로그인ที่ด้านนอกของจวนเจ้าเมืองมีหญิงสาวราวสิบกว่าคนยืนออกันอยู่ บางคนก็ถือกล่องใส่อาหาร บางคนถือห่อยา บางคนถือของขวัญอย่างอื่นมามากมาย ตรงนั้นค่อนข้างวุ่นวายจนองครักษ์สองคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูแทบจะกันเอาไว้ไม่อยู่ ในที่สุดบ่าวรับใช้ในจวนคนหนึ่งที่เฝ้าหน้าประตูเรือนนอนของท่านเจ้าเมืองต้องออกไปช่วยยุติความวุ่นวายด้วย ฟางหนิงฮวามองออกไปก็พอจะดูออกว่าหญิงสาวเหล่านี้น่าจะมาถามข่าวเรื่องการบาดเจ็บของท่านเจ้าเมือง เสียงหญิงสาวเหล่านั้นแย่งกันพูดดังมาแต่ไกล
ข่าวเรื่องที่เจ้าเมืองได้รับบาดเจ็บนั้นโด่งดังไปทั่วเมืองถู่หยางได้สามวันแล้วนับตั้งแต่วันที่เขากลับมาจากการไปปราบโจรภูเขา จะมีก็แต่ฟางหนิงฮวานี่แหละที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเพราะใช้ชีวิตอยู่แต่ในร้านตลอด อีกทั้งบิดามารดาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ให้ได้ยินด้วย
การพ่ายแพ้ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงท่านเจ้าเมืองกับเหล่าทหารเท่านั้นที่บาดเจ็บ แต่กลับทำให้หัวใจของคนทั่วทั้งเมืองถู่หยางเจ็บปวดไปด้วย เพราะเจ้าเมืองเป็นเหมือนเสาหลักของเมืองนี้ทั้งยังเป็นขุนนางที่มีคุณธรรมปกครองเมืองถู่หยางในหลายปีที่ผ่านมาอย่างสงบร่มเย็นจนชาวเมืองอยู่ดีกินดีมีความสุข ที่ดูเสียใจยิ่งไปกว่านั้นเห็นจะเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือนกว่าครึ่งเมือง เมื่อพวกนางรู้ข่าวว่าท่านเจ้าเมืองได้รับบาดเจ็บสาหัสก็เป็นห่วงอย่างมาก
"ให้พวกเราเข้าไปหน่อยเถอะ พวกเรารับรองว่าจะไม่สร้างความวุ่นวาย เพียงแต่อยากเห็นท่านเจ้าเมืองใกล้ ๆ ว่าเป็นอย่างไรบ้างเท่านั้นเอง" หญิงสาวผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าใกล้กับองค์รักษ์กล่าวขึ้น สีหน้าของนางดูเป็นกังวลยิ่ง ถึงแม้ว่าจะพูดอยู่กับองค์รักษ์แต่ทว่าสายตากลับสอดส่องมองเข้ามายังทิศทางของเรือนนอน
"จะไม่วุ่นวายได้อย่าง นี่ขนาดพวกเจ้ายืนอยู่หน้าจวนยังวุ่นวายถึงเพียงนี้ หากปล่อยให้เข้าไปจะไม่รบกวนท่านเจ้าเมืองหรอกหรือ" องค์รักษ์ผู้หนึ่งกล่าว
หญิงสาวเหล่านี้พอได้ยินก็หาได้สงบปากสงบคำไม่แต่กลับกล่าวเร่งเร้าเหล่าองค์รักษ์มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังขยับตัวดันเข้ามาพยายามจะเข้าประตูให้ได้
ฟางหนิงฮวาที่ยืนอยู่ด้านในเห็นเหตุการณ์แล้วก็คิดว่าคงกลับออกไปตอนนี้ไม่ได้เป็นแน่ จึงได้ยืนดูต่อสักครู่เพราะอยากรู้ว่าระหว่างองครักษ์กับพลังของสตรีผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ
"แต่พวกเราเป็นห่วงท่านเจ้าเมืองจริง ๆ นะเจ้าคะ ให้พวกเราเข้าไปเถอะ บางทีหากท่านเจ้าเมืองรับรู้ได้ว่ามีคนมาให้กำลังใจเขาอาจจะหายเร็วขึ้นก็เป็นได้" หญิงสาวอีกคนหนึ่งพูด
