ย้อนกลับไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หยางจื้อเจ๋อที่ประสบอุบัติเหตุรถเสียหลักพุ่งเข้าชนต้นไม้ข้างทาง เขาเสียชีวิตบนรถฉุกเฉินระหว่างที่นำตัวส่งโรงพยาบาล วิญญาณของเขาออกจากร่างแล้วนั่งมองตนเองนอนอยู่ในรถอย่างสิ้นหวัง
เขาเพิ่งอายุเพียงแค่สามสิบต้น ๆ กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นและใกล้ถึงจุดที่เรียกว่าประสบความสำเร็จในชีวิต อีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็จะถอนตัวจากเบื้องหน้าแล้วมาทำเบื้องหลังเป็นผู้กำกับอย่างเต็มตัว ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดสวรรค์ถึงไม่ให้เขามีโอกาสนั้น
พยาบาลที่อยู่ในรถฉุกเฉินต่างก็พยายามช่วยชีวิตเขาอย่างเต็มที่ แต่ในที่สุดก็สายไปเสียแล้ว เมื่อเสียงของเครื่องวัดสัญญาณชีพในรถพยาบาลดังยาวเป็นสัญญาณบอกว่าผู้ป่วยได้หมดลมหายใจ
เมื่อร่างของเขาถึงที่โรงพยาบาลได้ไม่นาน พ่อกับแม่ของเขาก็บินตรงมาจากต่างเมืองเพื่อมาดูอาการของลูกชาย พวกเขามีลูกชายเพียงคนเดียวและคาดหวังว่าเขาผู้นี้จะเป็นผู้สืบทอดวงศ์ตระกูล แต่แล้วเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้ก็เกิดขึ้นทำเอาเหลียวหนิงมารดาของหยางจื้อเจ๋อแทบล้มทั้งยืน
"ทางเราต้องขอแสดงความเสียใจกับญาติของผู้เสียชีวิตด้วยนะครับ หมอพยายามอย่างสุดฝีมือแล้วจริง ๆ" หมอหนุ่มในชุดขาวเดินออกมาจากห้องบอกข่าวร้ายให้กับพ่อแม่ของหยางจื้อเจ๋อ
เหลียวหนิงได้ยินคำพูดจากหมอแล้วก็เป็นลมล้มพับลงไปในทันที ผู้ที่ยังยืนหยัดอยู่ได้ในตอนนี้เห็นจะมีเพียงหยางจื่อเฟยพ่อของหยางจื้อเจื๋อเท่านั้น
"ขอบคุณหมอมากครับ พวกเราเข้าใจดี คนเราเมื่อถึงเวลาต้องจากไปย่อมไม่มีอะไรขวางกั้นไว้ได้" ชายวัยกลางคนตอบ น้ำตาของเขาคลอเบ้า
พยาบาลที่อยู่ตรงนั้นรีบมารับตัวแม่ของหยางจื้อเจ๋อไปพักผ่อนที่ห้องรับรองทันที ส่วนพ่อของเขานั้นก็จัดการคุยเรื่องการนำศพของหยางจื้อเจ๋อออกจากโรงพยาบาลเพื่อไปทำพิธีต่อไป
จังหวะที่แม่ของตนล้มลงนั้นวิญญาณของหยางจื้อเจ๋อรีบวิ่งไปประคองไว้ทว่าเขาเป็นเพียงวิญญาณตนหนึ่งจึงไม่สามารถทำอะไรได้ ทำได้แต่เพียงมองพ่อกับแม่ที่หลั่งน้ำตาออกมาต่อหน้าด้วยความเจ็บปวดหัวใจ ในใจก็คิดโทษตัวเองว่ายังไม่ทันจะได้ตอบแทนบุญคุณของท่านทั้งสองก็มาชิงตายไปก่อน แล้วต่อจากนี้ใครจะดูแลพวกท่านยามแก่เฒ่า
หัวอกของคนเป็นพ่อแม่แม่ต้องเสียลูกชายที่รักที่สุดไปนั้นย่อมเจ็บปวดรวดร้าวยิ่ง กว่าที่หยางจื้อเจ๋อจะเติบโตขึ้นมาได้ขนาดนี้พ่อและแม่ของเขาทุ่มเทและมอบความรักไปตั้งมากมายเท่าไร แต่สวรรค์กลับไม่ยุติธรรมเลยที่มาพรากลูกชายของพวกเขาไป กลายเป็นว่าคนหัวหงอกส่งคนหัวดำเสียอย่างนั้น และนับจากนี้ต่อไปพวกเขาจะอยู่อย่างไร
