เมื่อทำหน้าที่ของตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้วฟางหนิงฮวาก็กลับมาที่ร้านอย่างสบายใจ หลังจากนั้นจึงทำหน้าที่ปั้นแป้งซาลาเปาต่อ ร้านนี้ไม่ได้ขายดีเพียงแค่ช่วงเช้าหรือว่าช่วงที่ผู้คนพักกินข้าวกันเท่านั้นแต่ทว่าขายดีทั้งวัน เพราะเมืองถู่หยางนั้นมีผู้คนมากมาย แต่ละคนทำงานไม่เหมือนกันเวลาพักกินข้าวบางครั้งก็ไม่ตรงกัน ดังนั้นซาลาของร้านสกุลฟางจึงขายได้ทั้งวัน
ที่ร้านไม่ได้มีเพียงแค่ซาลาเปาอย่างเดียวยังมีหมั่นโถวขายด้วย
ฟางหนิงฮวาไม่คิดว่าสวรรค์จะเข้าข้างตนเองถึงเพียงนี้ ชาติที่แล้วได้ทำงานที่ตัวเองรักนั่นก็คือการเป็นเชฟ พอตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ยังได้เกิดเป็นบุตรสาวร้านขายซาลาเปาอีก ช่างมีความสุขจริง ๆ นางคิดเล่น ๆ ว่าในภายภาคหน้าหากคุ้นเคยกับเมืองนี้และรู้เรื่องลู่ทางการทำมาหากินแล้วก็อยากจะขยายร้านซาลาเปาให้เป็นร้านอาหารที่โด่งดังที่สุดในเมืองถู่หยาง
พูดถึงร้านอาหารแล้วที่เมืองถู่หยางนั้นมีผู้คนอาศัยอยู่มากมายก็จริงแต่ร้านอาหารขึ้นชื่อมีอยู่ไม่กี่แห่ง ที่พอจะนึกออกก็จะมีที่โรงเตี้ยมเฉียนฮวากับเหลาสุราซ่งเฮ่อเท่านั้น ที่อื่นล้วนขายอาหารแบบปกติทั่วไปจำพวกบะหมี่ เกี๊ยว จะว่าไปแล้วหากบุกเบิกตลาดได้ก่อนย่อมจะได้เปรียบ
"หนิงฮวา ปั้นแป้งซาลาเปาชุดนี้เสร็จเอาซาลาเปาไปให้บ้านของว่าที่คู่หมั้นเจ้าหน่อยนะ" เสียงพูดดังมาจาหน้าร้านเป็นคำสั่งของบิดานั่นเอง
ได้ยินแล้วก็ถึงกับชะงักกึก 'ว่าที่คู่หมั้น? ว่าที่คู่หมั้นอันใดกัน?' ฟางหนิงฮวาเงยหน้ามองบิดาอย่างงุนงง พลางความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมก็วิ่งเข้ามาในหัว
สกุลฟางมีสหายสนิทที่มาจากหมู่บ้านเดียวซึ่งก็คือสกุลเหลียน สกุลเหลียนทำการค้าในเมืองถู่หยางนี่มาตั้งแต่ก่อนที่พวกฟางหนิงฮวาจะเข้ามาเปิดร้านเสียอีก พวกเขาขายหมูอยู่ที่หัวมุมถนนถัดไปอีกไม่กี่ร้าน ร้านขายหมูของสกุลเหลียนใหญ่ที่สุดในตลาดแห่งนี้ ตอนที่ฟางตวนจะเข้ามาหาลู่ทางค้าขายนั้นก็ได้เจ้าของร้านขายหมูนี่แหละช่วยหาทำเลให้
พวกเขามีบุตรชายผู้หนึ่งนามว่าเหลียนต้าเป่า ต้าเป่าเป็นหนุ่มน้อยนิสัยดีทั้งยังจิตใจโอบอ้อมอารีมีเมตตา เด็ก ๆ ในตลาดต่างก็รักใคร่เขากันทั้งนั้น เขามีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนผู้ใดก็คือมีรูปร่างที่อ้วนตุ๊ต๊ะ แก้มกลมย้วย ผิวขาวผ่องจนบางครั้งออกแดดนิดหน่อยก็แดงแล้ว ดูไปน่ารักไม่น้อยและนี่จึงเป็นเหตุให้ที่ทำเขาเป็นที่รักของทุกคน
