LOGINตอนที่
11
เงินลงทุน
หลินหว่านเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเบาสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน นางลุกขึ้นอย่างเงียบๆ และเดินไปยังที่ซ่อนเงินที่ขุดไว้ใต้พื้นดิน นางนำถุงผ้าออกมาอย่างระมัดระวัง เมื่อคลี่ดูเงินที่รวบรวมมาได้ นางก็นับจำนวนอย่างละเอียด
“บะหมี่ที่ขายได้เมื่อวาน ค่าแรงที่จงซิ่นให้มันมากมายเหลือเกิน และดวงตาของหลินหว่านเอ๋อร์เบิกกว้างเมื่อเห็นก้อนเงินแท้ที่สลักอย่างสวยงาม วางอยู่ปะปนกับอีแปะ นางจำได้ว่าเงินก้อนนี้เป็นของลูกค้าที่ยกบะหมี่ชามสุดท้ายให้กับอาเหมย
“ลูกค้าลึกลับผู้สั่งบะหมี่คนนั้น เขาเป็นใครกันแน่และเหตุใดจึงให้ก้อนใหญ่เกินความจำเป็นเช่นนี้ เขาต้องการอะไร” ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเชฟสาวทะลุมิติมา แต่นางก็เก็บความสงสัยไว้ก่อนเพราะความจำเป็นในการเริ่มต้นชีวิตใหม่นั้นสำคัญกว่าความสงสัยในตอนนี้
นางตัดสินใจซ่อนเงินก้อนนั้นไว้ในตัวเพื่อใช้เป็นทุนสำรองและเริ่มปลุกลูกๆ
“อาเป่า อาเหมย” หลินหว่านเอ๋อร์เรียกลูกทั้งสองของนางที่ตอนนี้กำลังนอนงัวเงียไม่ยอมตื่นอาจจะเป็นเพราะเมื่อวานเด็กทั้งสองช่วยงานแม่อย่างหนักและเหนื่อยมากๆ นางยื่นแก้มไปแนบกับแก้มของบุตรชายและบุตรสาวเบาๆ
“ลุกขึ้นเถอะลูกรัก วันนี้เราจะไปดูที่ทางเพื่อเปิดร้านของเราแล้วนะ”
“เมื่อได้ยินคำว่าร้าน อาเป่าก็ลืมตาขึ้นทันทีด้วยความกระตือรือร้น ส่วนอาเหมยก็คิดว่าเปิดร้านหมายถึงนางจะได้กินอาหารอร่อยๆ ในทุกๆ วัน
“เราจะได้ไปขายอาหารหรือขอรับ อย่างนี้เราก็จะมีเงินเยอะ แล้วยายใจร้ายก็จะไม่มาวุ่นวายกับเราอีกแล้วใช่หรือไม่ขอรับท่านแม่” อาเป่าเอ่ยถามขึ้นมาแล้วก็ทำตาเป็นประกายอย่างมีความหวัง
“ใช่แล้วจ้ะลูกรักของแม่” หลินหว่านเอ๋อร์บอกกับอาเป่าแล้วก็ยิ้มออกมา
“ท่านแม่ ข้าก็จะได้ทานอาหารอร่อยด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ” อาเหมยเอ่ยถามขึ้นมาอีกคนตามประสาเด็กน้อยชอบกิน
“ใช่แล้วอาเหมย ต่อจากนี้ลูกจะได้กินอาหารอร่อยๆ และไม่ต้องหิวโหยอีกต่อไปแล้วและเราก็จะไม่ลำบากอีกต่อไปแล้วลูกรัก” หลินหว่านเอ๋อร์พูดพลางกอดลูกๆ ไว้แน่น
“วันนี้เราต้องเดินเข้าไปที่ตลาดเพื่อหาร้านเพื่อเปิดร้านอาหารของเราและเราจะไปจากกระท่อมเก่าๆ หลังนี้ เมื่อเรามีเงินมากพอเราจะกลับมาที่นี่เพื่อสร้างบ้านของเรา” หลินหว่านเอ๋อร์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยพลังและยังส่งต่อพลังนี้ให้กับลูกๆ ได้อีกด้วย
“อาเหมยเจ้าไม่ต้องหิวอีกแล้วนะ เจ้ารู้ไหม” อาเป่าพูดพร้อมกับน้ำตาคลอเมื่อมองใบหน้าของน้องสาว อาเป่าจำวันที่น้องสาวร้องไห้เพราะความหิวแต่ไม่มีอะไรให้กินนอกจากข้าวเปล่าเท่านั้น