ตอนนี้หยางจื้อเจ๋อเป็นเพียงวิญาญาณที่เปลี่ยวเหงาและว้าเหว่ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อดี เขาเดินออกจากโรงพยาบาลมาหาที่นั่งพักเงียบ ๆ ที่สวนด้านหน้า มองไปยังแม่น้ำที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงพยาบาลเพื่อคิดทบทวนสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาในชีวิตของเขา ยิ่งคิดมากเท่าไรก็รังแต่จะเพิ่มความเศร้าเสียใจให้กับตนเองมากเท่านั้น
ยังดีที่ที่ผ่านมาเขาเป็นคนขยันและตั้งใจ ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจนสามารถสร้างฐานะที่มั่นคงขึ้นมาได้ อย่างน้อยเมื่อเขาจากไปแล้วก็ยังคงทิ้งทรัพย์สินเอาไว้ให้พ่อแม่ใช้ได้อย่างสุขสบายไปอีกนาน อีกทั้งตอนนี้ก็ไม่ได้มีภาระอะไร ไม่มีภรรยา ไม่มีลูก ดังนั้นการจากไปของเขาในครั้งนี้จึงไม่แย่อย่างที่คิด
หยางจื้อเจ๋อเดินไปเรื่อย ๆ สำรวจเมืองที่ตนเองคุ้นเคย ตอนนี้เขาสามารถเดินไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้อย่างอิสะโดยที่ไม่มีพวกซาแซงมาล้อมหน้าล้อมหลังอีกแล้ว ความรู้สึกในตอนนี้สงบมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เดินอย่างล่องลอยไปเรื่อย ๆ ก็มาถึงบ้านของตนเอง ทุกอย่างในบ้านยังคงเหมือนเดิมมีเพียงแค่ความรู้สึกของเขาเท่านั้นที่เปลี่ยนไป อยู่ ๆ ก็รู้สึกห่างเหินกับบ้านหลังนี้ขึ้นมา ภายในใจก็พลันคิดว่าเมื่อตายไปแล้วจะไปอยู่ตรงไหนดี ยังคงอยู่ที่บ้านหลังนี้ต่อไปได้อีกหรือเปล่า
ฉับพลันเสียงรถหลายคันมาจอดที่หน้าบ้าน เป็นรถที่ขนร่างของหยางจื้อเจ๋อนั่นเอง พ่อกับแม่ของเขาเพียงแวะเข้ามาเอาของบางอย่างที่บ้านหลังนี้จากนั้นก็จะพาร่างของลูกชายเพียงคนเดียวกลับบ้านเกิดไปทำพิธีตามธรรมเนียม
หยางจื้อเจ๋อไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรกับวิญญาณที่ไร้ร่างของตนต่อไปจึงได้ก้าวขึ้นรถตามพ่อแม่กลับไปยังบ้านเกิดด้วย
พิธีศพของเขาจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่สุสานของบรรพชน ผู้คนมาร่วมงานมากมายทั้งเหล่าผู้กำกับและทีมงานที่เขาเคยร่วมงานด้วย ญาติตระกูลหยางที่ยิ่งใหญ่กว่าร้อยคน รวมทั้งบ้านแฟนคลับที่ชื่นชมเขาก็ส่งตัวแทนมาแสดงความเสียใจเช่นกัน
หยางจื้อเจ๋อยืนมองพวกเขาหลั่งน้ำตาอย่างเศร้าโศก ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้รู้ว่าเขามีคนที่รักมากมายแค่ไหน ทุกคนต่างก็มาส่งให้เขาไปสู่สุคติกันทั้งนั้น พ่อกับแม่ของเขายามนี้คิดว่าคงทำใจได้แล้วเพราะผู้คนรอบข้างต่างก็ให้กำลังใจท่านทั้งสองไม่น้อยเช่นกัน
ถึงเวลาที่เขาจะต้องจากไปเสียที ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ต้องจากไปไหน ตอนเด็กเคยได้ยินมาว่าหากตายไปแล้วจะมีคนมาพาไปในที่ที่สมควรไป แต่ทว่าจนบัดนี้แล้วยังไม่มีใครมาพาเขาไปสักที