แต่สำหรับฟางหนิงฮวาแล้วต้าเป่าเป็นสหายสนิทที่เล่นมาตั้งแต่เด็ก จะให้คิดเกินเลยถึงขั้นเป็นคู่หมั้นได้อย่างไร แต่ทว่าที่ห้ามไม่ได้ก็คือเมื่อปีใหม่ที่ผ่านมาบิดาของทั้งสองคนได้ถือวิสาสะคุยเรื่องนี้กันไปแล้วโดยที่ไม่ได้ถามความเห็นของบุตรทั้งสอง ฟางหนิงฮวารู้ใจตัวเองว่าไม่อยากหมั้นกับต้าเป่า แต่แล้วต้าเป่าล่ะ นางเองก็อยากรู้ว่าเขาคิดอย่างไร
"เหตุใดจึงทำหน้าเช่นนั้น ราวกับไม่อยากไปเยี่ยมต้าเป่าอย่างนั้นแหละ เจ้าเองก็ไม่ได้ไปมาหลายวันแล้วไม่ใช่หรือ ไปพบกันสักหน่อยความสัมพันธ์จะได้แน่นแฟ้นขึ้น" ฟางตวนกล่าว
ฟางหนิงฮวาได้แต่ถอนหายใจออกมาก่อนจะอธิบายให้บิดาฟัง "ท่านพ่อ ท่านก็รู้ว่าข้ากับต้าเป่าเป็นสหายกัน พวกเราใช้ชีวิตฉันท์สามีภรรยาไม่ได้หรอก ท่านล้มเลิกความตั้งใจนี้เสียเถอะ ข้าจะให้ต้าเป่าพูดเรื่องนี้กับท่านลุงเหลียนด้วย"
"หากว่าเจ้าไม่แต่งกับต้าเป่าแล้วผู้ใดจะมาแต่งกับเจ้าเล่า คนทั้งเมืองต่างก็รู้ว่าบุตรสาวสกุลฟางร่างกายไม่แข็งแรง ไม่มีผู้ใดอยากได้คนป่วยเข้าไปอยู่ในตระกูลหรอกรู้หรือไม่" ฟางตวนทั้งกล่าวทั้งทอดถอนใจ เป็นอย่างที่เขาว่าหากว่าผู้ใดจะแต่งเข้าไปเป็นภรรยาก็จำเป็นต้องมีร่างกายที่แข็งแรงพร้อมจะมีบุตรสืบสกุล แต่ว่าฟางหนิงฮวาป่วยกระเสาะกระแสะมาตั้งแต่เด็กเลยไม่มีบุตรชายตระกูลไหนมาให้ความสนใจเลย ถึงแม้ว่านางจะมีหน้าตาที่งดงามไม่น้อยก็ตาม
"เช่นนั้นจะไม่เป็นการบังคับจิตใจของต้าเป่ามากเกินไปหรือเจ้าคะ พวกท่านบังคับให้เขาแต่งหญิงสาวที่ป่วยเข้าบ้านหากว่าข้าไม่มีลูุกหลานสืบสกุลให้เขาขึ้นมา แล้วพวกเราจะทำอย่างไร" ฟางหนิงฮวากล่าว
คำกล่าวของนางทำเอาผู้เป็นบิดาถึงกับต้องฉุกคิด เหตุผลนี้ถูกต้อง เป็นเพราะเขาเห็นแก่ตัว เห็นแก่บุตรสาวของตนเองมากเกินไปจนไม่ได้นึกถึงต้าเป่าเลยว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร และหากว่าแต่งกันไปฟางหนิงฮวามีบุตรไม่ได้แล้วต้าเป่าจำเป็นต้องแต่งอนุเข้ามาเล่าความเป็นอยู่ของบุตรสาวของตนจะต้องน่าสงสารถึงเพียงไหน
"แต่ถ้าเจ้าไม่แต่งงานจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไรเล่า" นิ่งหรงผู้เป็นมารดาถามด้วยความเป็นห่วง
"จะไปยากอันใดเล่าท่านแม่ พวกท่านก็เพียงแค่ส่งต่อร้านซาลาเปาให้กับข้า ในภายภาคหน้าข้าจะทำให้มันรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปอีก พอข้าร่ำรวยแล้วก็ไม่ต้องแต่งงาน อีกอย่างข้าจะเลี้ยงดูท่านพ่อท่านแม่เป็นอย่างดีเลย" ฟางหนิงฮวากล่าว ท่าทางของนางมุ่งมั่นราวกับว่าไม่ใช่ฟางหนิงฮวาคนเดิม บิดากับมารดาต่างก็มองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