องครักษ์ได้แต่ส่ายศีรษะให้อย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะใช้ทวนกั้นตรงกลางประตูเอาไว้ "พวกเจ้าเข้าไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด พวกเจ้าคิดว่าตนเองเป็นผู้ใดกัน มีความสามารถในการรักษาอย่างนั้นหรือ เมื่อสักครู่ท่านหมอหลิวได้เข้าไปแล้วเจ้าอย่าได้ไปรบกวนสมาธิของท่านหมอจะดีกว่า เอาเป็นว่าพวกเจ้ากลับไปก่อน หากมีข่าวอย่างไรทหารก็จะไปติดประกาศให้ชาวเมืองได้รับรู้โดยทั่วกัน"
หญิงสาวพวกนั้นพอได้ฟังแล้วก็เหมือนจากสำนึกอยู่บ้าง พวกนางต่างทำหน้าสลดและก้มหน้าลงพยักหน้าหงึก ๆ ว่าเข้าใจ ก่อนที่จะยื่นทุกอย่างในมือให้กับองค์รักษ์สองคนนั้น
"อันนี้พวกเราเอามาเยี่ยมท่านเจ้าเมือง ต้องส่งให้ถึงมือท่านเจ้าเมืองนะ พวกท่านอย่าแอบเอาไปกินเองเป็นอันขาด" หญิงสาวคนเดิมกล่าว
"เอาเถอะ ๆ ข้าจะบอกท่านเจ้าเมืองให้" องครักษ์พูดพลางโบกมือให้บ่าวรับใช้มาหอบหิ้วเอาของเยี่ยมพวกนี้ไปเก็บไว้ด้านใน
จบเรื่องแล้วหญิงสาวพวกนั้นก็พากันแยกย้าย ฟางหนิงฮวาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าพวกนางไปแล้ว เหตุการณ์เมื่อสักครู่ทำเอานางประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเพราะไม่คิดว่าคนในยุคนี้จะมีการคลั่งไคล้ไอดอลเหมือนกับยุคที่นางจากมาด้วย เมื่อพิจารณาตามประวัติศาสตร์แล้วหญิงสาวในยุคนี้ควรที่จะรักนวลสงวนตัวเป็นกุลสตรีที่สงวนท่าทีอยู่ที่บ้านถึงจะถูก แล้วเหตุใดพวกนางถึงได้รวมตัวกันมาเยี่ยมไข้ถึงจวนท่านเจ้าเมืองได้ คิดไปแล้วก็หวนนึกถึงตอนนี้ตัวเองไปรวมกลุ่มกับพวกแฟนคลับรอรับหยางจื้อเจ๋อที่สนามบินขึ้นมา
พอคิดถึงหยางจื้อเจ๋อความเศร้าเสียใจก็บังเกิดขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ว่านางจะอยู่ที่ใดในตอนนี้ก็ไม่มีหยางจื้อเจ๋อแล้ว ที่ที่นางจากมานั้นเขาได้ตายไปแล้วและที่ที่นางมาอยู่ใหม่นี้ก็คงจะไม่มีเขาอยู่ดี หากจะชื่นชมคลั่งไคล้ผู้ใดให้ได้เหมือนเขาก็คงไม่มีอีกแล้วเพราะเขาคือคนที่นางรักที่สุด
ถึงแม้ว่าท่านเจ้าเมืองจะเป็นไอดอลของยุคนี้แต่ทว่านางก็ไม่เคยเห็นหน้าเขาเลยสักครั้ง แต่ดูจากท่าทางของหญิงสาวพวกนั้นก็เหมือนกับนว่าเขาจะต้องมีดีอยู่มากถึงได้มัดใจหญิงสาวมากมายถึงเพียงนี้ได้ คิดแล้วฟางหนิงฮวาก็เริ่มอยากรู้ขึ้นมาว่าเขามีหน้าตาเป็นอย่างไร เรื่องความสามารถคงไม่ต้องพูดถึงเพราะหากว่าเป็นเจ้าเมืองได้ตั้งแต่ยังหนุ่มก็คงจะเก่งไม่เบา
จินตนาการแล้วก็นึกถึงซีรีย์ย้อนยุคที่เคยดู พวกเจ้าเมืองหรือว่าแม่ทัพที่เก่ง ๆ นั้นก็มีหน้าตาที่หล่อเหลาอยู่พอสมควร แต่ว่านั่นก็คือนักแสดงซึ่งพวกผู้กำกับก็ต้องเฟ้นหานักแสดงที่หล่อเหล่ามาเป็นพระเอกอยู่แล้ว แต่แล้วความจริงจะใกล้เคียงกับเหล่าคนจริง ๆ ในยุคที่นางอยู่ตอนนี้หรือไม่ก็ไม่รู้