ขณะที่หลินหว่านเอ๋อร์กำลังช่วยลูกๆ จัดเก็บข้าวของเครื่องใช้เล็กน้อยเพื่อเดินไปที่ตลาดหาร้านที่เหมาะสมแก่การเปิดร้านอาหารแต่อยู่ๆ เสียงเคาะประตูที่หนักแน่นและสุภาพก็ดังขึ้น นางเปิดประตูออกไปก็ต้องประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นจงซิ่นองครักษ์ผู้เงียบขรึมยืนอยู่ตรงหน้า เขาไม่ได้อยู่ในชุดเต็มยศ แต่สวมเสื้อผ้าแบบชาวบ้านชั้นดีที่ดูยังไงนางก็มั่นใจว่าไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา
“ท่านจงซิ่น” หลินหว่านเอ๋อร์อุทานอย่างตกใจ
“ท่านมาที่นี่ได้อย่างไรคะ”
จงซิ่นผายมือเล็กน้อยอย่างสุภาพ “แม่นางหลินอย่าตกใจ ข้ามาตามคำสั่งของนายท่าน”
“นายท่านของท่านหรือเจ้าคะ”
“ใช่แล้ว” จงซิ่นกล่าวเสียงเรียบ
“นายท่านของข้าคือพ่อค้าใหญ่ ที่ได้ลิ้มลองบะหมี่ของเจ้าเมื่อวาน นายท่านประทับใจในฝีมือของเจ้ามาก และประสงค์ยื่นข้อเสนอดีๆ ให้กับเจ้า”
เขาเดินเข้ามาในกระท่อมโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่นางก็ไม่กล้าห้าม
“นายท่านของข้าเป็นพ่อค้าที่มองหาผู้มีความสามารุถด้านอาหารมาทำธุรกิจร่วมด้วย” จงซิ่นกล่าวต่ออย่างตรงไปตรงมา
“นายท่านเห็นว่าแม่นางหลินมีพรสวรรค์ จึงให้ข้ามาบอกว่าท่านมีเรือนไม้ทำเลทองอยู่ที่ตลาดใหญ่ มันเป็นทำเลที่ยอดเยี่ยมมาก นายท่านเสนอให้แม่นางไปใช้ที่นั่นเพื่อเปิดร้านอาหารและจะช่วยเหลือเรื่องเงินลงทุนทั้งหมด”
หลินหว่านเอ๋อร์ตกตะลึงกับข้อเสนอที่มาอย่างกระทันหันและความใจกว้างที่เกินกว่าเหตุนี้ มันสอดคล้องกับเงินที่อยู่ในถุงผ้าของนางอย่างประหลาดใจ
“ท่าน นายท่านของท่านต้องการอะไรจากข้ากันแน่เจ้าคะ ข้าเป็นเพียวแม่ม่ายยากจน ท่านจะลงทุนให้ข้าโดยไม่หวังผลกำไรได้อย่างไร” นางถามอย่างระแวง
ในขณะที่หลินหว่านเอ๋อร์กำลังเผชิญหน้ากับจงซิ่น เสียงใสๆ ของบุรุษอีกคนก็ดังขึ้นจากหน้ากระท่อม
“ขออภัยที่ข้าต้องรบกวนในยามเช้า แต่ข้าบังเอิญผ่านทางมาและได้ยินชื่อเสียงของบะหมี่ไข่มังกรที่ลือชื่อ”
คุณชายเว่ย (เว่ยจื่อเหยียน) ปรากฏตัวเขาเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามที่มีรอยยิ้มอบอุ่นและสุภาพอ่อนโยน เขาสวมชุดผ้าไหมสีฟ้าอ่อนที่บ่งบอกถึงฐานะอันสูงส่ง เขามองเข้ามาในกระท่อมด้วยท่าทีสนใจ
“คุณชายเว่ยเจ้าคะ บะหมี่ไข่มังกรของข้าหมดลงแล้ว แต่ข้ามีความยินดีที่จะทำให้ท่านได้ทานแต่ต้องรอวันที่ข้าเปิดร้านเสียก่อนเจ้าค่ะ” หลินหว่านเอ๋อร์กล่าวอย่างสุภาพแต่มองคุณชายเว่ยอย่างสังเกต