"ไปเถอะ ๆ ประเดี๋ยวไม่ทันพวกเขากินข้าวเที่ยง" นิ่งหรงบอกกับบุตรสาว
"เจ้าค่ะ" ฟางหนิงฮวารับคำ
มาถึงร้านขายหมูฟางหนิงฮวาก็มองสำรวจดูร้านโดยบรอบทว่าไม่เห็นต้าเป่าก็แปลกใจเล็กน้อย ปกติแล้วต้าเป่าไม่ค่อยออกไปเที่ยวเล่นที่ไหน เขาจะนั่งอยู่ที่โต๊ะและทำบัญชีของร้านอย่างตั้งอกตั้งใจ
"ท่านลุงเหลียน ข้าเอาซาลาเปามาส่งเจ้าค่ะ" ฟางหนิงฮวาร้องบอกชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งกำลังถือมีดหั่นหมูอยู่ในมือ ผ้ากันเปื้อนของเขามีรอยคราบอันเนื่องมากจากมันหมูอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ดูสกปรกจนหน้าเกลียด
"หนิงฮวา…มาแล้วหรือ เอาวางไว้ที่โต๊ะเถอะ" เหลียนถงกล่าว ในมือยังคงหั่นหมูยิก ๆ
ฟางหนิงฮวามองไปรอบร้านอีกครั้ง ในเมื่อแน่ใจแล้วว่าต้าเป่าไม่น่าจะอยู่จึงเอ่ยถาม "ท่านลุงเหลียน ต้าเป่าเล่าเจ้าคะ"
"อ้อ…ข้าให้เขาออกไปส่งหมูน่ะ สักครู่ก็คงกลับมาแล้ว เจ้ารอที่นี้ก่อนนะ" เหลียนถงกล่าว
หลังจากนั้นไม่นานต้าเป่าก็กลับเข้าร้านมา เห็นว่าฟางหนิงฮวานั่งรออยู่ก็รู้ได้ว่านางต้องมีเรื่องสำคัญคุยด้วยเป็นแน่ แต่กลับรู้สึกว่าฟางหนิงฮวาในวันนี้ดูไม่เหมือนกับที่ผ่านมา นางดูแข็งแรง สดใส แล้วก็มั่นใจมากกว่าปกติ
"เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้ามีธุระสำคัญต้องคุยกับเจ้า พวกเราไปหาที่สงบ ๆ คุยกันดีกว่า" ฟางหนิงฮวากล่าว
ต้าเป่าพยักหน้างหงึก ๆ อย่างงงงัน แต่ก็พาสหายมานั่งคุยกันที่หลังร้านตรงข้างบ่อน้ำ "เจ้ามีเรื่องอันใดหรือ"
"ก็เรื่องที่บิดาของพวกเราคุยกันไว้เมื่อตอนปีใหม่อย่างไรเล่า ข้ากล่าวกับท่านพ่อไปแล้วว่าพวกเราเป็นสหายกัน ไม่เหมาะที่จะแต่งกันหรอก ให้ท่านพ่อเอาเรื่องนี้ไปคิดดูอีกที แล้วเจ้าล่ะคิดว่าอย่างไร" ฟางหนิงฮวาบอกต้าเป่าไปตามความจริง นางไม่คิดว่าต้าเป่าจะเสียใจเพราะรู้สึกได้ว่าต้าเป่าเองก็ไม่ได้ชมชอบนางในฐานะนั้นเช่นกัน
"ข้าก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า แต่ไม่คิดว่าบิดาของข้าจะใจอ่อนลงง่าย ๆ เหมือนท่านอาฟางน่ะสิ" ต้าเป่าบอก
ทั้งสองต่างก็รู้นิสัยของเหลียนถงเป็นอย่างดีว่าเขาเป็นคนที่มีความเด็ดขาดถึงเพียงไหน หากว่าอยากจะเปลี่ยนความคิดของเขานั้นจำเป็นจะต้องมีเหตุผลที่ฟังขึ้นเท่านั้น ดังนั้นทั้งสองจึงได้ช่วยกันคิดอย่างเคร่งเครียด