บุคลิกก็คงจะเป็นแบบนิ่ง ๆ เคร่งขรึม เย็นชา อะไรทำนองนั้น เพราะการเป็นเจ้าเมืองหรือว่าเป็นแม่ทัพจะต้องวางมาดให้น่าเกรงขาม อีกทั้งคงมีเรื่องปัญหาต่าง ๆ ให้ขบคิดมากมายก็เลยไม่ค่อยยิ้มกันสักเท่าไร คิดไปด้วยก็วาดภาพท่านเจ้าเมืองในหัวไปด้วย ได้ออกมาเป็นบุรุษหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่ไร้หนวดเคราแต่หน้าตาดุดันผู้หนึ่ง
ฟางหนิงฮวายืนคิดอยู่นานจนเหมือนตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองไปแล้ว แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเสียงเรียกขององครักษ์ที่อยู่ด้านหน้าดังมา
"นี่…แม่นาง เจ้าจะออกไปหรือไม่ ถ้าจะออกไปก็รีบเข้าข้าจะปิดประตูแล้ว" องครักษ์คนที่คอยห้ามหญิงสาวพวกนั้นเมื่อสักครู่เป็นคนพูด
"เจ้าค่ะ ข้าจะกลับออกไปเดี๋ยวนี้" ฟางหนิงฮวารีบรับคำก่อนจะเดินตรงไปยังประตู
แต่พอถึงประตูนางกลับยังไม่ก้าวขาออกไป ด้วยความอยากรู้ว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นจึงได้รวบรวมความกล้าถามคำถามกับองครักษ์ผู้นั้น
"ท่านองครักษ์ ไม่ทราบว่าท่านเจ้าเมืองเหตุใดจึงได้รับบาดเจ็บมาหรือ"
"เจ้าไม่ใช่ชาวเมืองถู่หยางหรอกหรือเหตุใดจึงไม่รู้ข่าว หรือว่าเจ้าไปอยู่ที่ใดมา" องครักษ์ถามกลับอย่างแปลกใจ
"หลายวันมานี้ข้าป่วยก็เลยไม่รู้เรื่องอะไรเลยเจ้าค่ะ" ฟางหนิงฮวาตอบ
"ท่านเจ้าเมืองไปราบโจรภูเขามาจึงได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย ผ่านไปสามวันแล้วยังไม่ฟื้นเลย" องครักษ์ผู้นั้นพูดด้วยนำเสียงและสีหน้าที่เศร้าสร้อย
เห็นองครักษ์เศร้าใจแล้วฟางหนิงฮวาก็สงสารเขา จึงกล่าวให้กำลังใจไปว่า "เมื่อครู่ข้าเห็นท่านหมอมาแล้ว เห็นว่าเป็นท่านหมอที่เก่งที่สุดในเมืองถู่หยาง เขาต้องรักษาท่านเจ้าเมืองได้แน่"
"ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น" องครักษ์กล่าว
"ข้าต้องกลับร้านแล้วพวกท่านเองก็ต้องเข้มแข็งไว้นะ เจียโหย่ว1" ฟางหนิงฮวากล่าวจากนั้นจึงเดินจากมา ทิ้งให้องครักษ์สองคนงุนงงกันคำว่าเจียโหย่วที่นางพูดเมื่อสักครู่
"เติมน้ำมันคืออันใด เหตุใดพวกเราจึงต้องเติมน้ำมันด้วย"
"ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน นางคงหมายความว่าได้เวลาต้องทำอาหารเช้าแล้วกระมัง"
1เจียโหย่ว มีสองความหมาย หนึ่งคือสู้สู้ เป็นการให้กำลังใจ สองแปลว่าเติมน้ำมัน
ตอนพิเศษ 3 เจ้าก้อนแป้งอีกสามก้อน เมื่อฟางหนิงฮวาตรวจพบว่าตนเองตั้งครรภ์อีกครั้ง เซียวป๋อเหวินถึงกับยิ้มไม่หุบตลอดทั้งวัน เขาหวังไว้อย่างแรงกล้าว่าครั้งนี้จะได้ลูกสาวสักคน คนที่มีใบหน้าอ่อนหวานเหมือนภรรยา เดินเตาะแตะมาตบไหล่เขาเรียก “ท่านพ่อ” เสียงใสเหมือนระฆังเงิน ความฝันนั้นทำให้เขาเพ้อไปไกลถึงขั้นนั่งวางแผนจะสร้างบ้านหลังเล็ก ๆ สีชมพูไว้ข้างจวน