คุณชายเว่ยไม่สนใจข้อเสนออาหาร เขากลับยิ้มและหันมาพูดกับนางเอกด้วยน้ำเสียงที่หยั่งเชิง
“ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก แต่ไม่เป็นไร ข้าได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับแม่นางมาพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องความสามารถในการหาเงิน” เขาเอ่ยออกมาในขณะที่จงซิ่นก็กำลังจ้องมองเว่ยจื่อเหยียนด้วยความสงสัยว่าเขาเข้าหาหลินหว่านเอ๋อร์เพราะอาหารอร่อยหรืออยากเข้าใกล้ชิดนางเพราะความเสน่หากันแน่
ตอนที่14เนรมิตเรือนไม้ทำเลทอง (2) หลินหว่านเอ๋อร์สวมชุดเรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้าน นางจูงมืออาเป่าสะพายถุงผ้าขนาดใหญ่ เดินเข้าไปในตลาดด้วยความมั่นใจเพื่อเฟ้นหาวัตถุดิบพิเศษสำหรับเมนูเปิดร้าน ก่อนออกมา นางได้ขอให้จงซิ่น ซึ่งมาดูผลงานของคนงาน ช่วยดูแลอาเหมยเป็นการชั่วคราว “อาเป่า” นางกระซิบ “วันนี้เราต้องหาพริกไทยดำเม็ดเล็กและสมุนไพรใบหยกมาให้ได้นะเพื่อทำน้ำซุปของเรา” “ได้ขอรับท่านแม่ ข้าจะถามทุกร้านที่คิดว่ามีเลยขอรับ” “เยี่ยมมากเลยลูก ช่างเป็นลูกชายที่ช่วยแม่ได้เก่งที่สุดเลยลูก” “ข้าอยากทำอาหารเก่งเหมือนท่านแม่ขอรับ” อาเป่ากล่าวด้วยแววตาเป็นประกาย “เจ้าต้องทำอาหารเก่งเหมือนแม่แน่ๆ เดี๋ยวแม่สอนให้ลูกทุกอย่างเลย” อาเป่ายิ้มให้กับแม่แล้วก็เดินนำหน้ามารดาเพื่อตามหาเครื่องเทศที่มารดาต้องการ เมื่อเดินไปถึงแผงขายเครื่องเทศที่ใหญ่ที่สุด หลินหว่านเอ๋อร์กำลังจะเอ่ยปากสั่งซื้อ ทันใดนั้นเสียงตะโกนกึกก้องก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “พ่อค้า เครื่องเทศชั้นดีทั้งหมดที่เจ้ามี ข้าเหมาหมด” นายจ้างจู เจ้าของร้านบะหมี่ชื่อดังในย่านนั้น ปรากฏตัวขึ
ตอนที่14เนรมิตเรือนไม้ทำเลทอง หลินหว่านเอ๋อร์ในเรือนไม้ที่แม้จะดูใหญ่โตแต่ก็ยังว่างเปล่า นางใช้กระดานไม้ที่หามาได้วางบนโต๊ะกลาง แล้วใช้ถ่านวาดผังโครงสร้างภายในร้านด้วยสีหน้าจริงจัง “เอาล่ะลูกรัก” นางกล่าวกับอาเป่าและอาเหมยที่นั่งมองแม่อย่างสงสัย “ร้านของเราจะต้องไม่เหมือนร้านอื่นๆ ในเมืองนี้” นางลากเส้นแบ่งพื้นที่ในครัวอย่างชัดเจน “ตรงนี้จะเป็นส่วนเตรียมวัตถุดิบต้องสะอาดและมีแสงสว่างเพียงพอ ส่วนตรงนี้จะเป็นส่วนทำอาหารซึ่งต้องอยู่ใกล้กับช่องระบายอากาศและเตา” หลินหว่านเอ๋อร์อธิบายการออกแบบเตาใหม่ที่นางวางแผนไว้ “ท่านแม่จะก่อเตาแบบพิเศษ ที่ใช้ฟืนน้อยลงแต่เก็บความร้อนได้ดี ทำน้ำซุปและน้ำแกงของเรามีรสชาติคงที่ตลอดทั้งวัน” นางยังจะสั่งให้ช่างทำชั้นวางเครื่องปรุงให้แยกจากกันอย่างเป็นระเบียบตามประเภท โดยเน้นเรื่องความสะอาดและถูกสุขลักษณะเป็นหลัก อาเป่าในฐานะผู้จัดการการเงินตัวน้อย นั่งถือสมุดบันทึกและพู่กันด้วยท่าทางเคร่งขรึม เมื่อเห็นแม่วาดผังและสั่งการให้ซื้อวัตถุดิบราคาแพง เขาก็รีบท้วงขึ้นทันที “ท่านแม่ขอรับ” อาเป่าชี้ไปที่รายการซื้อไม้ชั้น