"เจ้าพอจะนึกเหตุผลบางอย่างออกหรือไม่ อย่างเช่นปฏิเสธข้าเพราะว่าข้าป่วย ในภายภาคหน้าอาจจะไม่สามารถมีบุตรสืบสกุลให้เจ้าได้" ฟางหนิงฮวาเสนอ
ต้าเป่าครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนกล่าว "เหตุผลนั้นคงไม่เพียงพอ เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นถึงบุตรีของสหายรักของพ่อข้า ดังนั้นการรับเจ้าไว้ย่อมเป็นเรื่องดีเป็นการช่วยเหลือเจ้าด้วย แต่หากว่าในภายภาคหน้าเจ้าไม่มีบุตรจริง ๆ ท่านพ่ออาจจะเสนอให้ข้ารับอนุก็ได้"
"ก็จริงของเจ้า แล้วพวกเราจะมีเหตุผลอื่นใดมาอ้างได้อีกเล่า" ฟางหนิงฮวาทอดถอนใจอย่างหมดหวัง
"ขะ…ข้ามีหญิงในดวงใจผู้หนึ่ง" ต้าเป่ากล่าว
"นางเป็นผู้ใดกัน" ฟางหนิงฮวาถามด้วยความตื่นเต้น
"เจ้าก็เคยเห็นนาง เป็นแม่นางหยางบุตรสาวของร้านผลไม้แห้งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามร้านของข้า และตอนนี้ข้าก็กำลังลดความอ้วนเพื่อที่จะหาทางเข้าหานางอยู่" ต้าเป่าตอบอย่างขวนเขิน
"แม่นางหยางเสี่ยวเจียงน่ะหรือ งั้นดีเลยเจ้าต้องขอนางเป็นคนรักให้ได้แล้วนำเหตุผลนี้มาคุยกับท่านลุงเหลียน ข้าจะช่วยเจ้าอีกแรง" ฟางหนิงฮวากล่าว นางฮึกเหิมเสียยิ่งกว่าต้าเป่าเสียอีก
"อืม…ตกลง ข้าเองก็จะทำอย่างเต็มที่" ต้าเป่าพยักหน้า ทั้งสองแปะมือกันคราหนึ่ง
บทที่ 14 แม่สื่อแม่ชัก ออกจากเหลาสุราก็เดินตรงไปยังร้านขายหมูของต้าเป่าทันที ที่ร้านขายหมูตอนนี้วุ่นวายมากเพราะใกล้จะถึงงานเทศกาลตวนอู่แล้ว ผู้คนจึงออกจากบ้านมาจับจ่ายซื้อของไปทำบ๊ะจ่างกันมากมายเต็มตลาดไปหมด กว่าที่ฟางหนิงฮวาจะเบียดฝ่าฝูงชนเข้าไปในร้านขายหมูได้ก็เล่นเอาเหงื่อตกเช่นกัน เทศกาลตวนอู่หรือเทศกาลบ๊ะจ่างเป็นเทศกาลสำคัญ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 5 เดือน 5 บรรยากาศของเทศกาลอบอวลไปด้วยกลิ่นไอของวัฒนธรรมและประเพณี ผู้คนจะเริ่มเตรียมตัวกันตั้งแต่เช้าตรู่ หญิงสาวช่วยกันห่อบ๊ะจ่างด้วยใบไผ่หรือใบหญ้าเรียวยาว ภายในห่อข้าวเหนียวสอดไส้ด้วยหมูแดง ถั่ว หรือไข่แดงเค็ม กลิ่นหอมของบ๊ะจ่างลอยคลุ้งไปทั่วลานบ้านชายฉกรรจ์จะนำเรือมังกรออกมาเพื่อเตรียมแข่งในแม่น้ำ เสียงกลองกระหึ่มกึกก้อง ผสมกับเสียงร