เมื่อกลับหลังหันจะเดินจากไปหยางจื้อเจ๋อก็ถึงกับต้องผงะเมื่อมีบุรุษผู้หนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้าห่างกันเพียงแต่ไม่ถึงไม้บรรทัด ชายผู้นี้มีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกันกับเขาทุกประการจนเขาถึงกับมองแล้วอึ้ง หลังจากที่ขยี้ตาเพื่อดูให้แน่ชัดแล้วก็มั่นใจว่าตนเองไม่ได้ตาฝาดไปจริง ๆ
ชายผู้นี้แต่งตัวในชุดของนักรบโบราณ สวมเสื้อเกราะเต็มยศ แต่ทว่าตามเนื้อตามตัวกลับมีเลือดอาบเต็มไปหมด ทั้งส่วนอื่นของร่างกายที่โผล่พ้นชุดเกราะออกมานั้นก็มีรอยแผลอยู่นับไม่ถ้วน คาดเดาได้ไม่ยากว่าก่อนตายเขาต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสมาแน่ ๆ
พวกเขาจ้องมองกันอยู่สักพักจนในที่สุดชายในชุดนักรบผู้นั้นก็เป็นผู้เอ่ยปากก่อน "หมดเวลาของเจ้าที่นี่แล้ว"
"หมายความว่าผมต้องไปอยู่ที่ที่สมควรอยู่แล้วใช่ไหม แล้วคุณก็เป็นคนที่มารับผม" เมื่อถามออกไปแล้วเขาก็ต้องแปลกใจเล็กน้อย เพราะเคยมีภาพฝังในใจจากการดูละครสมัยเด็กว่าผู้ที่มารับดวงวิญญาณไปสมควรจะเป็นตาแก่ชุดขาวหรือไม่ก็วิญญาณของบรรพบุรุษสิ แล้วทำไมของเขาถึงกลายเป็นวิญญาณของนักรบคนนี้ไปได้ล่ะ หรือว่านักรบคนนี้จะเป็นบรรพบุรุษของเขา
"ข้าไม่ได้จะมาพาเจ้าไป เจ้าต้องไปต่อเองเพียงแต่จะมาฝากฝังเรื่องบางอย่างเท่านั้น" ชายในชุดนักรบกล่าว
"เรื่องอะไร" หยางจื้อเจ๋อถาม
ชายในชุดนักรบยกมือข้างหนึ่งที่เปื้อนเลือดของเขาขึ้นมาวางที่บ่าของหยางจื้อเจ๋อ "ตอนนี้เมืองถู่หยางต้องการคนที่เป็นเสาหลักที่จะสามารดูแลเมืองและชาวเมืองได้ ยิ่งช่วงนี้มีสงคราม ข้าอยากให้เจ้าดูแลเมืองถู่หยางให้ดี"
ได้ฟังแล้วหยางจื้อเจ่อก็งุนงงหนักเข้าไปอีก แต่เมื่อจะเอ่ยปากถามก็ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหนแล้ว เพียงชั่วพริบตาเดียวเขากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียอย่างนั้น
เบื้องหน้ามีแสงสีขาวส่องสว่างอยู่ แสงนั้นเจิดจ้าเป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าคนอื่น ณ ที่นั้นจะเห็นเหมือนเขาหรือเปล่า แต่ว่าเขาอยากรู้มากจึงได้เดินตามแสงนั่นไป
แสงนั่นสว่างจนแสบตาทำให้เขาต้องหลับตาลง แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาก็กลับกลายเป็นว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว
บทที่ 14 แม่สื่อแม่ชัก ออกจากเหลาสุราก็เดินตรงไปยังร้านขายหมูของต้าเป่าทันที ที่ร้านขายหมูตอนนี้วุ่นวายมากเพราะใกล้จะถึงงานเทศกาลตวนอู่แล้ว ผู้คนจึงออกจากบ้านมาจับจ่ายซื้อของไปทำบ๊ะจ่างกันมากมายเต็มตลาดไปหมด กว่าที่ฟางหนิงฮวาจะเบียดฝ่าฝูงชนเข้าไปในร้านขายหมูได้ก็เล่นเอาเหงื่อตกเช่นกัน เทศกาลตวนอู่หรือเทศกาลบ๊ะจ่างเป็นเทศกาลสำคัญ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 