ตอนที่13เรือนไม้ทำเลทอง รถม้าของพวกเขาแล่นเข้าสู่ตลาดใหญ่ในเมืองและสุดท้ายก็เลี้ยวเข้าสู่ซอยเล็กๆ ที่มีกลิ่นอับชื้นและดูเก่าแก่ เมื่อถึงจุดหนึ่ง จงซิ่นก็หยุดรถม้า แล้วชี้ไปยังห้องแถวไม้เก่าๆ ที่เอียงกระเท่เร่เล็กน้อย ซึ่งอยู่ติดกับกองลังไม้และกองขยะของร้ายขายเนื้อที่ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมา “ท่านจงซิ่น” หลินหว่านเอ๋อร์ถึงกับทำหน้าเหยเกด้วยความผิดหวัง “ท่านแน่ใจหรือเจ้าคะว่านี่คือ เรือนไม้ทำเลทอง ข้าว่ามันเป็น เรือนไม้ทำเลซ่อนมากกว่านะเจ้าคะ” จงซิ่นมองตามที่นางชี้ แล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กน้อยอย่างที่ไม่ได้ยิ้มมานาน “แม่นางหลินเข้าใจผิดแล้วขอรับ” เขาผายมือไปยังเรือนไม้อีกหลังที่อยู่ถัดจากห้องแถวโทรมๆ ไปเพียงหนึ่งคูหา “เรือนไม้ทำเลทองที่แท้จริงอยู่ที่นั่นขอรับ” หลินหว่านเอ๋อร์หันไปมองตามมือของจงซิ่น แล้วต้องอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เรือนไม้หลังนั้นใหญ่กว่าห้องแถวที่นางเห็นในตอนแรกถึงสามเท่า มันเป็นอาคารสองชั้นที่สร้างด้วยไม้ชั้นดี มีหน้าต่างบานใหญ่กรุกระจกใสสะอาด และมีป้ายไม้เนื้อดีแขวนอยู่ด้านหน้า “นี่คือทำเลทองท
ตอนที่12เป็นที่สนใจ คุณชายเว่ยกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มที่ทำให้หลินหว่านเอ๋อร์ใจหายวาบ “แม่นางสามารถใช้หนี้ได้ในพริบตาเดียว และยังมีฝีมือการทำอาหารได้อร่อยล้ำลึกจนข้าเองก็อยากลิ้มรส...” เว่ยจื่อเหยียนเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับใช้สายตาที่ไม่บอกก็รู้ว่าเขากำลังหมายถึงทั้งอาหารที่ลิ้มรสและหมายถึงคนทำบะหมี่ไข่มังกร คำพูดของเขาทำให้หลินหว่านเอ๋อร์หน้าแดงเล็กน้อย แต่นางก็เก็บอาการไว้ทันที นางตระหนักได้ว่าตนเองถูกบุรุษสูงศักดิ์ถึงสองคนจับจ้อง นางหันกลับไปเผชิญหน้ากับจงซิ่นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความระแวง “ท่านจงซิ่น” หลินหว่านเอ๋อร์กดเสียงต่ำ “เจ้านายของท่านต้องการส่วนแบ่งอะไรจากข้ากันแน่” “ต้องการให้อาหารของเจ้าเป็นที่รู้จักอย่างไรเล่า” จงซิ่นตอบนางแล้วก็มองดูลูกๆ ของนางที่กำลังเกาะขาของนางอยู่ อีกคนก็มองหน้าจงซิ่นสลับกับเว่ยจื่อเหยียน “เอาล่ะข้าตกลงที่จะเปิดร้านของข้าที่เรือนไม้ทำเลทองของนายท่านของท่านแต่ข้ามีเงื่อนไข” “เงื่อนไขอะไรขอรับ” จงซิ่นที่กำลังรอคำตอบจากหลินหว่านเอ๋อร์ เว่ยจื่อเหยียนก็พูดแทรกขึ้นมา “ข้าต้องขอตัวก่อนแม่นางหลิน เมื่อไหร่ที่เ