บทที่ 13 สุราที่นี่ก็ไม่เท่าไร หนึ่งเดือนผ่านไปฟางหนิงฮวาก็เริ่มคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในเมืองถู่หยางแล้ว ถึงแม้ว่าจะคิดถึงที่ที่จากมาอยู่บ้างแต่ว่าที่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หนักใจอะไร คนที่คิดถึงก็เห็นจะมีแค่เสี่ยวปิงกับคนที่ร้านอาหารเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรพวกเขาย่อมต้องมีชีวิตของตนเองต่อไป ถึงนางไม่จากตายก็ต้องมีวันใดวันหนึ่งจากเป็นอยู่ดี การที่ได้มาเกิดใหม่ที่นี่ก็ดีไม่น้อย นางมีทั้งพ่อแม่ทั้งอารองที่รักและคอยดูแลนาง เมื่อเทียบกับชาติที่แล้วที่ไม่มีญาติเลยแม้แต่คนเดียวนั้นก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นกว่ามาก การได้อยู่กันพร้อมหน้าครอบครัวเป็นอะไรที่มีความสุขยิ่งซึ่งนางไม่เคยสัมผัสมาก่อนชีวิตที่นี่ก็เรียบง่ายไม่ต้องทำงานแข่งกับเวลาหรือว่าแข่งขันกันเพื่อความก้าวหน้า อาจจะมีบ้างในคนระดับสูงแต่ไม่ใช่บุตรสาวร้านขายซาลาเปาเช่นนาง งานที่ต้องทำก
บทที่ 12 ข่าวดีของเมืองถู่หยางที่มาพร้อมกับซิกแพค ข่าวของท่านเจ้าเมืองถูกติดประกาศตามพื้นที่ต่าง ๆ รอบเมืองถู่หยาง ชาวเมืองต่างก็มาดูประกาศกันอย่างตื่นเต้น ในเมื่อประกาศจากจวนเจ้าเมืองยืนยันเป็นที่แน่ชัดว่าท่านเจ้าเมืองของพวกเขาฟื้นแล้วทุกคนต่างก็ดีใจมาก ถึงขั้นจัดฉลองกันใหญ่ โดยเฉพาะบรรดาหญิงสาวที่ชื่นชอบท่านเจ้าเมือง พวกนางดีใจจนถึงกับน้ำตาไหล ต่างจับมือกันอย่างปลาบปลื้ม บ้างกราบไหว้ฟ้าดินไม่หยุดพร่ำพูดว่าขอบคุณสวรรค์ที่เมตตา พวกนางยังคงไปยืนออกันอยู่ที่หน้าประตูจวนเจ้าเมืองเช่นเคย คราวนี้เหมือนว่าพวกนางจะรวมตัวกันเยอะกว่าเดิมเสียอีก ของเยี่ยมต่าง ๆ ถูกนำมาให้เหล่าองครักษ์ขนกลับเข้าจวนไปนับไม่ถ้วน แต่ถึงอย่างไรพวกนางก็ยังคงไม่ได้เข้าไปเยี่ยมท่านเจ้าเมืองอยู่ดีเพ
บทที่ 11ท่านเจ้าเมืองฟื้นแล้วเมื่อลืมตาขึ้นมาหยางจื้อเจ๋อก็พบกับแสงสว่างอีกครั้งแต่เป็นแสงสว่างที่ส่องผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาในห้องที่นอนอยู่ เขากวาดตามองไปรอบห้องช้า ๆ ไม่สามารถหันหน้าได้ถนัดเนื่องจากรู้สึกเจ็บปวดที่ต้นคออยู่ไม่น้อย ห้องที่นอนอยู่นั้นมองแล้วรู้สึกไม่คุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง ทุกอย่างภายในห้องดูเหมือนจะไม่ใช่โลกปัจจุบันที่เขาเคยอยู่ ทั้งรูปแบบการตกแต่งห้องที่แปลกตา ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ดูแล้วนะจะเหมือนจวนของชนชั้นสูงในยุคโบราณมากกว่า แต่ที่แปลกกว่านั้นก็คือเหตุใดอยู่ ๆ เขามีมีอาการเหมือนคนได้รับบาดเจ็บ หรือว่าจะเป็นเพราะเหตุการณ์รถชน พอคิดดูอีกครั้งก็รู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะว่าเขาเองก็ตายไปแล้วและร่างก็ถูกฝังไปเมื่อสักครู่นี้ซึ่งเขาเห็นมันด้วยตาของตัวเองหยางจื้อเจ๋อพยายามยามยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งแต่ทว่าความ