แยกจากเรือนใหญ่ให้ลูกสาวอยู่โดยเฉพาะแต่แล้ววันคลอดก็มาถึง ท่ามกลางความตื่นเต้นของทั้งบ้าน เสียงเด็กร้องแหลมสูงดังลั่นห้องคลอดไม่ใช่เพียงหนึ่ง แต่ถึงสองเสียงติดกัน แม่เฒ่าหลิวที่ทำหน้าที่เป็นหมอตำแยถึงกับตะโกนลั่นด้วยความประหลาดใจ“ท่านแม่ทัพ ฮูหยินคลอดบุตรชายฝาแฝดเจ้าค่ะ”เซียวป๋อเหวินที่ยืนรอฟังอยู่นอกห้องถึงกับยืนนิ่งไปพักหนึ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน ทั้งดีใจและผิดหวังในเวลาเดียวกัน เขาได้ยินเสียงเด็กร้องสองคน ใจหนึ่งก็ปลื้มใจที่ได้ลูกชา
ตอนพิเศษ 2 แขกผู้มาเยือน เซียวป๋อเหวินควบม้ามุ่งหน้าไปยังวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าห้องเต้ ส่วนรถม้านั้นเคลื่อนตัวเข้ามายังประตูหน้าของจวนตระกูลเซียว จวนที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้แม่ทัพเซียวป๋อเหวินเป็นกรณีพิเศษเพื่อเป็นเกียรติในความชอบ ความกล้าหาญและความซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินฟางหนิงฮวาอุ้มเซียวจ้านลงจากรถม้า สายตากวาดมองจวนหลังใหญ่เบื้องหน้า ตัวอาคารโอ่อ่า แฝงกลิ่นอายของตระกูลขุนนางชั้นสูง ผนังปูนสีขาวสลับไม้สักแดงสนิท ประตูใหญ่ตั้งตระหง่าน เสาหินแกะสลักลวดลายมังกรรายเรียงอย่างสง่างามทว่าทันทีที่สายตาของนางเหลือบไปทางหน้าประตูจวนนางก็ต้องขมวดคิ้วทันทีหญิงสาวผู้หนึ่งในชุดผ้าไหมสีม่วงอ่อนยืนรออยู่หน้าจวน ใบหน้างามสง่าแลดูอ่อนวัย เรือนผมดำขลับถูกรวบไว้เรียบร้อยด้วยปิ่นทองรูปผีเสื้อ ชุดแต่งกายบ่งบอกถึงฐานะไม่ธรรมดา นางยืนสงบตรงนั้นราวกับกำลังเฝ้ารอใครสักคนมาเนิ่นนานเมื่อหญิงสาวเห็นฟางหนิงฮวาและเด็กน้อยเดินเข้ามา นางก็ยิ้มบางแล้ว
ตอนพิเศษ 1 เดินทางกลับเมืองหลวง ยามเช้าตรู่ของฤดูใบไม้ผลิ อากาศเย็นสบายท่ามกลางหมอกจาง ๆ ที่ลอยอยู่เหนือพื้นดิน เซียวป๋อเหวิน ฟางหนิงฮวา และเซียวจ้านน้อย บุตรชายวัยห้าขวบของพวกเขา กำลังออกเดินทางกลับเมืองหลวงอย่างช้า ๆ ด้วยรถม้าที่มีธงเครื่องหมายตระกูลกองทัพรักษาดินแดนเหนือประดับอยู่ข้างตัวรถหลังจากได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ให้พักผ่อนสักระยะ ก่อนจะกลับไปรับตำแหน่งในราชสำนัก เซียวป๋อเหวินจึงตัดสินใจพาภรรยาและบุตรชายเดินทางอย่างไม่รีบร้อน แวะพักตามเมืองต่าง ๆ เพื่อให้ลูกชายได้เรียนรู้โลกกว้างและให้ตนเองได้พักใจจากความวุ่นวายที่ผ่านมารถม้ามาถึงเมืองซีเป่ย เมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำอวิ๋นเผิง ทิวทัศน์โดยรอบงดงามด้วยภูเขาสีเขียวที่ทอดยาวกับแม่น้ำใสสะอาด เซียวป๋อเหวินเคยมาเยือนเมืองนี้เมื่อครั้งที่เขาวางแผนรบกับพวกเฮยจั้ง เห็นว่าทิวทัศน์ที่นี่เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจยิ่งนักเลยชวนภรรยากับบุตรชายพักค้างคืนกันสักคืนสองคืน“หน