ตอนที่11เงินลงทุนหลินหว่านเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเบาสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน นางลุกขึ้นอย่างเงียบๆ และเดินไปยังที่ซ่อนเงินที่ขุดไว้ใต้พื้นดิน นางนำถุงผ้าออกมาอย่างระมัดระวัง เมื่อคลี่ดูเงินที่รวบรวมมาได้ นางก็นับจำนวนอย่างละเอียด“บะหมี่ที่ขายได้เมื่อวาน ค่าแรงที่จงซิ่นให้มันมากมายเหลือเกิน และดวงตาของหลินหว่านเอ๋อร์เบิกกว้างเมื่อเห็นก้อนเงินแท้ที่สลักอย่างสวยงาม วางอยู่ปะปนกับอีแปะ นางจำได้ว่าเงินก้อนนี้เป็นของลูกค้าที่ยกบะหมี่ชามสุดท้ายให้กับอาเหมย “ลูกค้าลึกลับผู้สั่งบะหมี่คนนั้น เขาเป็นใครกันแน่และเหตุใดจึงให้ก้อนใหญ่เกินความจำเป็นเช่นนี้ เขาต้องการอะไร” ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเชฟสาวทะลุมิติมา แต่นางก็เก็บความสงสัยไว้ก่อนเพราะความจำเป็นในการเริ่มต้นชีวิตใหม่นั้นสำคัญกว่าความสงสัยในตอนนี้นางตัดสินใจซ่อนเงินก้อนนั้นไว้ในตัวเพื่อใช้เป็นทุนสำรองและเริ่มปลุกลูกๆ“อาเป่า อาเหมย” หลินหว่านเอ๋อร์เรียกลูกทั้งสองของนางที่ตอนนี้กำลังนอนงัวเงียไม่ยอมตื่นอาจจะเป็นเพราะเมื่อวานเด็กทั้งสองช่วยงานแม่อย่างหนักและเหนื่อยมากๆ นางยื่นแก้มไปแนบกับแก้มของบุตรชายและบุตรสาวเบ
ตอนที่10ราตรีกาลอันตราย (2) นักเลงเสี่ยวซ่านกำลังก้มดูรองเท้าที่เปื้อนขี้หมาอย่างรังเกียจ ขณะที่ไอ้หู่กำลังจะเริ่มปฏิบัติการงัดประตู ฉัวะ!!! เงามืดที่ว่องไวดุจสายฟ้าก็พุ่งลงมา จงซิ่นเคลื่อนไหวราวกับนักล่าผู้สง่างาม คราวนี้เขาใช้เทคนิคที่เน้นความเฉียบขาดเพื่อปิดปากพวกมันทันที ตูม!!! จงซิ่นใช้สันมือที่แข็งแกร่ง กระแทกเข้ามาที่จุดรวมเส้นประสามบริเวณคอของนักเลงไอ้หู่ที่กำลังยื่นมือไปเกาคอตัวเองอย่างแม่นยำ ร่างของมันล้มพับลงไปกองกับพื้นโดยไม่มีแม้แต่เสียงร้องด้วยความเจ็บปวด จงซิ่นหมุนตัวอย่างรวดเร็ว นักเลงเสี่ยวซ่านกำลังจะร้องโวยวายด้วยความตกใจ “แกเป็นใครวะ” ผัวะ!!! จงซิ่นใช้ฝ่ามือกระแทกที่กระพุ้งแก้มของมันอย่างรุนแรงแต่รวดเร็ว ทำให้เสี่ยวซ่านลิ้นพันกันและไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ จากนั้นจึงใช้เท้าเกี่ยวขาให้ล้มลง โดยจงใจให้เท้าเปื้อนขี้หมาเหยียบใบหน้าของไอ้หู่ที่สลบไปแล้ว ก่อนจะใช้ฝ่ามือกระแทกที่ท้ายทอย มันไม่ได้ตั้งตัว ก็แน่นิ่งไปในทันที ทุกอย่างเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที จงซิ่นจัดการมัดร่างนักเลงทั้งสองไว้กับลำต้นหลิวอย่างร