5 เดือน 5 บรรยากาศของเทศกาลอบอวลไปด้วยกลิ่นไอของวัฒนธรรมและประเพณี ผู้คนจะเริ่มเตรียมตัวกันตั้งแต่เช้าตรู่ หญิงสาวช่วยกันห่อบ๊ะจ่างด้วยใบไผ่หรือใบหญ้าเรียวยาว ภายในห่อข้าวเหนียวสอดไส้ด้วยหมูแดง ถั่ว หรือไข่แดงเค็ม กลิ่นหอมของบ๊ะจ่างลอยคลุ้งไปทั่วลานบ้านชายฉกรรจ์จะนำเรือมังกรออกมาเพื่อเตรียมแข่งในแม่น้ำ เสียงกลองกระหึ่มกึกก้อง ผสมกับเสียงร
บทที่ 13 สุราที่นี่ก็ไม่เท่าไร หนึ่งเดือนผ่านไปฟางหนิงฮวาก็เริ่มคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในเมืองถู่หยางแล้ว ถึงแม้ว่าจะคิดถึงที่ที่จากมาอยู่บ้างแต่ว่าที่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หนักใจอะไร คนที่คิดถึงก็เห็นจะมีแค่เสี่ยวปิงกับคนที่ร้านอาหารเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรพวกเขาย่อมต้องมีชีวิตของตนเองต่อไป ถึงนางไม่จากตายก็ต้องมีวันใดวันหนึ่งจากเป็นอยู่ดี การที่ได้มาเกิดใหม่ที่นี่ก็ดีไม่น้อย นางมีทั้งพ่อแม่ทั้งอารองที่รักและคอยดูแลนาง เมื่อเทียบกับชาติที่แล้วที่ไม่มีญาติเลยแม้แต่คนเดียวนั้นก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นกว่ามาก การได้อยู่กันพร้อมหน้าครอบครัวเป็นอะไรที่มีความสุขยิ่งซึ่งนางไม่เคยสัมผัสมาก่อนชีวิตที่นี่ก็เรียบง่ายไม่ต้องทำงานแข่งกับเวลาหรือว่าแข่งขันกันเพื่อความก้าวหน้า อาจจะมีบ้างในคนระดับสูงแต่ไม่ใช่บุตรสาวร้านขายซาลาเปาเช่นนาง งานที่ต้องทำก
บทที่ 12 ข่าวดีของเมืองถู่หยางที่มาพร้อมกับซิกแพค ข่าวของท่านเจ้าเมืองถูกติดประกาศตามพื้นที่ต่าง ๆ รอบเมืองถู่หยาง ชาวเมืองต่างก็มาดูประกาศกันอย่างตื่นเต้น ในเมื่อประกาศจากจวนเจ้าเมืองยืนยันเป็นที่แน่ชัดว่าท่านเจ้าเมืองของพวกเขาฟื้นแล้วทุกคนต่างก็ดีใจมาก ถึงขั้นจัดฉลองกันใหญ่ โดยเฉพาะบรรดาหญิงสาวที่ชื่นชอบท่านเจ้าเมือง พวกนางดีใจจนถึงกับน้ำตาไหล ต่างจับมือกันอย่างปลาบปลื้ม บ้างกราบไหว้ฟ้าดินไม่หยุดพร่ำพูดว่าขอบคุณสวรรค์ที่เมตตา พวกนางยังคงไปยืนออกันอยู่ที่หน้าประตูจวนเจ้าเมืองเช่นเคย คราวนี้เหมือนว่าพวกนางจะรวมตัวกันเยอะกว่าเดิมเสียอีก ของเยี่ยมต่าง ๆ ถูกนำมาให้เหล่าองครักษ์ขนกลับเข้าจวนไปนับไม่ถ้วน แต่ถึงอย่างไรพวกนางก็ยังคงไม่ได้เข้าไปเยี่ยมท่านเจ้าเมืองอยู่ดีเพ
บทที่ 11ท่านเจ้าเมืองฟื้นแล้วเมื่อลืมตาขึ้นมาหยางจื้อเจ๋อก็พบกับแสงสว่างอีกครั้งแต่เป็นแสงสว่างที่ส่องผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาในห้องที่นอนอยู่ เขากวาดตามองไปรอบห้องช้า ๆ ไม่สามารถหันหน้าได้ถนัดเนื่องจากรู้สึกเจ็บปวดที่ต้นคออยู่ไม่น้อย ห้องที่นอนอยู่นั้นมองแล้วรู้สึกไม่คุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง