้นดีใจ คิดว่าต้องมีเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างเช่นข้าศึกบุกมาอย่างแน่นอน เมื่อทหารส่งสารผู้นั้นขออนุญาตเข้ามาในกระโจมเขาก็มองจดหมายในมือของนายทหารผู้นั้นไม่วางตา “มีคำสั่งจากวังหลวงขอรับท่านแม่ทัพ” นายทหารผู้นั้นยื่นจดหมายในมือให้กับเซียวป๋อเหวิน เซียวป๋อเหวินรับจดหมายนั่นมาก่อนจะเปิดดู เขากวาดสายตาอย่างรวดเร็วอ่านจดหมายนั้น เมื่ออ่านจบก็ถึงกับยิ้มขึ้นมา “มีอะไรหรือเจ้าคะท่านพี่ เป็นเรื่องดีใช่หรือไม่” ฟางหนิงฮวาถาม&nbs
บทที่ 54 แม่ทัพน้อย หลายเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟางหนิงฮวาผู้เคยสง่างามบัดนี้มีท้องนูนโต เดินเหินลำบาก แม้จะพยายามรักษาท่าทีให้สงบงดงามเหมือนเดิมแต่ทุกย่างก้าวกลับเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าเซียวป๋อเหวินที่ครั้งหนึ่งเคยคร่ำเคร่งอยู่ในสนามรบ บัดนี้กลับเปลี่ยนบทบาทมาเป็นสามีผู้เฝ้าดูแลภรรยาไม่ห่าง สายตาเขาอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่อนุญาตให้นางทำอะไรหนักเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ยื่นมือไปหยิบน้ำชาเองเขายังรีบเข้ามาช่วย“เหนื่อยหรือไม่” เขามักจะถามทุกครั้งที่เห็นนางลูบท้องเบา ๆฟางหนิงฮวาเพียงยิ้มจาง ๆ พลางตอบเสียงเบา “ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ เพียงแต่หิวบ่อยไปหน่อย”“หิวหรือ ข้าจะไปสั่งให้แม่ครัวต้มโจ๊กให้เดี๋ยวนี้” ไม่รอคำตอบเขาก็ลุกขึ้นแล้วออกไปทันทีฟางหนิงฮวามองตามแผ่นหลังกว้างนั้นอย่างซาบซึ้ง หัวใจอบอุ่นทุกครั้งที่เห็นเขาเป็นห่วงตนถึงเพียงนี้วันเวลาผ่านไปจนกร
บทที่ 53 คืนเข้าหอที่รอคอย หลังจากที่ดื่มกับเหล่าทหารพอหอมปากหอมคอแล้วเซียวป๋อเหวินก็กลับเข้ามาที่จวน เพราะสิ่งที่เขารอคอยอยู่ตรงหน้านั้นสำคัญยิ่งกว่าการการดื่มฉลองเป็นไหน ๆ เจ้าสาวของเขายังคงนั่งรออยู่ในห้องหอ รอให้เข้าไปเปิดผ้าคลุมหน้าและครองรักชื่นมื่นกันภายใต้ห้องหอที่มีเพียงแต่พวกเขาสองคน เซียวป๋อเหวินกระโดดลงจากหลังม้าแล้วมุ่งตรงไปยังห้องหอทันที เขาจินตนาการถึงใบหน้าที่งดงามของหญิงสาวอันเป็นที่แล้วก็อดไม่ไหวที่จะเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงห้องหอโดยเร็ว เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามทีก่อนที่ชายหนุ่มจะเปิดประตูเข้ามา เข้าก้าวเท้าเข้ามาอย่างแผ่วเบาก่อนที่จะปิดประตูลงอย่างแผ่วเขาเช่นกัน “รอนานหรือไม่” เขาเอ่อยถาม &ldquo