ย้อนกลับไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หยางจื้อเจ๋อที่ประสบอุบัติเหตุรถเสียหลักพุ่งเข้าชนต้นไม้ข้างทาง เขาเสียชีวิตบนรถฉุกเฉินระหว่างที่นำตัวส่งโรงพยาบาล วิญญาณของเขาออกจากร่างแล้วนั่งมองตนเองนอนอยู่ในรถอย่างสิ้นหวัง เขาเพิ่งอายุเพียงแค่สามสิบต้น ๆ กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นและใกล้ถึงจุดที่เรียกว่าประสบความสำเร็จในชีวิต อีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็จะถอนตัวจากเบื้องหน้าแล้วมาทำเบื้องหลังเป็นผู้กำกับอย่างเต็มตัว ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดสวรรค์ถึงไม่ให้เขามีโอกาสนั้น พยาบาลที่อยู่ในรถฉุกเฉินต่างก็พยายามช่วยชีวิตเขาอย่างเต็มที่ แต่ในที่สุดก็สายไปเสียแล้ว เมื่อเสียงของเครื่องวัดสัญญาณชีพในรถพยาบาลดังยาวเป็นสัญญาณบอกว่าผู้ป่วยได้หมดลมหายใจ เมื่อร่างของเขาถึงที่โรงพยาบาลได้ไม่นาน พ่อกับแม่ของเขาก็บินตรงมาจากต่างเมืองเพื่อมาดูอาการของลูกชาย พวกเขามีลูกชายเพียงคนเดียวและคาดหวังว่าเขาผู้นี้จะเป็นผู้สืบท
เมื่อทำหน้าที่ของตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้วฟางหนิงฮวาก็กลับมาที่ร้านอย่างสบายใจ หลังจากนั้นจึงทำหน้าที่ปั้นแป้งซาลาเปาต่อ ร้านนี้ไม่ได้ขายดีเพียงแค่ช่วงเช้าหรือว่าช่วงที่ผู้คนพักกินข้าวกันเท่านั้นแต่ทว่าขายดีทั้งวัน เพราะเมืองถู่หยางนั้นมีผู้คนมากมาย แต่ละคนทำงานไม่เหมือนกันเวลาพักกินข้าวบางครั้งก็ไม่ตรงกัน ดังนั้นซาลาของร้านสกุลฟางจึงขายได้ทั้งวัน ที่ร้านไม่ได้มีเพียงแค่ซาลาเปาอย่างเดียวยังมีหมั่นโถวขายด้วย ฟางหนิงฮวาไม่คิดว่าสวรรค์จะเข้าข้างตนเองถึงเพียงนี้ ชาติที่แล้วได้ทำงานที่ตัวเองรักนั่นก็คือการเป็นเชฟ พอตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ยังได้เกิดเป็นบุตรสาวร้านขายซาลาเปาอีก ช่างมีความสุขจริง ๆ นางคิดเล่น ๆ ว่าในภายภาคหน้าหากคุ้นเคยกับเมืองนี้และรู้เรื่องลู่ทางการทำมาหากินแล้วก็อยากจะขยายร้านซาลาเปาให้เป็นร้านอาหารที่โด่งดังที่สุดในเมืองถู่หยางพูดถึงร้านอาหารแล้วที่เมือ