ทุกอย่างภายในห้องดูเหมือนจะไม่ใช่โลกปัจจุบันที่เขาเคยอยู่ ทั้งรูปแบบการตกแต่งห้องที่แปลกตา ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ดูแล้วนะจะเหมือนจวนของชนชั้นสูงในยุคโบราณมากกว่า แต่ที่แปลกกว่านั้นก็คือเหตุใดอยู่ ๆ เขามีมีอาการเหมือนคนได้รับบาดเจ็บ หรือว่าจะเป็นเพราะเหตุการณ์รถชน พอคิดดูอีกครั้งก็รู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะว่าเขาเองก็ตายไปแล้วและร่างก็ถูกฝังไปเมื่อสักครู่นี้ซึ่งเขาเห็นมันด้วยตาของตัวเองหยางจื้อเจ๋อพยายามยามยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งแต่ทว่าความ
ย้อนกลับไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หยางจื้อเจ๋อที่ประสบอุบัติเหตุรถเสียหลักพุ่งเข้าชนต้นไม้ข้างทาง เขาเสียชีวิตบนรถฉุกเฉินระหว่างที่นำตัวส่งโรงพยาบาล วิญญาณของเขาออกจากร่างแล้วนั่งมองตนเองนอนอยู่ในรถอย่างสิ้นหวัง เขาเพิ่งอายุเพียงแค่สามสิบต้น ๆ กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นและใกล้ถึงจุดที่เรียกว่าประสบความสำเร็จในชีวิต อีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็จะถอนตัวจากเบื้องหน้าแล้วมาทำเบื้องหลังเป็นผู้กำกับอย่างเต็มตัว ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดสวรรค์ถึงไม่ให้เขามีโอกาสนั้น พยาบาลที่อยู่ในรถฉุกเฉินต่างก็พยายามช่วยชีวิตเขาอย่างเต็มที่ แต่ในที่สุดก็สายไปเสียแล้ว เมื่อเสียงของเครื่องวัดสัญญาณชีพในรถพยาบาลดังยาวเป็นสัญญาณบอกว่าผู้ป่วยได้หมดลมหายใจ เมื่อร่างของเขาถึงที่โรงพยาบาลได้ไม่นาน พ่อกับแม่ของเขาก็บินตรงมาจากต่างเมืองเพื่อมาดูอาการของลูกชาย พวกเขามีลูกชายเพียงคนเดียวและคาดหวังว่าเขาผู้นี้จะเป็นผู้สืบท
เมื่อทำหน้าที่ของตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้วฟางหนิงฮวาก็กลับมาที่ร้านอย่างสบายใจ หลังจากนั้นจึงทำหน้าที่ปั้นแป้งซาลาเปาต่อ ร้านนี้ไม่ได้ขายดีเพียงแค่ช่วงเช้าหรือว่าช่วงที่ผู้คนพักกินข้าวกันเท่านั้นแต่ทว่าขายดีทั้งวัน เพราะเมืองถู่หยางนั้นมีผู้คนมากมาย แต่ละคนทำงานไม่เหมือนกันเวลาพักกินข้าวบางครั้งก็ไม่ตรงกัน ดังนั้นซาลาของร้านสกุลฟางจึงขายได้ทั้งวัน ที่ร้านไม่ได้มีเพียงแค่ซาลาเปาอย่างเดียวยังมีหมั่นโถวขายด้วย ฟางหนิงฮวาไม่คิดว่าสวรรค์จะเข้าข้างตนเองถึงเพียงนี้ ชาติที่แล้วได้ทำงานที่ตัวเองรักนั่นก็คือการเป็นเชฟ พอตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ยังได้เกิดเป็นบุตรสาวร้านขายซาลาเปาอีก ช่างมีความสุขจริง ๆ นางคิดเล่น ๆ ว่าในภายภาคหน้าหากคุ้นเคยกับเมืองนี้และรู้เรื่องลู่ทางการทำมาหากินแล้วก็อยากจะขยายร้านซาลาเปาให้เป็นร้านอาหารที่โด่งดังที่สุดในเมืองถู่หยางพูดถึงร้านอาหารแล้วที่เมือ