บทที่ 55 ข่าวดีอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงของอาวุธทกระทบกันที่เกิดจาการซ้อมรบในค่าย นายทหารส่งสารผู้หนึ่งขี่ม้าวิ่งเข้ามาในค่ายด้วยความเร็วสูงก่อนที่จะหยุดลงที่หน้ากระโจมบัญชาการของท่านแม่ทัพ เซียวจ้านวัยห้าขวบเห็นม้าวิ่งมาจนฝุ่นตลบก็ตื่นเต้นดีใจ คิดว่าต้องมีเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างเช่นข้าศึกบุกมาอย่างแน่นอน เมื่อทหารส่งสารผู้นั้นขออนุญาตเข้ามาในกระโจมเขาก็มองจดหมายในมือของนายทหารผู้นั้นไม่วางตา “มีคำสั่งจากวังหลวงขอรับท่านแม่ทัพ” นายทหารผู้นั้นยื่นจดหมายในมือให้กับเซียวป๋อเหวิน เซียวป๋อเหวินรับจดหมายนั่นมาก่อนจะเปิดดู เขากวาดสายตาอย่างรวดเร็วอ่านจดหมายนั้น เมื่ออ่านจบก็ถึงกับยิ้มขึ้นมา “มีอะไรหรือเจ้าคะท่านพี่ เป็นเรื่องดีใช่หรือไม่” ฟางหนิงฮวาถาม&nbs
บทที่ 54 แม่ทัพน้อย หลายเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟางหนิงฮวาผู้เคยสง่างามบัดนี้มีท้องนูนโต เดินเหินลำบาก แม้จะพยายามรักษาท่าทีให้สงบงดงามเหมือนเดิมแต่ทุกย่างก้าวกลับเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าเซียวป๋อเหวินที่ครั้งหนึ่งเคยคร่ำเคร่งอยู่ในสนามรบ บัดนี้กลับเปลี่ยนบทบาทมาเป็นสามีผู้เฝ้าดูแลภรรยาไม่ห่าง สายตาเขาอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่อนุญาตให้นางทำอะไรหนักเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ยื่นมือไปหยิบน้ำชาเองเขายังรีบเข้ามาช่วย“เหนื่อยหรือไม่” เขามักจะถามทุกครั้งที่เห็นนางลูบท้องเบา ๆฟางหนิงฮวาเพียงยิ้มจาง ๆ พลางตอบเสียงเบา “ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ เพียงแต่หิวบ่อยไปหน่อย”“หิวหรือ ข้าจะไปสั่งให้แม่ครัวต้มโจ๊กให้เดี๋ยวนี้” ไม่รอคำตอบเขาก็ลุกขึ้นแล้วออกไปทันทีฟางหนิงฮวามองตามแผ่นหลังกว้างนั้นอย่างซาบซึ้ง หัวใจอบอุ่นทุกครั้งที่เห็นเขาเป็นห่วงตนถึงเพียงนี้วันเวลาผ่านไปจนกร
บทที่ 53 คืนเข้าหอที่รอคอย หลังจากที่ดื่มกับเหล่าทหารพอหอมปากหอมคอแล้วเซียวป๋อเหวินก็กลับเข้ามาที่จวน เพราะสิ่งที่เขารอคอยอยู่ตรงหน้านั้นสำคัญยิ่งกว่าการการดื่มฉลองเป็นไหน ๆ เจ้าสาวของเขายังคงนั่งรออยู่ในห้องหอ รอให้เข้าไปเปิดผ้าคลุมหน้าและครองรักชื่นมื่นกันภายใต้ห้องหอที่มีเพียงแต่พวกเขาสองคน เซียวป๋อเหวินกระโดดลงจากหลังม้าแล้วมุ่งตรงไปยังห้องหอทันที เขาจินตนาการถึงใบหน้าที่งดงามของหญิงสาวอันเป็นที่แล้วก็อดไม่ไหวที่จะเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงห้องหอโดยเร็ว เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามทีก่อนที่ชายหนุ่มจะเปิดประตูเข้ามา เข้าก้าวเท้าเข้ามาอย่างแผ่วเบาก่อนที่จะปิดประตูลงอย่างแผ่วเขาเช่นกัน “รอนานหรือไม่” เขาเอ่อยถาม &ldquo







